“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ” อี้หมิงถามเสียงใส มือก็ชี้ไปที่เหล่ากอหญ้าขนาดไม่ใหญ่นัก
“หมิงเอ๋อร์ พวกนั้นมันต้นหญ้าทั้งนั้น ไม่ใช่สมุนไพร ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ผักป่าและยังไม่ใช่ดอกไม้ด้วย ไม่มีใครกินมัน กลิ่นมันเหม็นเขียวและฉุน พ่อขึ้นเขามาก็เห็นแบบนี้ตลอด”
“ท่านพ่อ มันคือต้นหญ้าหวาน มันให้รสหวานเหมือนน้ำตาลเลยขอรับ”
“รสหวานเหมือนน้ำตาลเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ แต่ว่ามันต้องเอาไปตากแห้งก่อนแล้วนำไปต้มกับน้ำ มันจะกลายเป็นน้ำเชื่อม เราสามารถเอาไปทำอาหาร ทำขนม หรือชงดื่มเป็นชาได้ขอรับ ข้อดีอีกอย่างคือเก็บไว้ได้นาน” อี้หมิงเริ่มอธิบายอีกครั้ง “ท่านพ่อ น้ำตาลและเกลือในตลาดราคาเท่าไรหรือขอรับ”
“ถ้าพ่อจำไม่ผิด น้ำตาลราคาจินละสี่สิบอีแปะ เกลือแพงมาก ราคาประมาณจินละหกสิบห้าอีแปะ”
“แพงมากเลยขอรับ ท่านพ่อไปทำงานที่บ้านท่านลุงเย่ได้ค่าจ้างวันละยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง ข้าเข้าใจแล้วขอรับว่าเหตุใด บ้านเราถึงไม่มีเกลือหรือน้ำตาลกินเลย เพราะมันแพงเช่นนี้นี่เอง ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ท่านพ่อว่ามันจะขายได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยกับบิดา ดวงตามีไฟลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
“น้ำตาลผักหรือหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทานึกตรอง “พ่อก็บอกเจ้าไม่ได้เช่นกัน เพราะน้ำตาลผักที่เจ้าว่า ชาวบ้านหรือแม้แต่ตัวของพ่อเองยังไม่รู้จัก”
“ท่านพ่อ ข้าอยากทำน้ำตาลผักออกมาขายดู ข้าว่ามันต้องขายได้แน่นอน ขั้นตอนการทำไม่ยากเลยขอรับ อีกอย่างท่านพ่อดูนั่นสิ เรามีเจ้าต้นหญ้าหวานมากมายขนาดนี้ ทำขายไปอีกสิบปีก็ไม่หมด ที่สำคัญเราไม่ต้องลงทุนแม้แต่อีแปะเดียวขอรับ”
“เป็นเช่นนั้นหรือหมิงเอ๋อร์ น้ำตาลผักนี่ก็เป็นสิ่งที่ชาวสวรรค์กินกันเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ น้ำตาลผักมีประโยชน์มากเลยนะขอรับ โดยเฉพาะท่านย่าที่แก่แล้ว” อี้หมิงพูดชักจูง หญ้าหวานพวกนี้มีมากมาย สามารถนำมาทำขายได้ตลอดโดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุน
“เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ลองบอกพ่อมาสิว่าพ่อต้องทำเช่นใดบ้าง”
“ท่านพ่อตัดเอากิ่งต้นหญ้าหวานใส่ตะกร้าเลยขอรับ เลือกเอากิ่งที่ไม่มีดอกสีขาวนะขอรับ เพราะพวกที่มีดอก มันจะทำให้มีรสขมและกลิ่นแรงมาก รสของมันหวานมากเลยขอรับ เราใช้ไม่เยอะ วันนี้เราตัดไปแค่พอทดลองทำก่อนก็ได้ขอรับ” เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้ว
“ใช่แล้วท่านพ่อ เราทำออกมาแล้วเอาไปให้ท่านลุงเย่ลองชิมดูเพื่อตอบแทนที่ท่านลุงเย่ให้เนื้อเรามาเมื่อวานนี้ ดีหรือไม่ขอรับ”
“ดีมากหมิงเอ๋อร์ ท่านลุงเย่ดีต่อครอบครัวเรามาก ถ้ามีโอกาสเราต้องตอบแทนบุญคุณครอบครัวซุนให้มาก รู้หรือไม่”
“ข้าทราบแล้วขอรับ”
สองพ่อลูกช่วยกันตัดเอากิ่งหญ้าหวานใส่จนเต็มตะกร้าด้านหลัง จางอี้เทาพาบุตรชายกลับขึ้นมาด้านบนเมื่อได้ในจำนวนที่มากพอ
“ท่านพ่อขอรับ อย่าลืมสถานที่ตรงนี้นะขอรับ เพราะต่อไปท่านพ่อต้องขึ้นเขามาเก็บเจ้าต้นหญ้าหวานเมื่อเราต้องทำน้ำตาลผักในอนาคต”
“หมิงเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นกังวล ที่ตรงนี้พ่อจำได้”
“ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ พวกเราลองเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยดีหรือไม่ ยังพอมีเวลา แถวนี้ไม่มีสมุนไพรหรือผักป่าให้พวกเราได้เก็บเลย”
