๖
ซีดแล้วซีดอีก
ตอนนี้ในหัวของหลันเฟิงมีแต่คำว่าลูก ๆ ลอยวนซ้ำ ๆ
เดิมทีเขาไม่คิดไปส่งมารดาในวันนี้ แต่พอทราบว่านางมีลูกรออยู่ที่หมู่บ้านก็ผุดลุกขึ้นจากโต๊ะชวนทุกคนไปที่นั่น
ท่าทางของหลันเฟิงขึงขังเป็นอย่างมาก ชั่วขณะนั้นต่อให้ใครยังทานอาหารไม่อิ่มก็ต้องวางตะเกียบแล้ว
บนรถม้า...
เสียงการพูดคุยของชุนเอ๋อร์และจางจงกว่านดังอยู่ตลอด แต่ไม่ได้เข้าหูของหลันเฟิงเลยสักนิด
ในหัวพลอยแต่คิดถึงภาพเด็กผู้ชายตัวอ้อนกลมกำลังนอนร้องไห้งอแงเพื่อรอมารดากลับมาให้นมที่เรือน
ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ เขากำลังคิดภาพของบุรุษที่ทำให้เด็กเหล่านั้นเกิดมา!
“เสี่ยวกว่านอายุ 23 แล้วหรือ เสี่ยวกูกุก็หลงคิดว่าเจ้าอายุเพียง 20 เท่านั้น”
“เสี่ยวเหอกับเสี่ยวเฉินก็อายุ 23 นะขอรับ”
ชุนเอ๋อร์เปรียบเทียบชายหนุ่มทั้งสามที่มีอายุเท่ากันเรียงคน จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่เกาจี้เฉิน
เขามีบุคลิกสุขุม นางจึงคิดว่าอีกฝ่ายอายุเท่ากับหลันเฟิง
โจวฉือเหอดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูสุภาพน่าเชื่อถือจนเกินอายุไปมาก เป
จางจงกว่านเสียอีกที่ภาพลักษณ์ภายนอกและนิสัยส่งให้ดูเหมือนเด็กหนุ่มวัย 20 หนาว
“เสี่ยวกูกุกำลังบอกว่าเสี่ยวกว่านดูเป็นเด็กกะโปโลหรือขอรับ”
จางจงกว่านหน้าเหวอไปเลยเมื่อได้ยินคำพูดของโจวฉือเหอ ใบหน้าส่ายไปมาเพื่อแสดงว่าตนไม่ยอมรับในคำพูดของสหาย
เขาต้องการคำยืนยันจากคนอื่นเพิ่ม มองไปทางหลันเฟิงและเกาจี้เฉินก็ส่ายหน้าไปมา ในใจคิด...
ไม่! ถามสองคนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เป็นเสี่ยวกูกุแล้วกัน
“ไม่จริงใช่หรือไม่ขอรับเสี่ยวกูกุ เสี่ยวเหอไม่ใช่เด็กกะโปโล”
ชุนเอ๋อร์นิ่งไปเพราะในใจย่อมคิดว่าเขาเหมือนเด็กกะโปโลจริง ๆ แต่จะให้พูดออกมาตามตรงก็เป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
“เสี่ยวกูกุไม่ได้พูดนะ เสี่ยวเหอเป็นคนพูด”
โจวฉือเหอหลุดหัวเราะ เพราะประโยคนี้เป็นการยืนยันคำพูดในใจนางได้ดีที่สุด
จางจงกว่านสะบัดหน้าใส่โจวฉือเหอแล้วหันมางอแงกับชุนเอ๋อร์
“เสี่ยวกูกุ ท่านต้องตอบว่าไม่จริงสิขอรับ ข้าไม่ใช่เด็กกะโปโลนะ คนเรามีหลายด้าน จะมองด้านเดียวไม่ได้นะขอรับ”
โจวฉือเหอหัวเราะเสียงร่วน
“นี่! ถ้าเมื่อครู่เจ้ากระทืบเท้าด้วยจะไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้ว แต่จะเป็นเด็กสามหนาวแทน”
