Share

บทที่66 ข้าเลือก...

'ต้าเฮยเจ้าคิดว่าทั้งสี่ตำหนักข้าควรเลือกเข้าตำหนักใดดีที่สุด?' หนิงอ้ายเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยที่ขดอยู่ในอกเสื้อของตนผ่านกระเเสจิตเพื่อถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งนี้

'ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าตำหนักใดจะมีข้าที่คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องท่านขอรับ...' ต้าเฮยตอบกลับไปตามความคิดที่มีต่อนายท่านคนงามนี้ด้วยเพราะว่าท่านประมุขกำชับมันไว้ว่าต้องดูแลนายหญิงให้ดีที่สุด

'ขอบใจเจ้ามาก เอาละ! ข้าตัดสินใจได้เเล้ว...' ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดสินใจเลือกตำหนักที่ตนสนใจได้แล้ว

"ก่อนที่เจ้าจะเลือกเข้าสังกัดตำหนักใด จงฟังข้อเสนอของพวกข้าเสียหน่อยเถิด..." ผู้อาวุโสรุ่ยเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายมีท่าทางราวกับว่าตัดสินใจได้แล้ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ใหม่เป็นอย่างมาก แต่บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์สายนอกและสายในตั้งแต่ปีที่สองขึ้นไปต่างเคยเห็นหรือพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนทั้งสิ้น การให้ข้อเสนอหรือการชักชวนจากเจ้าตำหนักทั้งสี่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ในยามที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องการให้ศิษย์ที่ตนหมายตาไว้ให้เข้าร่วมสังกัดตำหนักของตนนั่นเอง

"ความสามารถและญาณสัมผัสอันล้ำลึกของเจ้าช่างเหมาะสมกับตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของข้าเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งสหายของเจ้าถึงสี่คนล้วนสังกัดตำหนักของข้าเช่นกันเเต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญอันใด ข้ามั่นใจว่าด้วยทรัพยากรที่ทางตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของเรามีจะสามารถบ่มเพาะให้เจ้าสามารถยืนอยู่แถวหน้าของผู้ฝึกตนได้อย่างเต็มภาคภูมิ!!" ผู้อาวุโสรุ่ยเหอหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู่พ่วงด้วยตำแหน่งรองเจ้าสำนักเอ่ยขึ้นเพื่อโน้มน้าวให้เด็กหนุ่มนั้นเข้าอยู่ในสังกัดตำหนักของตน

"ข้าเห็นถึงกระบวนการคิดอันลึกล้ำซับซ้อนถี่ถ้วนรวมไปถึงอุปนิสัยส่วนตัวของเจ้ามาตั้งแต่แรกเริ่มการทดสอบเข้าสำนักศึกษาจนมาถึงตอนนี้ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของเจ้าเหมาะสมที่จะเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล อีกทั้งข้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวท่ามกลางบุรุษประหลาดทั้งสามคนเหล่านี้ ดังนั้นข้าย่อมที่จะเข้าใจและดูแลเจ้าได้ดีไม่ต่างมารดาของเจ้า..." ผู้อาวุโสกุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน

ด้วยสิ่งที่เอ่ยขึ้นมานั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เพราะว่าถึงอย่างไรแล้วนั้นสตรีย่อมมีความเข้าใจและสนใจเรื่องละเอียดอ่อนมากกว่าบุรุษ

"แต่ข้ากลับคิดต่างจากไปจากเจ้าตำหนักทั้งสองคน ด้วยปราณธาตุไฟต้นกำเนิดของเจ้านั้นบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนนับว่าหาได้ยากยิ่ง! หากนำปราณธาตุต้นกำเนิดของเจ้าประสานเข้ากับวิถีของศาสตร์แห่งศาสตราวุธแล้ว ข้าเชื่อว่าของวิเศษที่เกิดขึ้นจากฝีมือย่อมทำให้ชื่อเสียงของเจ้านั้นกว้างไกลไม่ต่างจากข้าคำกล่าวนี้ย่อมเป็นไปได้ไม่เกินจริงไปนัก..." ผู้อาวุโสเฉิงห่าวหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งศาสตราวุธเอ่ยเสริมขึ้น

ด้วยเพราะว่านักหลอมสร้างที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ นอกจากที่จะต้องมีเคล็ดวิชาพิศดารล้ำเลิศแล้ว ปราณธาตุไฟต้นกำเนิดนับได้ว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญต่อศาสตร์นี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะหากมีปราณธาตุต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์มากเท่าใดอาวุธหรือของวิเศษที่ถูกสรรสร้างขึ้นย่อมมีความล้ำค่าไม่สามัญอย่างแน่นอน

สำหรับเด็กหนิงอ้ายคนนี้ที่มีปราณธาตุต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์ไปถึงสิบส่วน สิ่งของวิเศษที่ถูกสรรสร้างจากอีกฝ่ายย่อมสร้างชื่อเสียงให้อีกฝ่ายนั้นเป็นสุดยอดนักหลอมสร้างที่อายุน้อยที่สุดในยุทธภพได้อย่างแน่นอน

“...

"ตาเฒ่าเหวินจักไม่กล่าวสิ่งใดอย่างนั้นรึ? หรือเจ้าไม่ต้องการเด็กคนนี้เข้าร่วมตำหนักของเจ้ากัน..." ผู้อาวุโสกุ้ยเจินถามขึ้นเมื่อเห็นว่าตาเฒ่าประหลาดผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่นั่งอยู่ข้างนางยังคงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา อีกฝ่ายยังคงเอาแต่มองหน้าเด็กหนุ่มหนิงอ้ายผู้นี้อย่างไม่ละสายตา

"ข้าหนิงอ้ายซาบซึ้งถึงความเมตตาของผู้อาวุโสทุกท่าน เพียงเเต่เเรกเริ่มข้านั้นมีตำหนักที่สนใจอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขออภัยผู้อาวุโสเจ้าตำหนักทั้งสามท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งตัวคำนับตามมารยาทของผู้ฝึกตนที่พึงมีเรียกสายตาชื่นชมแก่ผู้คนโดยรอบลานพิธี ด้วยเพราะท่าทางเหล่านี้นั้นได้แสดงให้เห็นว่าแม้อีกฝ่ายจะมากไปด้วยฝีมือแต่ก็ไร้ซึ่งความหยิ่งทะนงไม่รู้จักต่ำสูงช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกอบรมสั่งสอนมาได้ดีอย่างยิ่ง

"ข้าขอเลือกเข้าตำหนัก...." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเงียบเสียงไป ทุกคนที่อยู่ในที่นี้รวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสและเจ้าตำหนักทั้งสามคนต่างนั่งลุ้นว่าเป็นตำหนักใดกันที่จะได้เด็กหนุ่มคนนี้เข้าไปเป็นศิษย์ในตำหนักของตน

"ข้าขอเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาขอรับ!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาในที่สุด

สิ้นเสียงของหนิงอ้ายนอกจากจะสร้างความประหลาดใจแก่เจ้าตำหนักทั้งสามรวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงไปเเล้ว ยังมีสายตาของความแปลกใจจากบรรดาศิษย์สายในและศิษย์สายนอกรวมไปถึงกลุ่มสหายของตน เพราะทุกคนต่างคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าหนิงอ้ายเหมาะสมกับตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้มากที่สุด

"เจ้ามากไปด้วยฝีมือและความสามารถเช่นนี้ เหตุใดจึงเลือกเข้าตำหนักของตาเฒ่าประหลาดด้วยเล่า??" ผู้อาวุโสกุ้ยเจินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นว่าตาเฒ่าประหลาดที่นั่งอยู่ข้างนางอยู่ ๆ ก็ได้เนื้อชิ้นโตไปเสียอย่างนั้น

"อย่างไรก็ถือว่าเจ้าเป็นศิษย์ในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ในวันหน้าหากต้องการคำปรึกษาสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อได้เช่นกัน..." ผู้อาวุโสรุ่ยเหอเอ่ยขึ้นก่อนที่จะมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคล้ายกับต้องการยืนยันความต้องการของตน

"หากเจ้าเบื่อตาเฒ่าเหวินยามใดเจ้าสามารถมาเยี่ยมชมตำหนักแห่งศาสตราวุธของพวกเราได้...ประตูของตำหนักข้าพร้อมที่จะต้อนรับเจ้าเสมอจำเอาไว้เล่า" ผู้อาวุโสเฉิงห่าวเอ่ยบอกกับเด็กหนุ่มไปอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปคุยกับผู้อาวุโสในตำหนักของตนเกี่ยวกับการจัดการเหล่าศิษย์ใหม่เหล่านี้

ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่ตัดสินใจเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาในที่สุด นับว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของทุกคนในที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสระดับสูงในสำนักศึกษา ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกต่างๆ รวมไปถึงกลุ่มสหายของหนิงอ้ายเองต่างก็รู้สึกแปลกใจไปไม่แพ้กัน

เพราะพวกเขาทุกคนต่างคิดว่าเด็กหนุ่มคงตัดสินใจเลือกเข้าตำหนักศาสตร์การต่อสู้ ด้วยฝีมือของหนิงอ้ายที่แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ก่อนหน้านี้ในการประลองที่พึ่งจบลงไป สามารถกล่าวได้ว่าด้วยญาณสัมผัสอันแม่นยำรวมไปถึงฝีมือในเชิงยุทธ์เช่นนี้ อาจเทียบเท่าศิษย์สายนอกอันดับบน ๆ ของทางสำนักศึกษาได้เลยทีเดียว

มากไปกว่านั้นแล้วกลุ่มสหายของเด็กหนิงอ้ายผู้นี้เองต่างเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้รวมไปถึงศาสตร์แห่งค่ายกลทั้งสิ้น เด็กหนุ่มนามว่าลู่ซีที่หนิงอ้ายเรียกแทนอีกฝ่ายว่าพี่ชายก็ได้เข้าสังกัดอยู่ในตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเช่นกัน

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่ว่าเด็กหนุ่มจะเลือกเข้าสังกัดอยู่หนึ่งในสองตำหนักนี้ แม้ว่าในความคิดของพวกเขาจะเห็นตรงกันว่าอาจจะเอนเอียงไปทางฝั่งของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้มากกว่า ด้วยเพราะตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากกว่าบรรดาตำหนักอื่น ๆ ในสำนักศึกษาแห่งนี้นั่นเอง

'ข้านึกว่าเขาจะเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เสียอีก...'

'เจ้าตำหนักทั้งสามท่านต่างเอ่ยเชิญชวนด้วยตนเองเช่นนี้...แต่กลับไม่สนใจช่างแปลกคนยิ่งนัก!'

'ปราณธาตุต้นกำเนิดของเขาเป็นปราณธาตุไฟมีความบริสุทธ์ถึงสิบส่วนด้วยคุณสมบัติเช่นนี้นับว่าเป็นอีกสิ่งที่สำคัญของนักโอสถไม่ใช่รึ? ข้าว่าเด็กคนนี้เลือกเข้าตำหนักถูกต้องเเล้ว'

'โดยปกติตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาจะเน้นไปในทางโอสถเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าศิษย์สายในที่สังกัดอยู่จะมีฝีมือเชิงยุทธ์อยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับตรงว่ายังคงด้อยกว่าตำหนักอื่น ๆ ไปเสียหลายส่วน ทำให้การประลองในสำนักศึกษาแต่ละปีตำหนักของพวกเขาล้วนผูกขาดอยู่ในลำดับที่สามหรือสี่ของการประลอง เมื่อได้เด็กคนนี้เข้าสังกัดของตำหนักไปเห็นทีว่าอันดับการประลองนั้นคงมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน...'

'ถึงอย่างไรก็ตามข้าเสียดายฝีมือของเด็กหนุ่มคนนี้ เขาสามารถเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ได้อย่างง่ายดายเลยเสียด้วยซ้ำ ข้าเพียงแต่หวังว่าแม้เขาจะเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไปแล้วคงไม่ละทิ้งเชิงยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ไป เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าคงเสียดายพรสวรรค์ของเขาเป็นแน่'

'ปีนี้ศิษย์ใหม่สายนอกแต่ละคนช่างโดดเด่นเป็นอย่างมาก ตัวข้าในตอนอายุเทียบเท่ากับพวกเขาที่ต้องทดสอบเข้าสำนักในครั้งนี้นั้นคงไม่ได้มีฝีมือเช่นนี้ น่าชื่นชมเด็กรุ่นเยาว์เหล่านี้เสียจริง…'

เสียงพูดคุยดังขึ้นทั่วทิศทางโดยรอบของลานพิธีแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสประจำตำหนักต่าง ๆ ที่โดยปกติมักจะยุ่งกับภารกิจของตนที่ได้รับมอบหมายไม่ว่าจะเป็นภารกิจของทางสำนักเองหรือเป็นภารกิจที่ได้รับจ้างวานจากผู้ฝึกตนภายนอกจนทำให้นานครั้งจึงจะได้พบเจอกันเสียครั้งหนึ่ง บ้างก็เป็นศิษย์ร่วมตำหนักที่ต่างพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน บ้างก็ดีใจที่บรรดาศิษย์ใหม่ที่ตนหมายตาอยากได้เป็นศิษย์น้องในที่สุดก็ได้สังกัดเข้าตำหนักเดียวกับ ความวุ่นวายนี้ยังคงเกิดขึ้นไปอีกชั่วครู่ใหญ่เลยทีเดียว

"ข้าคิดว่าหนิงอ้ายจะเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เช่นเดียวกับพวกเราเสียอีก ไม่คิดว่าจะเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเช่นนี้ ช่างเป็นผู้ที่คาดเดาอะไรไม่ได้เสียจริง" อี้หลินเอ่ยขึ้นให้ได้ยินเพียงเฉพาะพวกเขาด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่งด้วยเพราะอยากอยู่ตำหนักเดียวกัน

"ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้าอี้หลินว่าหนิงอ้ายต้องเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นแน่ ไม่คิดว่าจะหักมุมเช่นนี้ไปได้" หลี่ซวงเอ่ยเสริมขึ้นมาในทันทีพร้อมกับจ้องมองไปยังทางฝั่งสหายตัวเล็กของตนที่ยังยืนอยู่ในลานพิธีด้านหน้า

ตั้งแต่เเรกก่อนที่จะได้เป็นสหายกลุ่มเดียวกันเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ถูกหลบซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์อันบอบบางของอีกฝ่ายสำหรับผลการประลองที่พึ่งจบไปชัยชนะของเด็กหนุ่มที่ได้มา เขาเองก็เชื่อว่านั่นเป็นเพียงความสามารถไม่กี่ส่วนยังไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงทั้งหมด ดังนั้นแล้วด้วยคุณสมบัติเหล่านี้หนิงอ้ายช่างเหมาะสมกับตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้

"ฮ่าฮ่าฮ่า!!! พวกเราต่างทายผิดกันทั้งสิ้นในเรื่องของตำหนักที่หนิงอ้ายต้องการเข้าสังกัด เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างลู่ซี??" จ้าวหลานหัวเราะดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี ด้วยเพราะสหายตัวน้อยของตนช่างเป็นผู้คาดเดาอะไรไม่ได้เสียจริง ก่อนที่จะหันไปถามเจ้าของชื่อที่ยืนอยู่ข้างตน