“ข้าว่าเรากลับกันดีกว่าขอรับ ต้นหญ้าหวานต้องตากให้แห้งสักสามชั่วยาม ถ้าเรารีบกลับไปตอนนี้ คืนนี้ข้าจะทำน้ำตาลผักให้ท่านพ่อได้ชิม อีกอย่างที่บ้านมีผักบุ้งกับน้ำมันอยู่ พวกเรากินผัดผักบุ้งไปก่อนก็ได้ขอรับ”
“พ่อตามใจเจ้า หมิงเอ๋อร์”
เมื่อตกลงกันได้แล้ว สองพ่อลูกจึงพากันเดินลงเขา รีบตรงกลับบ้าน ระหว่างทางจางอี้เทาเดินจูงมือบุตรชายสอบถามพูดคุยถึงการสร้างบ้านดินที่เขาก็ให้ความสนใจไม่น้อย พรุ่งนี้เขาจะนำน้ำตาลผักที่บุตรชายบอกว่าเป็นอาหารสวรรค์ไปฝากบ้านพี่เย่และพูดคุยเรื่องการสร้างบ้านดิน
จางอี้เทากระชับมือบุตรชายแน่นขึ้นอีกนิด หลังจากฟื้นขึ้นมาจากความเจ็บไข้ ลูกชายของเขาก็กลายเป็นเทพบุตรตัวน้อยที่คอยปัดเป่าไล่ความโชคร้าย เฉลียวฉลาดเกินเด็กในวัยเดียวกันไปมาก อีกทั้งยังนำความโชคดีต่าง ๆ มาด้วย
ขอบคุณสวรรค์ยิ่งนักที่คืนบุตรชายเขากลับมา
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางหูได้ทำโจ๊กธัญพืชและผัดผักบุ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงบอกให้บิดานำต้นหญ้าหวานมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อนล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปตากแดด เสร็จแล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวมื้อแรกของวัน เว้นแต่หลี่อ้ายที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วย จางอี้เทาจึงนำโจ๊กไปป้อนให้ภรรยาถึงเตียงนอนหลังจากที่ตนเองกินเรียบร้อยแล้ว“เมื่อวานแม่ว่าผัดผักบุ้งอร่อยมากแล้ว วันนี้อร่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก” นางหูเอ่ยขึ้นมาหลังจากคีบผัดผักบุ้งเข้าปาก รสชาติมันอร่อยถูกปากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ“เพราะท่านย่ารู้จักการควบคุมไฟแล้วอย่างไรเล่าขอรับ รวมถึงรู้ว่าความสุกจะเอามากน้อยเพียงไหน ลองทำไปอีกสักสี่ห้าครั้ง ท่านย่าก็สามารถไปเป็นแม่ครัวหลวงได้สบายเลยขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างปากหวาน ย่าแค่พอทำได้ คนที่เก่งคือหมิงเอ๋อร์ต่างหากเล่า”“ข้าเก่งเช่นท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงยกความดีความชอบให้บิดาพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ หูไป๋หงและจางอี้เทาถึงกับหัวเราะออกมา นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวจางไม่ได้หัวเราะเสียงดังเช่นนี้ คงตั้งแต่ย้ายออกมาจากเมืองหลวงกระมัง“อาเทา แม่เห็นเจ้าตากอะไรกลางลานบ้าน เจ้าได้สมุนไพรมาเช
“ง่ายเช่นนี้เลยหรือหมิงเอ๋อร์”“ง่ายเช่นนี้เลยขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่รู้ว่ารสชาติความหวานมันจะเป็นยังไง คงต้องรอหลังจากที่ต้มเสร็จแล้ว เราค่อยมาดูว่าจะปรับอัตราส่วนเช่นใดขอรับ” อี้หมิงตอบนางหู ก่อนจะหันไปบอกบิดา“ท่านพ่อขอรับ รบกวนท่านพ่อไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าจะเอามาใส่น้ำตาลผัก พรุ่งนี้เราจะเอาไปให้ท่านลุงเย่ชิม บ้านเราไม่มีไหเปล่า คงต้องใช้กระบอกไม้ไผ่แทน ท่านพ่อตัดมาเยอะ ๆ เลยนะขอรับ เพราะข้าจะเอาไปเป็นสินค้าทดลองให้เถ้าแก่ในตลาดลองชิมดูขอรับ”“ได้สิ พ่อจะไปทำให้เดี๋ยวนี้” จางอี้เทาผละออกไปทำตามที่บุตรชายต้องการ ปล่อยให้สองย่าหลานทำน้ำตาลผักกันต่อไป“หมิงเอ๋อร์ ถ้าน้ำตาลผักที่เรากำลังทำอยู่นี้มันขายได้ บ้านเราคงมีเงินเข้าบ้าน และมีเงินซื้ออาหารไว้สำหรับฤดูหนาวนี้แล้ว”“ท่านย่า ข้าว่ามันต้องขายได้อย่างแน่นอนเพราะชาวบ้านคงอยากกินน้ำตาล แต่มันแพง เลยซื้อไม่ได้ ถ้าเราทำน้ำตาลผักออกมาขาย เราไม่ต้องขายแพงมาก ให้ชาวบ้านได้กินของดี ๆ บ้าง ข้าว่ามันต้องขายได้ อีกอย่าง ท่านย่ารู้หรือไม่ เราสามารถเอาน้ำตาลผักใส่ลงไปในโจ๊กธัญพืช เพียงแค่นี้ก็ได้โจ๊กที่มีรสหวานแล้วขอร