สิ้นคำพูดนี้ทุกคนก็พากันหัวเราะ แม้แต่เกาจี้เฉินยังแอบยิ้มมุมปาก แน่นอนว่าคนที่ไม่มีอารมณ์ขันให้กับเรื่องนี้เลยคือหลันเฟิง
“ท่านแม่ ลูก ๆ ของท่านแม่กี่หนาวแล้วขอรับ”
หลันเฟิงกลั้นใจถามชุนเอ๋อร์ออกไป แต่เมื่อได้ฟังคำตอบจากปากนาง ใบหน้าหล่อเหลาก็ซีดแล้วซีดอีก
“สองหนาว หากเฟิงเอ๋อร์ได้เห็นน้อง ๆ ต้องชอบแน่”
ชุนเอ๋อร์ตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร เพราะลูก ๆ ของนางอยู่ในวัยนี้จริง ๆ
เจ้ามาหัวขนนั่นเพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นาน อีกทั้งยังเป็นฝาแฝดด้วย หึ! ข้าไม่มีทางชอบเจ้าพวกนั้นแน่
“ขอรับ”
หลันเฟิงตอบเสียงแผ่ว พยายามปั้นยิ้ม จากนั้นก็จมอยู่ในโลกของตัวเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว
เกาจี้เฉินเห็นนายของตนเป็นเช่นนั้นจึงได้สะกิดโจวฉือเหอให้ดูปฏิกิริยาของหลันเฟิง
“เหล่าต้ากำหมัดแน่นแล้ว”
โจวฉือเหอกล่าวขึ้นมาเบา ๆ เพียงเท่านี้ก็ทราบแล้วว่าเจ้านายอยู่ในอารมณ์ใด
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองชุนเอ๋อร์ ในใจคิด...
เสี่ยวกูกุต้องเสียใจมากเป็นแน่ เหล่าต้าไม่ปลื้มน้อง ๆ
ณ หมู่บ้านสาวสองพันปี
รถม้าที่หลันเฟิงจ้างมาสามารถเข้าได้เพียงปากทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้น ระยะทางที่เหลือต้องเดินไปต่ออีกหน่อย
เมื่อลงมาจากรถม้า ชุนเอ๋อร์ก็กล่าวขึ้นมาว่า
“ระยะทางที่เหลือเป็นทางเท้า ทุกคนตามเสี่ยวกูกู่มาได้เลย”
ชุนเอ๋อร์ตบหน้าอกตนเองเบา ๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินนำชายหนุ่มทั้งสี่ ตามที่ชุนเอ๋อร์รับรู้ การมีอยู่ของหมู่บ้านสาวสองพันปีไม่ได้เป็นความลับ แต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก
สถานที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ในหุบเขา ที่นี่มีทั้งทุ่งนา น้ำตก สมุนไพรนานาชนิด อุดมสมบูรณ์มากจนไม่ต้องออกไปจากหมู่บ้านเลยก็สามารถมีกินมีใช้ได้ตลอดทั้งชีวิต
วัน ๆ หนึ่งไม่ต้องใช้เงิน ใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนกัน เรือนนั้นมีผัก เรือนนั้นมีเนื้อ เรือนนั้นมีสมุนไพร เรือนนั้นมีผ้า อยากได้สิ่งใดก็เอาของตนเองไปแลกมา
ส่วนข้าวจะมีทุ่งนาไว้เป็นของส่วนรวม ทุกคนต้องช่วยกันทำนา เมื่อได้ข้าวมาแล้วจะเก็บข้าวไว้ที่ยุ้งฉางของหมู่บ้าน เมื่อข้าวหมดแล้วสามารถไปขอได้อีกเรื่อย ๆ
“ทุกคนอัธยาศัยดีมากเลยนะเด็ก ๆ ไม่ต้องเกร็งที่เป็นประชากรส่วนน้อยนะ”