"ข้าเพียงแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น แต่ข้าพอจะคาดเดาได้อยู่บ้างว่าเหตุใดหนิงอ้ายจึงเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับไปพร้อมมองไปยังหนิงอ้ายที่ยังยืนอยู่ในลานพิธี แน่นอนว่าลู่ซีนั้นพอได้รับรู้มาอยู่บ้างว่าหนิงอ้ายครอบครองวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษ

การที่อีกฝ่ายเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาคงได้คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นแน่เพราะก่อนจะเลือกทำสิ่งใดหนิงอ้ายมักจะคิดอ่านอย่างถี่ถ้วนรอบคอบอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามลู่ซียังคงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของหนิงอ้ายอย่างเต็มเปี่ยมและไร้ซึ่งคำถาและข้อกังขาใด

"พวกเราส่วนใหญ่ต่างเลือกเข้าตำหนักเดียวกันเช่นนี้ ทางฝั่งของลู่ซีและอู๋ฮั่นนั้นเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล ส่วนอี้หลิน หลี่ซวง จ้าวหลานและตัวข้าได้เลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ มีเพียงหนิงอ้ายเท่านั้นที่เลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น..." จินหั่วเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังสหายของตน

"ข้ารู้ว่าพวกเจ้าห่วงหนิงอ้ายไม่น้อย เช่นนี้ดีหรือไม่ถึงแม้ว่าพวกเราจะอยู่กันคนละตำหนักกันก็จริงเเต่อย่างไรพวกเราก็สามารถเจอกันได้ที่ห้องโถงส่วนกลางได้ไม่ใช่รึ? เอาไว้ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาที่ทุกคนพบเจอแล้วหาทางออกช่วยกันเพราะอย่างไรพวกเราก็เป็นสหายย่อมไม่ทิ้งกันอยู่แล้วใช่หรือไม่เล่า?" อี้หลินกล่าวจบลงด้วยท่าทางจริงจัง ถึงแม้ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะต้องอยู่แยกตำหนักกันแล้วแต่ใช่ว่าสายสัมพันธ์นี้จะเลือนหายไป เพราะพวกเขาที่เป็นสหายกันแล้วย่อมไม่ทิ้งผู้ใดตามหลังตน

"แต่ที่ข้าเป็นกังวลใจอยู่นั่นคือกฎของการทดสอบ จริงอยู่ที่ว่าหากศิษย์ใหม่สามารถเป็นฝ่ายที่เอาชนะศิษย์สายนอกได้สำเร็จ ล้วนมีสิทธิที่จะเลือกเข้าตำหนักศึกษาที่ตนหมายตาเอาไว้แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากผู้อาวุโสเจ้าตำหนักท่านได้พิจารณาแล้วถึงคุณสมบัติและพรสวรรค์ของศิษย์ผู้นแล้วพบว่าอีกฝ่ายไม่เหมาะสมสำหรับการเป็นศิษย์ในตำหนักของตนเช่นนั้นแล้วทางเจ้าตำหนักเองก็สามารถปฏิเสธความต้องการเข้าร่วมตำหนักของศิษย์ใหม่ผู้นั้นได้เช่นกัน..." จ้าวหลานเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียดไม่น้อย

เหตุเพราะว่าในการทดสอบประลองกับศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งผ่านไปได้เพียงไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้า แม้ว่าศิษย์ใหม่จะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะสลับกันไปก็นับได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ต้องบอกก่อนว่าในการประลองสำหรับผู้ฝึกตนนั้นระดับพลังวิญญาณไม่ได้เป็นสิ่งที่ชี้ชัดได้ว่าผู้ที่มีระดับสูงกว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยในด้านอื่นอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นระดับของบทเวทย์ ฝีมือทักษะในเชิงยุทธ์ ความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชา สมบัติวิเศษที่มีความพิศดารและรวมไปถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้สั่งสมมาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วงชิงความได้เปรียบที่นำมาซึ่งชัยชนะได้เช่นกัน...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status