หลังราตรีที่โอบล้อมด้วยรอยยิ้มและความสุขผ่านพ้นไป วันรุ่งขึ้นในยามซื่อ ( 09.00 – 10.59) สองพ่อลูกตระกูลจางจึงพากันออกเดินมุ่งสู่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพบซุนถง จางอี้เทาถือกระบอกน้ำตาลผักไปสองกระบอกด้วย มันมีทั้งแบบเข้มข้นสำหรับปรุงอาหารและแบบเจือจางสำหรับใช้ดื่มแทนชาด้วยบ้านจางนั้นอยู่ท้ายหมู่บ้าน พวกเขาจึงต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะถึงบ้านครอบครัวซุน จางอี้หมิงจับมือบิดามาตลอดทาง เด็กน้อยได้โอกาสมองสำรวจโน่นนี่อย่างหนำใจ“ท่านลุงซุนถง อยู่บ้านหรือไม่ขอรับ” เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้เทาก็ตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง“ใครมาโวยวายอยู่หน้าบ้านข้า” ซุนซูเย่เดินออกมาดู “อ้าวอาเทาเองหรือ มีอะไรหรือเปล่า” “ท่านพี่เย่ ข้าอาเทากับหมิงเอ๋อร์มีธุระอยากจะขอคุยกับท่านลุงถง ไม่ทราบท่านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่หรือไม่ขอรับ” “เจ้ามาหาท่านพ่อหรือ เข้ามาในบ้านก่อน ท่านพ่ออยู่หลังบ้าน”“ขอบคุณขอรับ ข้าไม่ได้มาหาท่านลุงถงอย่างเดียว ข้าอยากปรึกษาบางอย่างกับท่านพี่เย่ด้วยขอรับ”“ได้ ๆ งั้นพวกเราไปหาท่านพ่อกันก่อนเถอะ” ซุนซูเย่ตอบ เขาเดินนำสองพ่อลูกตรงไปทางหลังบ้านที่มีซุนถงกำลังนั่งสานตะกร้าอยู่“ท่านพ่อ อาเทา
“ท่านพ่ออย่าลืมน้ำตาลผัก” จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าบิดาดีใจที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้วจึงสะกิดเตือน“โอ้ จริงด้วย ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ นี่เป็นน้ำตาลผักที่บ้านข้าได้คิดค้นขึ้นมา ข้านำมาให้สองกระบอก สีเข้มเอาไว้ปรุงอาหารแทนน้ำตาล ส่วนสีอ่อน เอาไว้ดื่มแทนชา มันหวานอร่อยมาก ท่านลุงถงลองชิมดูได้” จางอี้เทาแย้มยิ้ม เขายื่นน้ำตาลผักให้หัวหน้าหมู่บ้านไปทั้งสองกระบอก“อาเทา เจ้าว่าอย่างไรนะ” ซุนถงถึงกับชะงัก ชายชราลองแคะหูตัวเองเผื่อว่ามันอาจจะเพี้ยนไปแล้ว“น้ำตาลผักเช่นนั้นหรือ ใช้แทนน้ำตาลได้งั้นหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”“ใช่แล้วขอรับ น้ำตาลผัก ท่านต้องการความหวานมากน้อยแค่ไหนก็ตักใส่ได้เลยขอรับ ค่อย ๆ ใส่ไปทีละน้อย ได้ความหวานตามที่ต้องการแล้วก็หยุดได้ขอรับ เมื่อคืนวานบ้านข้าต้มโจ๊กธัญพืชใส่น้ำตาลผัก อร่อยมากทีเดียว นี่ก็ใกล้ยามอู่ (11.00 – 12.59) แล้ว ท่านลองให้ท่านพี่เจียวเม่ยทำดูได้ขอรับ”จางอี้เทาแนะนำท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความคล่องแคล่วสมเป็นบัณฑิต เขาไตร่ตรองไว้แล้วว่าถ้าท่านลุงถงชอบใจในน้ำตาลผัก ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็คงจะพึงใจไม่ต่างกัน“อย่าลืมลองดื่มน้ำตาลผักสีอ่อนดูนะขอรับ มันสามารถดื่มไ