ชุนเอ๋อร์เดินไป หันมาพูดกับสี่หนุ่มเป็นช่วง ๆ เพราะแบบนี้นางจึงเกือบสะดุดล้ม หลันเฟิงจึงคอยเดินระวังหลังให้
“ท่านแม่ระวังลื่นขอรับ”
“เฟิงเอ๋อร์วางใจ แม่ชินกับดินแถวนี้แล้ว อุ๊ย!” ยังไม่ทันขาดคำ ชุนเอ๋อร์ก็ลื่นดินต่อหน้าทุกคนแล้ว
“ท่านแม่ยังไม่ชินกับดินขอรับ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปจับแขนมารดาเผื่อนางเกิดลื่นอีกครั้ง
ชุนเอ๋อร์ยิ้มแห้งแล้วก้าวเดินต่อไป พอเดินไปลึกขึ้นก็เริ่มเห็นคนเดินสวนทางไปมา
ระหว่างทางชุนเอ๋อร์ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร สตรีเหล่านั้นก็ยิ้มและพูดคุยกับนางด้วยความเป็นมิตรกลับมาไม่แพ้กัน
“แม่นางชุนเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ ครั้งนี้เฟิงเอ๋อร์กับสหายก็มาด้วย”
สตรีที่ถามชุนเอ๋อร์มองสำรวจผู้มาใหม่ทุกคน จากนั้นก็ยิ้มให้พวกเขาบาง ๆ
“หมู่บ้านสาวสองพันปียินดีต้อนรับ” เอ่ยเพียงเท่านี้ก็รีบเดินจากไป ไม่สนใจเสวนากับใครต่อ
จางจงกว่านเริ่มรู้สึกว่าหมู่บ้านแห่งนี้แปลก ๆ จึงได้ชะลอฝ่าเท้าลงจนเดินรั้งท้ายตีคู่กับโจวฉือเหอ
ดวงตาซุกซนกวาดมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นใครอื่นแล้วจึงได้ยกมือป้องปากกระซิบข้างหูสหาย
“เจ้าว่าหมู่บ้านแห่งนี้แปลกหรือไม่…ไม่สิ! เอาเป็นว่าสตรีที่เดินผ่านพวกเราไปก็แล้วกัน เจ้าสังเกตหรือไม่ พวกนางมองเสี่ยวกูกุด้วยความเป็นมิตร แต่พอมองพวกเรากลับยิ้มให้บาง ๆ แววตาเย็นชากว่าจี้เฉินเสียอีก”
โจวฉือเหอเงียบไป เขาเองก็รู้สึกว่าที่นี่แปลก ๆ
“เหล่าต้าเคยเล่าว่าสตรีที่นี่ล้วนเป็นสตรีที่ถูกบุรุษทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ คงไม่แปลกกระมัง หากพวกนางจะไม่ต้อนรับบุรุษ”
“แต่เหล่าต้าก็เป็นบุรุษที่เติบโตมาที่หมู่บ้านแห่งนี้นะ ข้าเห็นชัดเจนว่าพวกนางก็มองเหล่าต้าด้วยสายตาเช่นเดียวกับที่มองพวกเรา”
โจวฉือเหอไม่แสดงความคิดเห็นต่อ จางจงกว่านจึงเงียบไป
พวกเขาเดินตามชุนเอ๋อร์ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเดินมาถึงเรือนหลังหนึ่งที่ล้อมไว้ด้วยรั้วไม้ไผ่สูง มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ พอเดินเข้ามาในตัวเรือนก็จะเห็นผักนานาชนิดถูกปลูกเอาไว้ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด
“ถึงแล้ว ยินดีต้อนรับเด็ก ๆ ทั้งหลายเข้าสู่เรือน…เอ่อ ยังไม่ได้ตั้งชื่อเรือน”
จางจงกว่านเปลี่ยนอารมณ์ในทันที ตอนแรกยังมีความกังวลอยู่บ้างแต่ถูกท่าทางเปิ่น ๆ ของชุนเอ๋อร์ทำลายสิ้น เอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวเสี่ยวกวานช่วยคิดขอรับ”
“อ้อ รบกวนแล้ว”
เพราะรู้สึกอายหน่อย ๆ ชุนเอ๋อร์จึงคิดปลีกตัวเข้าไปในเรือนเพื่อต้มน้ำชงชาให้ทุกคน ทว่าได้โดนคำพูดของบุตรชายรั้งเอาไว้
“ท่านแม่ ไหนขอรับ ลูก ๆ ของท่านแม่”
ตั้งแต่เดินเข้ามา หลันเฟิงยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องไห้ของเด็กเขาจึงคิดว่ามารดานำไปฝากคนอื่นเลี้ยง
“เฟิ่งเอ๋อร์ร้อนใจถึงเพียงนี้ ตามแม่มา! แล้วเจ้าจะภูมิใจในตัวน้อง ๆ เหมือนที่แม่ภูมิใจ”
ว่าแล้วก็หันหลังหมุนตัวเดินจากไป นางจึงไม่ได้เห็นสายตามาดร้ายกับกำปั้นที่กำเข้าหากันแน่นของหลันเฟิง
ชุนเอ๋อร์พาทุกคนเดินออกห่างจากตัวเรือนมานิดหนึ่ง เรือนแห่งนี้ถูกคั่นไว้ด้วยแปลงผักและดอกเหมยกุ้ยฮวานานาสี
ถัดจากเรือนเป็นทุ่งนาขจี ภูเขาเขียวชอุ่ม ทุกอย่างในบริเวณนี้งดงามมากจนสามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้โดยไม่รู้ตัว
“น้อง ๆ ของเฟิงเอ๋อร์อยู่ในเรือนนี้ เปิดประตูเข้าไปดูสิ”
ชุนเอ๋อร์ยกมือทาบอกไว้ ตื่นเต้นมากเมื่อบุตรชายจะได้เห็นลูก ๆ ของนาง อารมณ์สวนทางกับหลันเฟิงที่ใบหน้ามืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ
เรือนนี้เป็นเรือนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เสียงที่ลอดออกมาฟังดูก็รู้ว่าเป็นไก่จนหลันเฟิงเริ่มตะหงิดใจ
“เปิดสิลูก”
ชุนเอ๋อร์ลุ้นจนตื่นเต้นไปหมดแล้ว บุตรชายก็ไม่เปิดประตูเข้าไปสักทีจึงได้กล่าวเร่งเร้าอีกรอบ หลันเฟิงจึงได้ผลักประตูสุดแรง
“กระต๊าก!”
เสียงไก่มากมายขันพร้อมกัน ด้านในไร้สิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์ หลังจากกวาดตามองโดยรอบอย่างละเอียดแล้วหลันเฟิงถึงกับนิ่งไป
นิ่งจนชุนเอ๋อร์เป็นคนทำลายความเงียบด้วยการปรบมือ
แปะ แปะ แปะ!
ที่จริงชุนเอ๋อร์รอได้รับคำชมจากบุตรชาย แต่เมื่อเห็นเขายังนิ่งนางจึงได้ปรบมือให้ตัวเองที่สามารถขยายพันธุ์ไก่ได้มากมายเพียงนี้
“เป็นอย่างไรบ้างเฟิงเอ๋อร์ น้อง ๆ น่ารักหรือไม่ ปกติแล้วแม่จะให้น้อง ๆ อยู่เล้าไก่ธรรมดา แต่เพราะเมื่อวานเข้าไปในเมืองกับลุงเฉียน แม่เลยต้อนน้อง ๆ เข้ามาไว้ในเรือนนี้ก่อน กลัวน้อง ๆ จะไปเล่นซนที่อื่นแล้วไม่ยอมกลับเรือน”
หลันเฟิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วปิดประตูไว้เช่นเดิม จากนั้นก็เดินอย่างเหม่อลอยออกไปจากตรงนี้
ลูก ๆ ที่ว่าก็คือไก่สินะ
ที่บอกว่าร้องไห้งอแงไม่มีอะไรกินก็เพราะว่าหิวโหยจนต้องขัน สินะ...ท่านแม่!!