"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้างดงามยิ่งนัก ขนาดศิษย์พี่ที่เป็นสตรียังไม่อาจเทียบเจ้าได้เลยแม้เเต่น้อย..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับพร้อมกับหยอกล้อเด็กหนุ่มกลับไป
"ศิษย์พี่ไป๋กล่าวชมข้าเกินไปแล้วท่านก็เป็นสตรีที่งดงามมากเช่นกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยสัตย์จริง ตอนเเรกที่ตนเห็นอีกฝ่ายนั้นยอมรับว่าศิษย์พี่ของเขาผู้นี้งดงามยิ่ง แม้ในใจเขานั้นจะเอนเอียงให้มารดาของตนงดงามมากกว่าก็ตาม
"ในที่สุดตำหนักของเราก็มีสิ่งที่สวยงามจริง ๆ เสียที!! ยินดีต้อนรับเจ้าอีกครั้งนะศิษย์น้อง..." บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มก่อนที่จะหันไปมองสตรีเพียงคนเดียวในที่นี้แล้วหันกลับมาทันที
"ศิษย์พี่เหยียนหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ??" เป็นไป๋เหลียนฮวาที่ถามกลับไปเหยียนฮุ่ยหรือศิษย์พี่สี่ของตนด้วยท่าทางหาเรื่องชวนให้รู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง
"ข้าก็หมายความอย่างที่ได้เอ่ยไปเช่นนั้น ศิษย์น้องหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยความงามและท่าทางเรียบร้อยไม่เหมือนกับเจ้าที่เป็นสตรี เเต่ทว่าซุกซนดื้อรั้นอีกทั้งไม่สำรวมเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป ดีเเล้วที่ได้ศิษย์น้องหนิงอ้ายเข้ามาในตำหนักหลังจากนี้ข้าคงตั้งใจศึกษาจากท่านอาจารย์เพิ่มขึ้นก็เป็นไปได้ ฮ่าฮ่าฮ่า" เหยียนฮุ่ยตอบกลับไปก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
นึกย้อนไปถึงตอนนั้นเมื่อหลายปีก่อนที่ท่านอาจารย์เหวินหวู่ได้รับไป๋เหลียนฮวาเข้ามาในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา พวกเขาที่เป็นบุรุษต่างถูกความงดงามของอีกฝ่ายหลอกก็คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะยามที่ได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญจากท่านอาจารย์แล้วอีกฝ่ายจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติอันเหมาะสมที่สตรีผู้หนึ่งพึงมีคนหนึ่ง
เเต่กับพวกเขาที่อยู่ในตำหนักเดียวกัน ต่างรับรู้กันดีว่าไป๋เหลียนฮวาเป็นผู้ที่ซุกคนเเต่ดื้อรั้นไปต่างไปจากบุรุษเช่นเดียวกันกับพวกเขา เพียงเเต่ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสตรีและมีความงดงามมากกว่าคนทั่วไปก็เพียงเท่านั้นเอง
"ศิษย์พี่สี่!!!" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดเพราะตนนั้นไม่เคยเถียงชนะศิษย์พี่สี่เลยสักครั้ง
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายงดงามยิ่งงามเสียจนข้าไม่อาจคิดได้ว่าบนโลกนี้จะมีสิ่งใดที่เทียบได้เสียด้วยซ้ำ ข่าวลือก่อนหน้าที่เกี่ยวกับเจ้าข้าคิดว่าเป็นเพียงเรื่องราวที่ถูกเสริมแต่งขึ้น ไม่คิดว่าจะเป็นความจริงไปได้เช่นนี้..."
"ศิษย์น้องตัดสินใจถูกเเล้วที่เลือกปลอมแปลงตัวตนในการทดสอบในครั้งนี้เพราะไม่เช่นนั้นเเล้วเหตุวุ่นวายคงแวะเวียนเข้ามาหาเจ้าอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นแน่..." ศิษย์พี่หกที่นั่งอยู่ตรงข้างกันเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่ทุกคนนั้นต่างพยักหน้าเห็นด้วย
"สุดท้ายสายตาของท่านอาจารย์ยังเฉียบคมอย่างเเท้จริง!! ภายใต้รูปลักษณ์ปลอมแปลงในก่อนหน้าของศิษย์น้องนั้นใครจะไปคาดคิดว่าจะงดงามเช่นนี้ได้..."