ทุกคนนั่งล้อมวงนั่งกินข้าวด้วยกัน เด็ก ๆ ทั้งสามนั่งติดกันทางฝั่งซ้ายของหัวหน้าหมู่บ้าน ทางขวามือเป็นจางอี้เทาและซุนซูเย่กับสะใภ้ สำหรับภรรยาของซุนถงนั้นเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว เขาไม่คิดแต่งงานใหม่ให้มากความ สมาชิกทั้งหมดจึงมีเพียงเท่านี้สำหรับอาหารวันนี้ก็เป็นดั่งที่จางอี้เทาแนะนำ โชคดีที่บ้านซุนมีฐานะดีกว่าจึงมีข้าวกิน แม้ว่ามันจะไม่ใช่ข้าวคุณภาพดีเท่าบ้านจางในเมืองหลวง แต่ก็ดีกว่าธัญพืชหยาบเป็นไหน ๆ มื้อแรกของจางอี้หมิงในวันนี้จึงมีน้ำแกงเนื้อหนึ่งอย่างไว้กินกับข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับชาวบ้านธรรมดา“ท่านแม่ น้ำแกงเนื้อวันนี้อร่อยมากเลยขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตักข้าวกินไปคำแรก เด็กน้อยรีบตักคำต่อ ๆ ไปเข้าปากตามไปติด ๆ “แม่ก็ทำเหมือนเช่นทุกวันนะเย่เอ๋อร์ แต่วันนี้แม่เติมน้ำตาลผักที่ท่านอาอี้เทาเอามาฝาก” เจียวเม่ยหันไปตอบบุตรชาย“ข้าชอบมากขอรับ ท่านแม่ทำให้ข้ากินทุกวันได้หรือไม่ขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยบอกมารดาทั้งที่ในปากยังเต็มไปด้วยข้าว “เย่เอ๋อร์ มันอร่อยมากเช่นนั้นหรือ” ซุนถงเอ่ยถามหลานชายด้วยความสนใจ ปกติแล้วหมิงเย่ไม่ค่อยกินข้าว ตัวถึงเล็กกว่
จางอี้เทาและจางอี้หมิงกลับมาถึงบ้านในช่วงบ่าย สองพ่อลูกเห็นหลี่อ้ายที่อาการค่อยยังชั่วขึ้นแล้วนั่งคุยอยู่กับนางหูซึ่งกำลังปะชุนเสื้อผ้า“น้องหญิง เจ้าตื่นแล้ว” อี้เทาเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปหา“ท่านพี่ ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ พักอีกแค่วันสองวันคงหายดีแล้ว เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านหัวหน้าหมู่บ้านยินดีช่วยครอบครัวเราหรือไม่” “ท่านลุงถงรับปาก พวกเขาชอบน้ำตาลผักของบ้านเรามาก หมิงเอ๋อร์แนะนำว่าควรทำไปแจกให้ชาวบ้านได้ลองชิมดู อาจจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจแลกเปลี่ยนแรงงานกับบ้านเราง่ายขึ้น” เขาตอบ “วันนี้ข้ากับหมิงเอ๋อร์จะขึ้นเขาไปเก็บต้นหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักเพิ่ม พรุ่งนี้จะเอาไปให้ท่านลุงถงแจกจ่าย และอีกสามวันท่านลุงถงนัดให้ไปฟังคำตอบจากชาวบ้าน”“อาเทา หมิงเอ๋อร์จะกินข้าวเลยหรือไม่ แม่จะไปยกมาให้” นางหูเอ่ยถามและเงยหน้าจากผ้าในมือ “แม่กับเมียเจ้ากินแล้วเรียบร้อย หลี่อ้ายยังป่วย แม่เลยไม่ได้รอลูกกับหมิงเอ๋อร์ อีกอย่างแม่ว่าจะไปเก็บผักบุ้งมาทำอาหารอีกครั้งในตอนเย็น อาเทาว่าดีหรือไม่” “ท่านแม่ ข้ากับหมิงเอ๋อร์กินมาจากบ้านท่านลุงถงแล้วขอรับ เมื่อวานข้าไม่มีผักป่ากลับบ้าน วันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไ
เมื่อผ่านด่านตรวจเข้าเมืองมาแล้ว ลุงผินพาทุกคนไปจอดลงที่พักซึ่งห่างจากกำแพงเมืองไม่มากนัก พร้อมกับย้ำว่าถ้าต้องการกลับบ้านพร้อมเกวียนของแก ต้องมาให้ตรงเวลาในยามเซิน (15.00 – 16.59) ไม่เช่นนั้นก็ให้เดินกลับเอง“ท่านพ่อขอรับ พวกเราลองไปเดินดูกันดีไหมขอรับว่าในเมืองมีร้านขายอะไรบ้าง” จางอี้หมิงกล่าว เด็กน้อยอยากสำรวจให้ทั่ว“ไปสิ แต่พ่อว่าพวกเราเดินไปที่ร้านขายของก่อนดีหรือไม่ เพราะถ้าต้องแบกน้ำตาลผักไปตลอดทางแบบนี้มันลำบาก” “ขอรับ”จางอี้เทาสอบถามคนแถวนั้นถึงร้านขายของต่าง ๆ เมื่อได้รับคำตอบ จึงออกเดินหา เพียงครึ่งเค่อก็พบ ร้านตรงหน้าเป็นเหมือนห้องแถวสองชั้นทำด้วยไม้มีสองห้อง เสียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเอ่ยสั่งงานกับผู้ที่คาดว่าเป็นผู้ช่วยขายของดังออกมาถึงข้างนอก“พี่ชาย ที่นี่รับซื้อสินค้าหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงรอจังหวะช่วงลูกค้าเดินออกไปรีบเข้ามาสอบถามเด็กหนุ่มที่กำลังยืนขายของ“น้องชายตัวน้อย ร้านนี้เป็นร้านขายของแต่ก็รับซื้อสินค้าด้วย เจ้าต้องการเอาสินค้าอันใดมาขายเช่นนั้นหรือ”“ข้ามีสินค้าใหม่มานำเสนอให้เถ้าแก่ พี่ชายได้โปรดบอกเถ้าแก่ให้ข้าได้หรือไม่”“ได้ ๆ เจ้าตามข้ามาทางนี้”
“เร่เข้ามาขอรับ เร่เข้ามา” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายตะโกนเรียกเหล่าชาวเมือง “วันนี้ ข้าจางอี้หมิง กำลังฝึกทำการค้ากับท่านเถ้าแก่หวัง มีสินค้าอยากนำเสนอให้แก่ทุกท่าน สินค้าใหม่ของร้านเถ้าแก่หวังวันนี้ได้แก่น้ำตาลผักขอรับ มันมีรสชาติหวานเช่นน้ำตาล แต่มีระดับความหวานกว่ามาก ที่สำคัญราคาไม่แพงขอรับ” “เนื่องด้วยเป็นสินค้าใหม่ ทางเถ้าแก่จึงให้ทุกท่านได้ทดลองชิมกันดูก่อนโดยไม่คิดเงินขอรับ หากไม่ซื้อไม่เป็นไร” จางอี้หมิงแย้มยิ้มน่ารัก เขายืนบนลังไม้เก่าเพื่อให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้น “เพียงท่านนำไปปรุงอาหาร วิธีการง่ายมากขอรับ เหยาะลงไปในโจ๊กธัญพืชแบบที่ข้าแจกอยู่ตอนนี้ก็ได้เช่นกัน ท่านลุง ท่านป้า พี่สาว พี่ชาย ชอบหวานเท่าใดก็เลือกใส่ได้ตามสบายเลยขอรับ พี่สาวคนงาม ลองชิมดูไหมขอรับ”“น้องชายท่านนี้ช่างปากหวานเสียจริง ไหนพี่สาวขอลองดูสิว่ามันจะอร่อยเหมือนกับที่เจ้าบอกหรือเปล่า” หญิงสาวอายุประมาณสิบแปดปีคนหนึ่งถึงกับยิ้มหน้าบานเมื่อได้ยินเด็กน้อยเอ่ยชม นางเดินเข้าไปรับถ้วยโจ๊กมาถือไว้แล้วหลบมายืนอีกข้างหนึ่งจางอี้หมิงยืนอยู่หน้าร้านและประกาศเชิญชวนไปด้วย ถึงแม้จะเพิ่งหายป่วย ร่างกายผอมแห้งเกินเด็กร
คุณชายรองจวนเจ้าเมืองไม่นึกสงสัยในคำบอกเล่าของเถ้าแก่หลินอีกแล้ว เมื่อเช้านี้ เถ้าแก่หลินไห่ได้ไปเชิญท่านพ่อและครอบครัวของเขาให้มาในการเปิดตัวอาหารชนิดใหม่ เห็นเถ้าแก่เล่าถึงความฉลาดและเรื่องราวของเด็กน้อยบนตักให้ทุกคนได้รับฟังด้วยความภูมิใจนักหนา เขายังแปลกใจปนสงสัยในความฉลาดเกินเด็กของหลานชายบุญธรรมเถ้าแก่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้ยินข้อเสนอนี้แล้ว เขาก็ไม่สงสัยอีกต่อไปหวงห่าวหรานหันหน้าไปมองจางอี้เทา แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ความคิดความอ่านช่างดีนัก สามารถสอนบุตรชายให้เก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ น่าคบหาเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว“พี่ชายอี้เทา ท่านช่างสอนหมิงหมิงน้อยได้ดียิ่งนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาเถ้าแก่หลินไห่เถอะ บอกว่าเจ้าแก้ไขปัญหาได้แล้ว และข้ายินดีทำตามที่เจ้าต้องการ จะทำเช่นไรนั้นค่อยปรึกษากันทีหลัง ดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยชมจางอี้เทา ก่อนก้มหน้ายอมรับข้อเสนอของเด็กน้อยบนตักตนเองด้วยรอยยิ้มสมแล้วที่เป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง เพียงได้ฟังคำบอกจากเขาก็เข้าใจได้ทั้งหมดจางอี้หมิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มกว้างตอบ ขยับตัวลงจากตักของคุณชายหวงแล้ววิ่งไปหาท่านปู่หลินทันที“ท่านปู่ขอรับ ท่านมีท
“เมื่อถึงคราวครบกำหนดส่งเครื่องบรรณาการ ทุกเมืองในแคว้นฉินจะต้องหาเครื่องบรรณาการที่ล้ำค่าที่สุดส่งเข้าไปให้กับเมืองหลวงเพื่อคัดเลือกเป็นสิ่งของล้ำค่า ราวกับเป็นตัวแทนแคว้นฉินส่งมอบให้กับแคว้นจ้าว หากเมืองไหนได้รับเลือก เมืองนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีที่จะต้องส่งให้กับเมืองหลวง และยังได้เงินอีกจำนวนหนึ่งเป็นของรางวัลด้วย เมืองไห่ถังมิเคยได้รับเลือกเป็นตัวแทนสักครั้ง ท่านพ่อจึงหวังว่าในครั้งหน้า เมืองไห่ถังจะได้รับเลือก”“ท่านเจ้าเมืองช่างเป็นคนดียิ่ง” จางอี้เทาเปรยออกมาอย่างชื่นชม“แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนในการหาสิ่งของที่มีมูลค่า จะประกาศออกไปก็เห็นทีจะทำไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นการเปิดเบาะแสให้เมืองอื่นนำความคิดไปใช้ ข้าได้ข่าวลับมาว่าแคว้นจ้าวกำลังหาของขวัญเพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดกับองค์หญิงพระองค์หนึ่งซึ่งหลงใหลในภาพวาดและงานเขียนเป็นอย่างมาก ท่านพ่อจึงคิดจะหาภาพวาดเพื่อมอบให้กับองค์หญิง” หวงห่าวหรานถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เขาพูดออกมาเสียยืดยาวโดยลืมคิดไปเลยว่าเด็กตัวกระจ้อยแค่นี้จะมาเข้าใจอะไร“หมิงหมิงน้อย ข้าขอโทษเจ้าด้วย เจ้ายังเป็นเด็ก ข้าก็ช่างเลอะเลือน เอาปัญห
“ใช่แล้วขอรับคุณชายหวง อี้หมิง ทำความเคารพคุณชายหวงห่าวหรานเสียสิ คุณชายหวงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมือง คุณชายหวงขอรับ เด็กน้อยคนนี้เป็นหลานบุญธรรมของข้า ชื่อว่าจางอี้หมิง และนั่นจางอี้เทา บิดาของเขาขอรับ” หลินไห่เอ่ยแนะนำอี้หมิงให้รู้จักกับชายหนุ่ม“คารวะคุณชายหวง” สองพ่อลูกสกุลจางเอ่ยทักทายตามคำบอกของเถ้าแก่หลิน“ยินดีที่ได้รู้จักเด็กฉลาดเช่นเจ้านะ หมิงหมิงน้อย เห็นทีว่าเถ้าแก่หลินคงไม่สะดวกในวันนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยถามเสียงทุ้ม“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบ แต่ในใจกลับคิดไปไกล หล่อโอ้ปป้าเกาหลีแบบนี้นี่เอง คุณหนูใหญ่ของทั้งสองจวนถึงแย่งกันขนาดนี้ แม้แต่การพูดยังคุณช๊ายคุณชาย “คุณชายหวงอย่าได้เป็นกังวล ข้าขอจัดการปัญหาสักครู่ เชิญคุณชายนั่งรอก่อนขอรับ” หลินไห่วางเด็กน้อยลงบนพื้นก่อนที่จะหันไปเชิญหวงห่าวหรานให้นั่งลงก่อน“ซีฮัน เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เถ้าแก่หันไปถามคนงานด้วยน้ำเสียงจริงจังซีฮันจึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เขาเปิดรับการจองลำดับอาหารทั้งหลายตามจำนวนที่เถ้าแก่ได้สั่งไว้ แต่ปรากฏว่าสามสหายท่องหล้าอันดับสุดท้ายนั้น เขาไม่รู้จะมอบ
“ขอถามท่านปู่ทั้งสอง พวกท่านสามารถเลื่อนการชิมอาหารไปในครั้งหน้าได้หรือไม่ ข้าจะให้พี่ซีฮันให้ท่านอยู่ลำดับแรก ๆ เลยขอรับ” “เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาแทรกการสนทนาของผู้ใหญ่” ผู้เฒ่าคนแรกเอ่ยถามขึ้นจางอี้หมิงพิจารณาการแต่งกายของคนตรงหน้าแล้ว คาดว่าคงจะไม่ใช่คหบดีหรือเศรษฐี ถ้าเดาไม่ผิดอาจจะเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของจวนไหนสักแห่ง“ตอบท่านปู่ ข้าชื่อจางอี้หมิง เป็นหลานชายบุญธรรมของท่านปู่หลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูขอรับ” จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนตัวตรง ยกมือคารวะไปยังสองผู้เฒ่าพร้อมกับตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนฉะฉาน“หน้าตาของเจ้าช่างคุ้นนัก มิใช่เด็กน้อยที่ตะโกนขายน้ำตาลผักที่ร้านเถ้าแก่หวังหรอกหรือ”“เป็นข้าเองขอรับ” “ไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยคนนั้นจะเป็นถึงหลานชายบุญธรรมของเถ้าแก่หลินไห่ ข้าชื่อหานอี้ เป็นหัวหน้าพ่อบ้านคหบดีหานอี้ฝาน รับคำสั่งจากคุณหนูใหญ่ให้มาทำการจองลำดับในวันนี้ แต่ไม่นึกว่าจะต้องมาเจอกับเจ้าเฒ่าหน้าเหม็นจวนผิงไปเสียได้” หานอี้อธิบาย เขามองไปยังผู้เฒ่าอีกคนด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เจ้าเฒ่าหาน อย่ามากล่าวหาข้าลอย ๆ เช่นนี้ นึกว่าข้าจะอยากมาเจอตาเฒ่าเช่นเจ้าหรือไร เพียงแต่
“พี่ซีฮัน ข้ากับท่านพ่อเพิ่งมาถึง เหตุใดข้าจึงเป็นสาเหตุของเรื่องราววุ่นวายได้ล่ะขอรับ”จางอี้หมิงเกาหัวตนเองอย่างสับสนมึนงง เขาไม่เข้าใจว่าตนเองไปเป็นต้นเหตุของเรื่องราวได้เช่นไร เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาได้ไม่เท่าไรก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุเสียแล้ว เสียงดังโหวกเหวกพวกนี้มีมาก่อนหน้านี้แล้วมิใช่หรือ“เพราะรายการอาหารใหม่ที่จำกัดจำนวนการขายเป็นความเห็นของเจ้าเช่นไรเล่า ลูกค้าพวกนั้นถึงทะเลาะกันอยู่อย่างนี้” ซีฮันถึงกับเล่าไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาต้องยืนอยู่ตรงกลางชายชราทั้งสองคนมานานกว่าสองเค่อแล้วเห็นว่าเป็นชายชราเช่นนั้นหรือ ฮึ! หลอกลวงทั้งเพ ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา ไม่เห็นใจคนที่อยู่ตรงกลางเช่นเขาเลยสักนิด“พี่ซีฮันอย่าเพิ่งโมโหไปขอรับ รบกวนพี่ซีฮันไปแจ้งแก่พวกเขาทุกคนว่าให้อยู่ในความสงบ ขอข้าได้รับฟังเรื่องราวสักนิด คงใช้เวลาไม่นานที่จะหาทางออกของปัญหาให้ขอรับ” “ได้ ๆ” เสี่ยวเอ้อร์อันดับหนึ่งของเหลาอาหารซิ่งฝูรีบไปจัดการตามที่เจ้านายตัวน้อยกล่าว เมื่อเขานำความไปแจ้งแก่ลูกค้ากลุ่มนั้น พวกเขาจึงเงียบเสียงลงและเดินไปนั่งรอคอยว่าเหลาอาหารซิ่งฝูจะจัดการปัญหาเช่นไร
“เถ้าแก่เอาน้ำตาลผักกับเกลือผักมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ขอรับ เพราะเกลือผัก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการทำ ระยะเวลาในการทำ รวมถึงการดูแลรักษายุ่งยากกว่าน้ำตาลผักมาก แต่ถ้าหากว่าเถ้าแก่คิดว่าแพงเกินไป กลุ่มการค้าหลัวถงก็คงต้องขอนำเกลือผักไปเสนอให้กลุ่มการค้าอื่นแทน ท่านว่าดีหรือไม่ขอรับ”“มะ ไม่ดีหมิงหมิงน้อย ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้นเอง ได้ฟังเจ้าอธิบายมาเช่นนี้แล้ว ข้าพอจะเข้าใจและยอมรับได้ เช่นนั้นก็ตกลงที่ราคาสิบอีแปะเท่าราคาเครื่องเทศนั่นแหละ” ฮึ! ช่างเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์เสียจริง เห็นรูปร่างเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ ประมาทไม่ได้เสียแล้ว ในเรื่องการต่อรอง เขาต้องระวังตัวเช่นนี้เชียวหรือ เฮ้อ! หมดกันกับฉายาเถ้าแก่หวังผู้ไม่เคยพ่าย เถ้าแก่ร้านขายของชำถึงกับยกมือขึ้นซับเหงื่อตรงบริเวณหน้าผากทั้งที่ไม่มีเหงื่อออกมาเลยสักหยด“ท่านพ่อ ข้าขอตัวอย่างเกลือผักด้วยขอรับ” จางอี้หมิงขอเกลือผักจากบิดา เด็กน้อยได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเกลือผักต้องขายได้หลังจากที่ได้ยินเถ้าแก่หวังบอกเหตุผลตั้งแต่วันที่มาคุยเรื่องการค้าครั้งใหญ่ อีกอย่าง ในฐานะพ่อค้า เหตุใดจะไม่หาหนทางให้ขายได้ ถ้าเกลือผักนำออกขายไม่ได้ นั่นล่ะที่
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน สุริยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่สมาชิกตระกูลจางต่างก็พากันลุกขึ้นมาจัดการหน้าที่ของตนเองแล้ว แม้แต่เด็กน้อยอย่างจางอี้หมิงก็ตื่นนอนมาเตรียมตัวด้วยเมื่อวานตอนเย็นหลังจากที่ได้พูดคุยตกลงกัน พวกเขาได้ข้อสรุปแล้วว่าจะลงหลักปักฐานเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หมู่บ้านหลัวถงนี้ดังนั้นแล้ว จางอี้หมิงจึงได้ขอโฉนดที่ดินมาจากท่านย่าเพื่อนำมาวางแผนผังการใช้สอยที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินของตระกูลจางมีทั้งหมดสามสิบหมู่และอยู่ท้ายหมู่บ้าน บ้านที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างให้ตอนนี้อยู่ห่างจากลำธารพอสมควร จางอี้หมิงจึงเสนอให้แบ่งที่ดินออกเป็น 5 ส่วน ในเมื่อสกุลจางตกลงที่จะเป็นพ่อค้าคนกลางแล้ว ที่ดินที่จะใช้ในการปลูกพืชผักจึงตัดออกไปเสียมาก เหลือเพียงไว้ใช้ปลูกพืชผักเพื่อกินเองเท่านั้นบริเวณหน้าบ้าน อี้หมิงตั้งใจจะสร้างเป็นสถานศึกษาในอนาคต ที่ดินจึงถูกกันไว้มากหน่อย บ้านที่กำลังจะสร้างในอีกไม่กี่วันนี้เป็นแบบชั่วคราวเพื่อรอให้ชาวบ้านร่ำรวยและสร้างไปพร้อมกัน จึงจัดไว้ตรงกลาง เหลือพื้นที่หลังสุดที่อยู่ใกล้ลำธารสำหรับสร้างบ้านที่สวยงามและมีขนาดใหญ่ในภายหลังเมื่อวาดแบบออกมาอย่างคร่าว ๆ
“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ต้นหญ้าหวานมีเป็นภูเขา ถึงแม้จะมีใบสั่งซื้อจำนวนมาก ทว่าในการทำหัวเชื้อ เราใช้ต้นหญ้าหวานนิดเดียวเท่านั้น ท่านพ่อลืมแล้วหรือขอรับว่าเราไม่ต้องตากต้นหญ้าหวานแล้ว ในเมื่อเราใช้ใบสดในการทำน้ำตาลผัก ปริมาณที่ใช้จึงลดลงตามไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือใบหญ้าหวานสดหนึ่งจินใช้ทำหัวเชื้อได้ประมาณสิบไหเลยนะขอรับ”“จริงเช่นหมิงเอ๋อร์พูด พ่อช่างเป็นคนขี้ลืม หมิงเอ๋อร์บอกว่าจะปรับสูตรการทำหัวเชื้อเช่นนั้นหรือ ในเมื่อวันนี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทดลองแล้ว เช่นนั้นค่อยทดลองวันอื่นกันเถอะ”“หมิงเอ๋อร์ พรุ่งนี้หลังจากที่เราส่งน้ำตาลผักรอบสุดท้ายและตกลงจ้างงานกับเถ้าแก่หวังเสร็จแล้ว พ่อว่าเราไปหาท่านปู่หลินให้ช่วยเรื่องการสร้างบ้านกันเถอะ เรื่องสร้างบ้านพ่อไม่ถนัด เกรงว่าจะพูดคุยกับช่างไม่รู้เรื่อง แล้วหมิงเอ๋อร์พอรู้เรื่องการสร้างบ้านหรือไม่” จางอี้เทาปรึกษาบุตรชายอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่ง“ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยห้าขวบ ไหนเลยจะรู้เรื่องการสร้างบ้านเล่าท่านพ่อ แต่ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ ข้าต้องการสิ่งใดบ้าง ในวันที่คุยกับช่าง ข้าจะอธิบายให้ท่านพ่อและช่า
“หมิงเอ๋อร์ แล้วถ้าเกลือผักสามารถทำออกมาขายได้เล่า เจ้าได้วางแผนไว้เช่นไรบ้าง” หลังจากที่เอ่ยชมกันไปมาแล้ว อี้เทาจึงถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านพ่อ เกลือผักข้าจะไม่หวงสูตรขอรับ เพราะเกลือผักใช้เวลาในการทำนานกว่า ขั้นตอนยุ่งยากกว่า แต่ข้าจะขอส่วนแบ่งจากการขายแทนขอรับ อีกหนึ่งเหตุผลคือหากเราคิดค่าสูตรทุกอย่าง ชาวบ้านอาจจะต่อต้านเราเหมือนกับท่านพี่หลวนซาน เราแค่ขอส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”“แต่ท่านพ่ออย่าลืมนะขอรับ ถึงแม้จะเพียงแค่หนึ่งอีแปะ แต่ถ้าปริมาณการขายเป็นหมื่นเป็นแสนห่อ ท่านพ่อคิดว่ามันจะมีรายได้เกิดขึ้นเท่าไรขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเหมือนกับท่านปู่ของเจ้ายิ่งนัก” นางหูเอ่ยชมออกมาหลังจากที่ได้ฟังความคิดของหลานชายสามีของนางทั้งเป็นคนดี รักครอบครัวและเก่งกาจในการทำการค้ายิ่งนัก เมื่อเห็นว่าอี้เทาชื่นชอบการเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ก็ไม่เคยบังคับให้สืบต่อกิจการค้าผ้า น่าเสียดายที่สามีของนางอายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความน่ารักและเฉลียวฉลาดของหลานชาย“ข้าเก่งเหมือนท่านพ่อแล้ว ข้ายังเก่งเหมือนท่านปู่ด้วยขอรับ ฮิฮิ” “เจ้าเด็กหลงตัวเอง” นางหูถึงกับส่ายหน้าแต่ก็ยกยิ้มกว้าง นางเพ