หลายปีมาเเล้วที่ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไม่ได้มีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสังกัดในตำหนักเสียที จนถึงกับมีคำกล่าวกันอย่างขำขันกันว่าเป็นเพราะศิษย์ใหม่ในเเต่ละปีนั้นหาได้มีผู้ที่หน้าตาดีมากพอที่จะผ่านมาตราฐานของท่านเจ้าตำหนักเหวินหวู่ได้ คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงไปสักเท่าไหร่นัก
บรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนรวมไปถึงศิษย์ใหม่อย่างหนิงอ้าย ทุกคนต่างมีหน้าตาที่หล่อเหลางดงามเป็นอันดับต้น ๆ กันทั้งสิ้น ศิษย์เเต่ละคนของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาหากจับวางอยู่รวมกับผู้อื่นเเล้วย่อมสามารถชี้ได้อย่างแน่นอนว่าคนใดเป็นศิษย์ในตำหนักด้วยเพราะความโดดเด่นในหน้าตานั่นเอง
"นั่นสินะ เเต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปในศิษย์น้องเพราะพวกเราทุกคนจะเก็บความลับนี้ของเจ้าไม่เปิดเผยกับผู้ใดจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าพร้อม เจ้าจงระลึกเอาไว้อยู่เสมอว่าหลังจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเจ้าคือศิษย์น้องของพวกพี่ เป็นศิษย์ร่วมตำหนักเดียวกันเพราะเช่นนั้นเเล้วพวกเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเป็นอันขาด!!" เหยียนฮุ่ยเอ่ยสำทับขึ้นพร้อมมองไปยังทุกคนในที่นี้ที่ล้วนพยักหน้ามองไปยังเด็กหนุ่มเพราะพวกเขาทุกคนต่างเป็นศิษย์ร่วมในอาจารย์ตำหนักเดียวกัน
"อาจารย์เห็นพวกเจ้ารักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ก็ดีใจยิ่ง เอาละ!! เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้หนิงอ้ายเจ้าจงยกน้ำชาให้แก่ข้าได้เเล้ว!!!" เหวินหวู่เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีเพราะด้านหน้าของเด็กหนุ่มนั้นทุกสิ่งได้ถูดจัดเตรียมไว้หมดเเล้ว
"หวังหนิงอ้ายขอยกน้ำชาถ้วยนี้เพื่อเป็นการคำนับแก่ท่านอาจารย์ขอรับ!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกถ้วยน้ำชานี้ไว้เหนือหัวก่อนที่จะยกยื่นให้กับชายชราผู้เป็นอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงด้านหน้า ก่อนประสานมือโค้งคำนับด้วยความเคารพสามครั้งตามธรรมเนียมกราบไหว้อาจารย์ตามมารยาทวิถีของผู้ฝึกตนอีกครั้ง
"ตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นศิษย์ที่เจ็ดอย่างเต็มตัวแล้ว มากกว่านั้นเจ้ายังเป็นผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาของพวกเราเส้นทางเดินของหลังจากนี้ไม่ได้ง่ายดายดั่งที่คิดไว้ ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับภาระหน้าที่รับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง อาจารย์หวังว่าเจ้าจะทำมันออกมาได้ดีที่สุด อาจารย์จะให้เวลาเจ้าพักผ่อนอีกสามวัน เพราะหลังจากนี้เจ้าได้ได้เรียนรู้ทุกสิ่งอย่างเต็มตัว..."
"อาจารย์ยังต้องมีธุระอีกมากที่ต้องไปจัดการต่อ ยังไงพวกเจ้าก็ทำความรู้จักกันไว้เล่าเพราะในตอนนี้ต่างเป็นศิษย์ร่วมตำหนักเดียวกันเเล้ว" ผู้อาวุโสเหวินหวู่เอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่ม พร้อมกับมอบหมายหน้าที่ให้กับศิษย์คนอื่น ๆ อีกเล็กน้อยก่อนที่จะออกไปจากเรือนรับรองนี้ด้วยความรวดเร็ว...
"เอ่อ...ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้ากลับไปอยู่ในรูปลักษณ์ปลอมแปลงเสียเถอะหากไม่เช่นนั้นเเล้วพวกข้าที่เหลือคงรู้สึกขัดเขินไม่กล้าพูดคุยกับเจ้าเป็นแน่ ให้เวลาพวกข้าปรับตัวอีกหน่อยเถิด เฮ้อ!!! ช่างเป็นความงามที่ต้านทานได้ยากยิ่งนัก!!!" เหยียนฮุ่ยเอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ รูปลักษณ์อันงดงามนี้ของอีกฝ่ายพวกเขายังต้องใช้เวลาอีกมากจนกว่าจะคุ้นชิน
"ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบรับคำขอดังกล่าวนั้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะทำการร่ายเวทย์ปลอมแปลงของตนก่อนที่รูปลักษณ์เด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาได้กลับมาอีกครั้ง
"ค่อยกลับมาหายใจได้โล่งหน่อย!!! ข้าว่าหากศิษย์พี่ทั้งสามคนหากได้เห็นรูปลักษณ์ที่เเท้จริงของศิษย์น้องหนิงอ้ายแล้วคงมีอาการไปไม่ต่างจากพวกเราเป็นแน่..." ศิษย์พี่หกคนหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเสียงดังชวนให้ขบขันเป็นอย่างยิ่ง
"นี่ศิษย์น้องหนิงอ้าย เจ้าครอบครองสัตว์อสูรระดับตำนานสังกัดปราณธาตุพฤกษาอย่างนั้นรึ??" เหยียนฮุ่ยถามขึ้นด้วยความสนใจเพราะข่าวคราวที่ว่าเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์หวังหนิงอ้ายนั้นครอบครองสัตว์อสูรระดับตำนานได้สร้างความแตกตื่นกับผู้ฝึกตนที่ได้รับรู้เป็นอย่างมาก
หนิงอ้ายพยักหน้าตอบกลับไป อย่างที่รับรู้กันว่าเนตรแห่งสวรรค์นั้นหลังจากที่ผ่านการเลื่อนระดับพลังวิญญาณที่สูงขึ้นรวมไปถึงหลังจากที่ปลุกพลังของสายเลือดได้สำเร็จ เนตรแห่งสวรรค์นี้ของหนิงอ้ายได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก สามารถพลิกเเพลงใช้ได้หลากหลาย
อย่างในกรณีนี้ที่หนิงอ้ายพูดคุยตอบรับกับศิษย์พี่ตรงหน้า เนตรแห่งสวรรค์ของเขาเเสดงให้เห็นถึงพลังงานสีขาวที่อยู่ทั่วตัวของอีกฝ่าย ที่แตกต่างไปจากเหล่านักฆ่ารับจ้างผ่านมาที่จะมีพลังงานสีดำปกคลุมอยู่ทั่วทั้งตัว สิ่งนี้เองจึงเป็นสิ่งที่หนิงอ้ายนั้นจำแนกได้ว่าผู้ที่ข้าหาตนนั้นเป็นคนดีหรือหวังสิ่งใดหรือไม่
หนิงอ้ายยังคงพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับศิษย์พี่ทุกคนในที่นี้ จนเวลาได้ผันผ่านไปถึงเวลาที่ควรพักผ่อนเเล้ว เเต่ละเรื่องที่พูดคุยกันนั้นต่างเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรและโอสถ หนิงอ้ายได้เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างมากจนทำเอาทุกคนประหลาดใจไม่น้อยที่ ศิษย์น้องของพวกเขานั้นมากไปด้วยพรสวรรค์เช่นนี้
ต้องขอบคุณหนิงอ้ายคนเก่าเป็นอย่างมากที่ชื่นชอบศึกษาตำราการรักษา ตำราสมุนไพรและตำราอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง เมื่อรวมไปกับความรู้ความเข้าใจทักษะเเพทย์จากโลกเดิม จึงทำให้เด็กหนุ่มได้เสนอสมุนไพรบางตัวที่อาจจะต้องเสริมปรับลดหรือเพิ่มในสูตรโอสถเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ศิษย์พี่ทุกคนที่คลั่งไคล้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่เเล้ว ถึงกับขอตัวแยกกลับเรือนพักของตนเพื่อที่จะทดลองปลุกโอสถสูตรใหม่ที่ได้ทำการปรึกษา
หนิงอ้ายได้รับรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เเต่ละเรื่องราวนั้นศิษย์พี่เเต่ละคนต่างบอกให้เขารับรู้ด้วยความเต็มใจรวมไปถึงการเตรียมตัวในอีกหลังจากนี้ แน่นอนว่าเขาในตอนนี้ได้รู้เเล้วว่าศิษย์พี่ทั้งหกคนของตนมีใครบ้าง...
ศิษย์พี่ใหญ่อายุยี่สิบห้านามว่า โจวเซิน
ศิษย์พี่รองอายุยี่สิบห้าเช่นกันนามว่า เกาเจิน
ศิษย์พี่สามอายุยี่สิบสี่ปีนามว่า ซุนหลิง
ศิษย์พี่สี่อายุยี่สิบสามปีเช่นกันนามว่า เหยียนฮุ่ย
ศิษย์พี่ห้าอายุยี่สิบสองปีนามว่า ไป๋เหลียนฮวา
ศิษย์พี่หกอายุยี่สิบปีนามว่า หลิวหลวน
แน่นอนว่าศิษย์ลำดับที่เจ็ดคือ หวังหนิงอ้าย นั่นเอง
ศิษย์พี่สามซุนหลิงที่ถือว่าตนเป็นศิษย์พี่อาวุโสของทุกคนในที่นี้ จึงได้บอกให้ทุกคนเเยกย้ายกลับไปยังเรือนพักของได้เเล้ว เพราะนี่นับได้ว่าเกินเวลาพักผ่อนไปมากเลยทีเดียว ทุกคนต่างคุ้นชินสนิทสนมกันมากขึ้นจึงตกลงกันว่าจะไปส่งศิษย์น้องคนใหม่ของพวกเขา นั่นคือหนิงอ้ายที่เรือนพักก่อนที่จะเเยกย้ายกันไป ตอนเเรกนั้นเขาได้บอกไปเเล้วว่าตนสามารถกลับด้วยตนเองได้เเต่บรรดาศิษย์พี่ที่เหลือนั้นที่ยึดถือตำแหน่งพี่ชายพี่สาวอย่างมั่นคง จึงเอ่ยทัดทานความต้องการของเขาก่อนที่จะเดินนำเด็กหนุ่มไปในทันที...
แสงสีทองของดวงตะวันที่ได้สาดส่องไปทั่วสุดสายตานั้นเป็นดั่งสัญญาณของเช้าวันใหม่ที่ได้เริ่มขึ้นและหมุนเวียนไปตามวัฏจักร บรรยากาศภายในเขตตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นกล่าวได้ว่าเย็นสบายเป็นอย่างยิ่งไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกินไปด้วยเพราะมหาค่ายกลกำกับที่ทรงพลัง อีกทั้งยังมีไอหมอกจางที่ลอยต่ำคลอเคลียไปกับยอดเขาน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบ เป็นภาพสวยงามล้ำค่าราวกับว่าตำหนักแห่งนี้นั้นลอยอยู่บนฟ้าเสมอเคียงเหล่าเมฆาคงไม่เกินจริงไปนัก
ทางฝั่งของหนิงอ้ายได้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างมากเช่นกัน ด้วยเพราะว่าตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากตระกูลหวังจนมาถึงวันนี้ นับได้ว่าผ่านเรื่องราวมาอย่างมากมายที่หล่อหลอมเพิ่มพูนประสบการณ์ของชีวิต อีกทั้งเขานั้นยังรู้สึกโล่งใจไปอีกส่วนหนึ่ง ที่ว่าภารกิจอีกหนึ่งข้อที่ตนได้ตั้งไว้ในใจนั้นถือว่าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะเขาสามารถนำพาชื่อของหนิงอ้ายเข้าศึกษาในสำนักใหญ่ที่ขึ้นชื่อตามความฝันของหนิงอ้ายคนเก่าได้สำเร็จ อีกทั้งยังสร้างชื่อเสียงในฐานะของตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดได้อีกด้วย ดังนั้นเเล้วในคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายจึงนอนหลับได้อย่างเต็มตื่นอย่างมีความสุขไร้ซึ่งห่วงของความกังวลใดใดเเล้วนั่นเองในตอนนี้
จากที่เมื่อวานนี้นั้นที่ท่านอาจารย์เหวินหวู่ได้บอกกับเขาว่าเวลาอีกสามวันนี้ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปเสียในตัว ก่อนที่หลังจากนี้ไปเขาจะต้องศึกษาตำราตามที่ศิษย์พี่คนอื่น ๆ ที่ได้ศึกษามาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการปลูกสมุนไพร การคัดแยกสมุนไพร การปรุงโอสถ การรักษาบาดแผล รวมไปถึงเตรียมตัวสำหรับการประลองระหว่างตำหนักในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดในอีกสองปีข้างหน้านี้
หนิงอ้ายไม่เป็นกังวลสักเท่าไหร่นัก เพราะว่าความรู้เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรและการปรุงโอสถ หนิงอ้ายคนเก่าถือว่ามีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจที่มั่นคงคนหนึ่ง ด้วยเพราะเจ้าตัวนั้นศึกษาตำราที่เกี่ยวข้องนี้มายาวนานหลายปีเเล้ว อีกทั้งจากความรู้ความเข้าใจในการเเพทย์จากโลกเดิมของเขาที่ต้องยอมรับว่ามีความก้าวหน้ากว่าโนโลกนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงพอมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้อยู่บ้าง สำหรับสิ่งที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วยการลงมือทำนั่นตัวเขาเองเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คงไม่เกินความสามารถของเขา
นอกจากนั้นเเล้วหนิงอ้ายยังตั้งใจที่จะศึกษาคัมภีร์เบญจธาตุส่วนถัดไปอีกด้วย เพราะว่าในตอนนี้เขาสำเร็จในธาตุที่หนึ่งนั่นคือเคล็ดวิชาปราณธาตุน้ำเเล้ว ธาตุต่อไปที่ต้องศึกษาตามคำแนะนำของหลักสมดุลเเห่งธาตุเเล้ว ธาตุที่สองนั่นคือเคล็ดวิชาปราณธาตุดินนั่นเอง
ต้องยอมรับว่านับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของเขาเป็นอย่างมากในความรู้สึกเพราะว่าก่อนหน้านี้สำหรับเคล็ดวิชาปราณธาตุน้ำนั้นหนิงอ้ายมองว่าที่ตัวของเขาเองสำเร็จวิชานี้ได้โดยง่ายนั่นอาจเป็นเพราะว่าปราณธาตุต้นกำเนิดของเขานั้นเป็นปราณธาตุน้ำ
ดังนั้นการศึกษาเนื้อหาคัมภีร์เบญจธาตุในส่วนเเรกจึงมีความง่ายดายกว่าปราณธาตุอื่น แม้ว่าจะมีความกังวลอยู่บ้างเเต่อย่างไรเวลาหลังจากนี้มีอีกมากเช่นกัน ดังนั้นหนิงอ้ายจึงไม่อยากรีบร้อนไปสักเท่าไหร่ด้วยเพราะคัมภีร์เบญจธาตุในเเต่ละเคล็ดวิชาปราณธาตุนั้นจะต้องค่อย ๆ ศึกษาตามเเต่ละขั้นตอนอย่างถี่ถ้วน ไม่สามรถที่จะรวบรัดหรือข้ามขั้นได้เด็ดขาดเพราะหากเป็นเช่นนั้นเเล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมานั้นคงยากที่จะคาดเดาได้
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยเเล้วหนิงอ้ายตั้งใจว่าจะออกไปจากตำหนักของตนเพื่อไปพบกับลู่ซีและสหายคนอื่น ๆ ซึ่งเจ้าตัวน้อยต้าเฮยในตอนนี้นั้นยังคงหดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มเช่นเดิมไม่ขยับเขยื้อน ดังนั้นเเล้วเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนให้เต็มที่ หนิงอ้ายไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นักเพราะนี่คือสัญชาตญาณของสัตว์เลือดเย็นที่ต้องปรับตัวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง
"ศิษย์น้องทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าศิษย์น้องเล็กมีทีท่าว่าจะออกไปที่ใดสักที่
"ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีสิ่งใดขัดข้องขอรับศิษย์พี่ไป๋" หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่หันมองไปยังพื้นที่โดยรอบ
"เจ้าไม่ต้องแปลกใจหรอกศิษย์พี่ของเจ้าวัน ๆ เอาเเต่เก็บตัวปรุงโอสถ นานครั้งจึงจะออกจากเรือนพักเสียครั้งหนึ่ง เอาหล่ะนี่ก็สายเเล้วเดี๋ยวศิษย์พี่จะพาเจ้าไปกินมื้อเช้าที่โรงครัวรวมเสียเเล้วกัน..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มก่อนที่จะเดินนำเด็กหนุ่มออกไปในทิศทางหนึ่งทันที
เมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้เดินออกจากซุ้มประตูทางเข้าของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว หนิงอ้ายพบว่าโรงครัวที่ศิษย์พี่ของตนพูดถึงอยู่ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่นักเนื่องจากเป็นโรงครัวรวมที่รองรับศิษย์และอาจารย์ทุกคน ดังนั้นแล้วพื้นที่ตั้งของโรงเรือนดังกล่าวจึงอยู่เกือบส่วนกลางของตำหนักทั้งสี่ที่สามารถมองเห็นชัดได้เเต่ไกลนั่นเอง...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต