เข้าสู่ระบบแสงอรุณแห่งวันใหม่ค่อย ๆ แผ่วลงจากฟากฟ้า ราวกับผืนผ้าที่ถูกกางออกด้วยสีทองอ่อน สาดแสงไปทั่วท้องทุ่งและภูเขาซึ่งทอดตัวอยู่ห่างไกล สายหมอกบางเบาลอยคลอเหนือทุ่งหญ้าและแปลงนาข้าวที่เพิ่งชุ่มด้วยหยาดฝนเมื่อคืน กลิ่นดินชื้นกับดอกหญ้าผสมน้ำค้างหอมกรุ่นอยู่ในอากาศ—เช้าวันนี้ไม่เหมือนวันไหน ๆ สำหรับหญิงสาวผู้หนึ่ง
ซูอี้เหม่ยเดินบนเส้นทางดินแดงที่คดเคี้ยวออกจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่อผ้าสีซีดพาดไหล่บรรจุเพียงเสื้อผ้าหยาบสองสามชุด หนังสือเก่าขาดแหว่ง และหยกชิ้นเล็กของมารดาแท้ ๆ —ทั้งหมดที่นางเลือกจะพก นอกเหนือจากนั้นคือสิ่งที่นางซ่อนไว้อย่างแยบยล: แหวนทองหนึ่งวง สร้อยหยกหนึ่งเส้น และผ้าไหมปักพับเล็ก ๆ ที่ลอบหยิบมาจากหีบของสวี่ซินเหมยเมื่อคืน นางไม่คิดหนีมือเปล่าอีกต่อไป
“ฉันไม่ใช่หญิงสาวที่ถูกกดขี่อีกต่อไป” นางกล่าวในใจ พลางย้ำเท้าให้มั่น “นับจากนี้ เส้นทางเป็นของฉัน”
แสงแดดไล้ขอบผ้าโพกศีรษะเรียบ ๆ ของนาง ขณะลมเช้าไหวปลายผมสีดำให้สะบัดเบา เส้นทางยาวไกลและไม่อาจคาดเดา แต่ในดวงตากลับมีแววแน่วแน่ โลกใบนี้โหดร้ายก็จริง แต่มันก็ซ่อนโอกาสไว้—และนางจะคว้ามัน
หลายชั่วยามผ่านไป เมืองหลวงค่อย ๆ โผล่พ้นหมอกเช้า กำแพงหินสีหม่นทอดยาว ประตูไม้สูงประดับหมุดโลหะเงาเฉียบดุจฟันสัตว์ร้าย ขบวนเกวียนคลาคล่ำ—พ่อค้าจูงลามะบรรทุกสมุนไพรแห้ง ชาวชนบทเข็นรถไม้ใส่ผักสด เด็ก ๆ นั่งโยกบนขอบเกวียนหัวเราะคิกคัก เสียงล้อบดกรวดสลับกับเสียงระฆังร้านชา เรียงร้อยเป็นบทเพลงของการค้าขายและความหวัง
ก่อนเข้าสู่ประตูเมือง ซูอี้เหม่ยหยุดใต้ร่มไผ่ หยิบห่อผ้าใบเล็กอีกชั้นออกมา—นางเตรียมสิ่งนี้มาตั้งแต่ในหมู่บ้าน: ผงแกลบข้าวผสมฝุ่นถ่านเนื้อละเอียด ขี้ผึ้งกวนย้อมด้วยครามอ่อน และแปรงปลายแหลมจากขนจิ้งจอก นางถอนหายใจลึกครั้งหนึ่ง ก่อนเริ่ม “ปกปิดใบหน้างามล่มเมือง” ของตน
นางลูบขี้ผึ้งสีครามเจือให้บางจนแทบโปร่ง แล้วแตะลงตรงใต้ตาและขมับให้ผิวดูซีดทรุด ผงแกลบกับฝุ่นถ่านถูกแต้มเบา ๆ เป็นกระสีน้ำตาลหม่นประปรายตามสันจมูกและโหนกแก้ม ปลายพู่กันวาดเส้นริ้วบาง ๆ ลอกแบบรอยด่างแดดคนทำไร่ ขณะเดียวกันก็ม้วนผมยาวให้เป็นมวยต่ำธรรมดา ซ่อนด้วยผ้าฮ่อมสีหม่น จากนั้นสวมงอบไม้ไผ่ปีกกว้างและผ้าคลุมหน้าบาง ๆ สีเทา—ไม่หนาจนเตะตา แค่พอพร่ารูปหน้าให้ดวงตาเด่นนิด ๆ พอเหมาะ “งามที่ไม่เรียกปัญหา” คือความงามเดียวที่นางต้องการในเมืองอันคับคั่ง
ครั้นถึงหน้าด่านเก็บส่วย นางผละสายตาไม่สบใคร ยื่นเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญตามเกณฑ์ แลกกับตราประทับทางผ่านบนริ้วผ้าพันข้อมือ เจ้าหน้าที่ด่านปรายตามองเพียงชั่ววูบก็ปล่อยผ่าน—หญิงบ้านนอกหน้าซีด ไร้เสน่ห์ยั่วตัณหา ไร้กลิ่นอันตราย
ทันทีที่ก้าวเข้าภายใน เสียงเมืองก็ถาโถม—ตะโกนขายบะหมี่ควันฉุย กลิ่นขนมแป้งทอด ฟู่ฟ่าของกระทะน้ำมันร้อน กลิ่นชาสมุนไพรหอมขมแทรกเบาบาง ซูอี้เหม่ยกำห่อผ้าแน่น เดินลึกสู่ย่านการค้าเก่า ตรอกไม้แคบคดเคี้ยวสองข้างเรียงร้านหยก ร้านทองเหลือง ร้านโอสถโบราณที่แขวนรากไม้และตัวยาดองในโหลแก้ว แสงแดดส่องลอดป้ายอักษรเก่าจนเกิดลายสว่างเงาทับซ้อนราวเขาวงกต
หากจะอยู่รอดในเมือง ต้องมีเงินหมุน นางมิอาจโง่เขลาเอาของทั้งหมดไปขายในคราวเดียว จึงเลือกเพียงแหวนทองวงเล็ก—ค่าน้อยพอไม่สะดุดตา แต่พอให้ตั้งต้น นางหยุดหน้าโรงรับจำนำเก่าแก่ “หลิวโส่วปิง” สีหน้าของเถ้าแก่ใหญ่ใต้คิ้วพู่ดูเจ้าเล่ห์นัก ชั่งน้ำหนักแหวนด้วยสายตาก่อนวางบนตาชั่ง
“ทองเนื้อไม่เลวนัก มีรอยสึกตรงขอบ ข้ารับได้…สิบสองตำลึงเงิน” เขาลูบหนวด
“ยี่สิบตำลึง” ซูอี้เหม่ยตอบนิ่ง ใต้ผ้าคลุมตาแวววาววับ “ขอบสึกจากการใช้งาน แต่เนื้อแน่น สีไม่ดรอป มีตราประทับโรงช่างเมืองใต้—ช่างนั้นขึ้นชื่อเรื่องผสมทองบริสุทธิ์ แหวนลักษณะนี้อย่างต่ำสิบห้าตำลึง หากท่านคิดต่ำกว่านั้น ข้าคงต้องไปดูร้านถัดไป”
หลิวยกคิ้ว เหลือบมองตราเล็กจิ๋วที่นางพูดถึง จนต้องแค่นหัวเราะ “ปากคมนัก แม่หนู…ได้! สิบห้าตำลึงครึ่ง”
“สิบเจ็ด”
“สิบหก”
“พร้อมสมุนไพรแห้งหนึ่งห่อใหญ่—ชะเอมเทศ รากชางจูหมู และโกฐสอ น้ำหนักตามนี้” นางยื่นรายการสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือคมชัด
เถ้าแก่หัวเราะดัง “ตกลง” เงินตำลึงหกสิบสี่เหรียญถูกห่อผ้า ส่งให้พร้อมสมุนไพรที่สั่ง นางก้มหัวเล็กน้อย เก็บพอเหมาะ—ไม่โลภ ไม่พูดมากเกินไป แล้วผละจากไปอย่างเบาเท้า
เงินก้อนแรกทำให้นางมีที่วางเท้า นางหาโรงเตี๊ยมชานเมืองด้านทิศตะวันออก ห้องใต้หลังคาเล็ก ๆ บันไดชันและหน้าต่างไม้บานเก่าแต่สะอาด เจ้าของเป็นหญิงม่ายใจดีที่คิดค่าเช่าถูก หากช่วยตำข้าวสารและหาบน้ำให้ในยามเช้า ซูอี้เหม่ยรับข้อเสนอโดยไม่รีรอ—นี่แลค่ายังชีพของผู้เริ่มต้น
เย็นวันนั้น นางลงตลาด ซื้อครกหินเล็กหนึ่งใบ สากไม้ กล่องไม้ไผ่สำหรับใส่ยาห่อ กระดาษน้ำมันกันชื้น เชือกปอ และขวดแก้วใช้เก็บยา จากนั้นคัดสมุนไพรที่ได้มาลงถาด ไล่ความชื้นไฟอ่อน ๆ แล้วบดตามสัดส่วนที่คำนวณจากความทรงจำโลกเก่า ผสมปนสูตรยาโบราณที่เรียนรู้จากเจ้าของร่างเดิม: ผงชงแก้ร้อนในแก้ระคายคอ ชาสมุนไพรปรับธาตุ และยาน้ำมันถูนวดจากใบไพลกับพิมเสน ซึ่งทำกลิ่นอ่อน ไม่ฉุนจนรำคาญ นางทำป้ายผ้าฮ่อมเล็ก ๆ เขียนด้วยหมึก: “ชาชงคลายร้อน—ยาหอมยกดวง—น้ำมันคลายเส้น” แขวนกับคันไม้ของแผงชั่วคราว
รุ่งเช้า นางแบกแผงสานไปตั้งใต้ร่มไผ่หน้าศาลเจ้าเล็ก ๆ ใกล้จุดตัดทางคนพลุกพล่าน ตั้งเว้นจากหน้าร้านโอสถใหญ่หนึ่งช่วงหายใจ—พอไม่เสียมารยาทพ่อค้าเก่า แต่ก็พอให้คนเห็น “หมอยาเร่” คนใหม่ ใต้ผ้าคลุมหน้า นางสวมทอกันเปื้อนผ้าหยาบ ล้างมือด้วยน้ำสมุนไพรจากขันทองเหลืองเล็ก ๆ ให้คนเห็นความสะอาด และชงชาในกาโลหะเก่าเสียงกรุ๋งกริ๋งชวนสบายใจ
ลูกค้าคนแรกคือคนหาบของไหล่ตก แขนตึงจนเหยียดไม่สุด นางเชิญนั่ง ใช้น้ำมันคลายเส้นนวดไล้จากข้อศอกขึ้นหัวไหล่ ช้า หนัก เบา สลับแม่นยำ แล้วจี้ปลายนิ้วลงที่จุดเจียนจิงกับชวี้ฉือ—มือหยุดเกร็งแทบจะทันที ชายคนนั้นตาโต ตะลึงกับความโล่งวาบที่แล่นไปทั้งแขน “ค่ารักษาเท่าไร แม่หนู?”
“ถุงละสองเหรียญ ถ้ายังตึงอีก ให้แวะมาพรุ่งนี้ ข้าจะสอนวิธียืดเส้นฟรี” นางตอบเรียบ เสียงไม่สูงไม่ต่ำ คนหาบยิ้มกว้าง จ่ายเงิน เอ่ยขอบใจเสียงดังจนพ่อค้าแถวนั้นหันมามองอย่างสนใจ
ไม่นาน แม่ค้าบะหมี่ที่เสียงแหบจากตะโกนเรียกลูกค้าทั้งวันก็มาขอชาชงแก้คอ นางชงชาใส่ช้อนผสมน้ำผึ้งหยดหนึ่ง ยื่นให้พร้อมคำแนะนำให้งดของทอดควันแรงสักสองมื้อ เสียงแหบแห้งดีขึ้นจนเจ้าตัวตาเป็นประกาย นางเอ่ยเบา ๆ ว่า “คราวหน้าให้ทำหม้อซุปสมุนไพรสำหรับตนเอง ต้มน้ำเก๊กฮวยใส่ชะเอมเสริม” แม่ค้าพนมมือซาบซึ้งล้นจนเกือบร้องไห้ เสียงบอกต่อเริ่มเดินทางเร็วกว่าลม
ความสำเร็จแรก ๆ มิได้รอดสายตาทุกคน คนพเนจรตาไวสองสามคนพึมพำกันเรื่อง “หน้าใหม่ที่ตั้งแผงกินที่” ชายร่างยักษ์ผู้เก็บส่วยตลาดก้าวมาหยุดหน้าบาง ๆ ของแผง นัยน์ตานิ่งเย็น “ตั้งแผงตรงนี้ ต้องเสียค่า…ดูแล”
ซูอี้เหม่ยเงยตาขึ้น ใต้ผ้าคลุมมีแต่ความนิ่ง “สำหรับดูแลความสงบ ข้ายินดี แต่หากเป็นการรีดเค้น ข้ามีเพียงยาคลายเส้น ไม่มียาแก้มือสกปรก” คำพูดของนางไม่ดัง ทว่าคมเหมือนใบมีด ชายร่างยักษ์ก้าวเข้ามาใกล้จนเงาทาบทับ นางยิ้มบาง ๆ เอื้อมแตะข้อมือเขาเหมือนจะวัดชีพจร แต่ปลายนิ้วกลับกดเฉียบลงจุดเหอกู่ ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้—ความชาแล่นพรวดขึ้นแขน ชายยักษ์สะบัดน้อย ๆ สีหน้าแปร
“ชาห้าถ้วย ยานวดสองขวด และ…ยกมือกลับไปบอกผู้ดูแลว่า แผงนี้รักษาฟรีให้คนบาดเจ็บจากยกของสิบรายทุกเช้า ไม่ต้องจ่ายส่วย” นางพูดยิ้ม ๆ ปล่อยนิ้วออก ชาความชาเลือนหายพอดี ชายยักษ์ขบกราม มองซ้ายขวา—ผู้คนเริ่มจับตา เขาถ่มลมในคอเบา ๆ แล้วลากเท้าจากไป ทิ้งเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กที่มายืนดูไว้เบื้องหลัง
วันแล้ววันเล่า ซูอี้เหม่ยค่อย ๆ ถักทอสายสัมพันธ์ เธอไม่เอาเงินแพงกับคนจน แต่บอกค่าจริงกับคนมีสตางค์ ความซื่อและฝีมือทำให้แผงเล็ก ๆ มีคนแน่นในยามสาย ขณะกลางคืน นางจะกลับห้องใต้หลังคา บดตำอบต้มจดสูตร ปรับอัตราส่วนยาอย่างละเอียดราวนักทดลองโลกเดิม คำนวณน้ำหนักด้วยถ้วยตวงไม้ที่นางขีดสเกลเองจากประสบการณ์ วิชาความรู้ที่โลกก่อนมอบให้ผสานกับภูมิปัญญาโลกนี้เกิดเป็นสินค้าที่ “ได้ผลจริง” และไม่ทำร้ายร่างกาย
เงินสิบหกตำลึงแบ่งใช้รอบคอบ—สี่ตำลึงสำหรับค่าเช่าและอาหาร สามตำลึงซื้ออุปกรณ์เพิ่มและวัตถุดิบ สองตำลึงทำถุงผ้าลายเรียบจิ๋วใส่ยาเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ อีกบางส่วนเก็บสำรองเผื่อยามคับขัน ส่วนสร้อยหยกและผ้าไหมที่เหลือ นางห่อซ่อนใต้กระดานพื้นห้อง อย่าได้มีใครรู้—เป็น “เลือดในหลอด” ของการเอาตัวรอดในเมืองที่ไร้เมตตา
แน่นอน การปกปิดงามล่มเมืองไม่ใช่เพียงผงทาหน้า นางฝึกก้าวเดินให้เล็กกระทัดรัดแบบหญิงบ้านทุ่ง ลดจังหวะไหล่ให้นิ่ง กดคางลงเล็กน้อยเวลาเอ่ยคำ แฝงสำเนียงต่างถิ่นบาง ๆ เรียกตัวเองว่า “เสี่ยวเมิ่ง” หรือบางคราว “อาเหมย” แล้วแต่อยากให้ใครจำหน้าได้หรือไม่ นางระวังไม่เดินทางซ้ำในตรอกเดียวกันทุกวัน และเมื่อเลิกแผงจะล้างหน้าเปลี่ยนผ้าคลุมอีกผืน ลดความต่อเนื่องของเงาร่างในสายตานักเฝ้ามอง
บ่ายวันหนึ่ง, ขณะนางกำลังชงชาให้บัณฑิตหนุ่มเสียงไอกำเริบ สายตานางสะดุดกับเงาดำที่คุ้นเคย—ชายลึกลับในชุดดำพิงเสาไม้ปลายตรอก เหมือนไร้ความตั้งใจ ทว่าดวงตาคมจับจ้องอยู่ตลอด เขาไม่เข้าใกล้ ไม่ส่งเสียง เพียงวางเหรียญเงินหนึ่งเหรียญบนโต๊ะไม้เตี้ยที่ว่างอยู่ข้างแผง แล้วขยับนิ้วเพียงน้อยราวบอกว่า “เก็บไว้” จากนั้นก็ผละไปท่ามกลางฝูงชน เงาของเขาละลายไปกับป้ายผ้าและกลิ่นชาน้ำผึ้ง
ใต้เหรียญนั้น มีเศษกระดาษพับเล็กเท่าปลายนิ้ว นางเปิดดูเงียบ ๆ มีเพียงประโยคสั้น ๆ ที่เขียนด้วยพู่กันคมชัด— “ยามคุณธรรมอ่อนแรง กฎหมายคือคมดาบของผู้มีอำนาจ ระวังสมาคมโอสถ” หัวใจนางเต้นแรงขึ้นครั้งหนึ่ง ก่อนกลับเรียบเป็นระนาบ นางเงยหน้าขึ้น เงาดำไม่มีแล้ว เหลือเพียงสายลมที่ยกปลายผ้าคลุมหน้าให้ไหว
ซูอี้เหม่ยเก็บเหรียญ เก็บกระดาษไว้ในแขนเสื้อ สบตาบัณฑิตที่กำลังยกถ้วยชา นางยิ้มอย่างคนขายของธรรมดา “จิบช้า ๆ ให้ความขมเคลือบคอ แล้วหายใจยาวสักสามครั้ง” น้ำเสียงนั้นนุ่มและมั่นคง—เสียงของคนที่สร้างชีวิตตัวเองขึ้นมาใหม่ทีละจอก ทีละหยด
ยามเย็น เธอปิดแผงช้ากว่าปกติเล็กน้อย นับเงินเหรียญทองแดงปนเงินขาวรวบใส่ถุง บันทึกตัวเลขบนแผ่นไม้ด้วยถ่าน เสียงเมืองหลวงลาไปทีละชั้น จนเหลือเพียงเสียงกลองยามและเสียงฝีเท้าคนกลับบ้าน นางสอดมือใต้กระดานพื้น ตรวจของล้ำค่าที่ซ่อน—ยังอยู่ดี สร้อยหยกเย็นบนปลายนิ้วให้ความรู้สึกมั่นคงแปลกประหลาด
“เงินที่ขโมยมา…กลายเป็นเมล็ดพันธุ์แล้ว” นางกระซิบกับความมืด “เมล็ดที่ฉันจะเพาะจนเป็นสวนของตัวเอง”
คืนแรก ๆ ในเมืองหลวงจึงผ่านไปด้วยเหงื่อ น้ำชา และกลิ่นสมุนไพร ไม่ใช่คำขู่หรือแส้คำเหยียดเหมือนบ้านเก่าอีกต่อไป และแม้ในเงามืดจะมีดวงตานับไม่ถ้วนจับจ้อง แต่นางก็พร้อมแล้ว—งามใต้ผ้าคลุม งามที่ใช้เป็นโล่ ไม่ใช่บ่วง งามที่ปกป้องตนเองให้เดินต่อไปได้ในเมืองที่งดงามและโหดเหี้ยมพอ ๆ กัน
เช้าวันถัดมา พอแสงแรกผ่าแนวกำแพงเมือง นางแต้มฝุ่นถ่านเป็นกระเล็ก ๆ อีกครั้ง มัดผ้าโพกศีรษะใหม่ ใส่รอยยับให้เสื้อผ้าหยาบ แล้วหาบแผงไปยังร่มไผ่เดิม เสียงน้ำเดือดในกากระซิบรับอรุณ หยดชาแรกไหลลงถ้วยเหมือนเส้นด้ายสีอำพัน—บางเบาแต่เชื่อมอดีตเข้ากับอนาคต
และการเดินทางที่แท้จริง ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว—ไม่ใช่เพียงเข้าสู่เมืองใหญ่ หากคือการเดินเข้าสู่ตัวตนของนางเอง ผู้ที่ปิดบังความงามเพื่อคุ้มกันชีวิต และเปลี่ยนเงินที่ชิงมาอย่างยุติธรรมในหัวใจ ให้กลายเป็นทุนของคุณธรรมแบบใหม่—คุณธรรมที่ยืนได้ด้วยสองมือของตนเอง.
หลังจากได้รับตำแหน่งเป็น องค์หญิงบุญธรรม และพระราชแพทย์หญิงสูงสุดแห่งราชสำนัก ซูอี้เหม่ยถูกย้ายเข้าพำนักในตำหนักหรูภายในวังหลวง ทุกย่างก้าวล้วนถูกสายตาผู้คนจับจ้องเช้า ๆ นางต้องเข้าตรวจคนไข้ในโรงหมอหลวง กลางวันตรวจร่างกายขุนนางหรือขันทีที่เข้าพบ เย็นจึงได้กลับตำหนักเพื่อพักผ่อน แต่กระนั้นเสียงซุบซิบก็ไม่เคยเงียบหาย“หญิงผู้หนึ่งจากชนบท กลับได้อยู่เคียงบัลลังก์”“โฉมงามเกินมนุษย์ ต้องมีเคล็ดลับบางอย่างแน่”อี้เหม่ยได้ยินทุกถ้อยคำ แต่ยังคงเดินอย่างมั่นคง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมงาช้างสงบเยือกเย็น ทว่ายามที่นางจำต้องเปิดเผยโฉมหน้าเพื่อรักษาผู้ป่วย ทุกคนที่เห็นต่างถึงกับตะลึงงันใบหน้าของซูอี้เหม่ยคือดั่งภาพวาดจากสวรรค์ ผิวขาวเนียนดุจหยกแกะสลัก คิ้วเรียวประหนึ่งพู่กันจรด ริมฝีปากแดงสดราวกลีบกุหลาบ ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสางความงามนั้นมิใช่เพียงรูปลักษณ์ หากแต่แฝงด้วยอำนาจที่สะกดใจผู้คน ไม่ว่าเป็นทหารที่ใกล้สิ้นลม ขุนนางผู้เย็นชา หรือแม้แต่ขันทีในวัง ต่างก็เผลอหยุดหายใจยามสบตากับนางและยิ่งนางไม่เคยโอ้อวด กลับยิ่งทำให้ความงามนั้นทรงพลังยิ่งขึ้น ราวกับ เทพธิดาที่ไม่อาจแตะต้องแ
ค่ำคืนหนึ่ง เสียงฝีเท้าทหารเร่งรีบดังขึ้นที่กระโจมแม่ทัพซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองหลวง นายทหารหนุ่มคุกเข่าลงทันที “แม่ทัพ! ข้ามีข่าวด่วน—องค์หญิงบุญธรรมซูอี้เหม่ยถูกใส่ร้ายว่าปรุงยาพิษในโรงหมอหลวง โชคดีที่พิสูจน์ความจริงได้ทัน ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงคงป่นปี้ไปแล้ว!”หลงเทียนอวี่ที่นั่งอ่านแผนการทัพเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมสว่างดั่งเปลวไฟ “ใส่ร้ายงั้นหรือ?”เสียงทุ้มเย็นเยียบจนแม้แต่ทหารผู้กล้าก็ต้องก้มศีรษะต่ำ เหงื่อซึมเต็มแผ่นหลังแม่ทัพหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธผสมความห่วงใยถาโถมในใจ “อี้เหม่ย…เจ้าอยู่ท่ามกลางเล่ห์กลในวัง แต่ข้าไม่อยู่เคียงข้าง…นี่คือความผิดของข้า”ไม่นานนัก เขาตัดสินใจแน่วแน่ “เตรียมม้า ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้!”รุ่งเช้าวันถัดมา วังหลวงสั่นสะเทือนเมื่อแม่ทัพหลงเทียนอวี่ปรากฏกาย ดวงตาคมกริบพุ่งตรงไปยังตำหนักรัชทายาทขันทีพยายามห้าม “แม่ทัพ…เวลานี้รัชทายาทกำลัง…”“ถอย!” เสียงคำรามดังก้อง ขันทีทั้งหลายต่างหน้าซีด รีบเปิดทางภายในตำหนัก รัชทายาทหยางเจิ้นอี้กำลังนั่งจิบชาพูดคุยกับซูอี้เหม่ยอย่างสบายใจ เมื่อประตูถูกผลักออกอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพก้าวเข้ามา กลิ่นดาบและกลิ่นสง
ภายในตำหนักของฮองเฮา องค์หญิงหลงหลงเดินวนไปมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ นางได้ยินข่าวซุบซิบจากนางกำนัลทั้งหลายว่า องค์รัชทายาทหยางเจิ้นอี้ติดตามอี้เหม่ยไปทุกหนทุกแห่งในวัง ทั้งโรงหมอหลวง สวนเหมย หรือแม้กระทั่งระเบียงตำหนักบุญธรรม“ไม่อาจเป็นเช่นนี้!” หลงหลงกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาวาวโรจน์ “แม่ทัพหลงคือของข้าอยู่แล้ว แต่ตอนนี้รัชทายาทกลับเฝ้าอี้เหม่ยทุกวัน หากปล่อยไป ทั้งสองบุรุษสำคัญที่สุดในวังจะตกอยู่ในเงาของนางหมด!”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเบา ๆ “องค์หญิง โปรดใจเย็น หม่อมฉันคิดว่าหากมีวิธีทำให้อี้เหม่ยเสียชื่อ นางจะหมดสิทธิ์ยืนในวังโดยปริยาย”ดวงตาของหลงหลงทอประกายร้ายทันที “ใช่…ถ้านางถูกประณามต่อหน้าฝ่าบาทและรัชทายาท เช่นนั้นนางก็สิ้นชื่อ!”หลายวันต่อมา ข่าวลือแพร่ไปทั่ววังว่า ยาที่ใช้รักษาทหารในโรงหมอหลวงมีพิษแฝงอยู่ ทำให้ผู้ป่วยบางคนอาการทรุดหนัก บางคนถึงขั้นเสียชีวิตอย่างน่าสงสัยขุนนางฝ่ายตรงข้ามรีบใช้โอกาสนี้ กราบทูลต่อฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่าในตำรับยาที่องค์หญิงบุญธรรมซูอี้เหม่ยเป็นผู้จัด มีส่วนผสมของสมุนไพรต้องห้าม หากปล่อยไว้เกรงว่าจะเป็นภัยแก่ราษฎร!”ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยทันที “อี้
วังหลวงหลังพิธีฉลองชัยชนะกลับเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ผู้คนซุบซิบถึงความงามล่มเมืองของซูอี้เหม่ยไม่ขาดปาก ข่าวแพร่ไปทั่วว่า ฮ่องเต้ทรงรับนางเป็นบุตรบุญธรรมและพระราชทานตำแหน่งสูงสุดแห่งแพทย์หญิง ยิ่งทำให้ขุนนางบางกลุ่มหวาดหวั่น บางกลุ่มกลับโลภอยากชิงนางไปครอบครองในทุกเช้า ยามอี้เหม่ยก้าวออกจากตำหนักบุญธรรม องค์รัชทายาทหยางเจิ้นอี้จะปรากฏกายทันที ราวกับรออยู่แล้ว“องค์หญิง วันนี้ข้าขอพาเจ้าไปชมสวนหลวงเถิด ดอกเหมยเพิ่งบานงามดุจเจ้า”นางเพียงก้าวเดินนิ่ง ๆ สายตาเยือกเย็น “ดอกไม้จะบานหรือร่วง ข้าไม่ใส่ใจนัก หากท่านปรารถนาเพื่อนคุย ข้าเกรงว่าข้าไม่เหมาะ”เจิ้นอี้หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสา “ยิ่งเจ้าใจแข็ง ข้ายิ่งอยากอยู่ใกล้ หากเจ้ามิยอมคุย ข้าก็จะเดินเคียงข้างจนกว่าจะยอม”ทหารในวังและขันทีต่างมองกันไปมา ซุบซิบว่าองค์รัชทายาทไม่เคยทุ่มเทพอใจต่อสตรีใดเช่นนี้มาก่อนอีกฟากหนึ่ง หลงเทียนอวี่กลับไม่ค่อยเข้าวัง ยังคงคุมกองทัพอยู่ยามเช้า แต่ทุกค่ำคืนเขาจะมาที่ตำหนักบุญธรรมของอี้เหม่ยเงียบ ๆ บางคราเพียงยืนอยู่หน้าตำหนักแล้วจากไปคืนหนึ่ง อี้เหม่ยเปิดประตูพบเขายืนอยู่ในเงาแสงจันทร์ “แม่ทัพหลง ท่านมาเฝ้
กลองชัยยังคงดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งนครหลวง ประชาชนแห่แหนกันแน่นสองฝั่งถนนเพื่อรอรับกองทัพผู้พิชิต กลิ่นธูปและควันไฟจากการเฉลิมฉลองอบอวลไปทั่วอากาศ เด็กเล็กตะโกนด้วยความตื่นเต้น “แม่ทัพกลับมาแล้ว! ชัยชนะของแผ่นดิน!”แถวทหารเดินเป็นระเบียบเรียงรายราวสายธารเหล็กยาวเหยียด เกราะสะท้อนแสงแดดยามบ่ายจนแสบตา ธงมังกรทองปลิวสะบัดอยู่เหนือศีรษะ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความภาคภูมิเบื้องหน้าขบวนนั้น แม่ทัพหลงเทียนอวี่ควบม้าเข้ามาอย่างสง่างาม ชุดเกราะดำปักทองที่ห่อหุ้มร่างสูงสง่าเปล่งรัศมีอำนาจจนผู้คนมิอาจสบตาได้นาน ดวงตาคมนิ่งสงบแต่กลับแฝงแรงกดดันจนท้องถนนทั้งสายเหมือนจะสงัดลงในบัดดลเบื้องหลังเขา คือรถม้าสีงาช้างที่ประดับด้วยลายมังกรอ่อนช้อย ใช้สำหรับบรรทุกบุคคลสำคัญ—ซูอี้เหม่ย ผู้เป็นดั่งดวงใจแห่งชัยชนะครั้งนี้นางนั่งเงียบสงบภายในรถม้า ผ้าคลุมบางสีงาช้างปกปิดโฉมหน้าล่มเมือง แม้เสียงโห่ร้องดังก้องจากมวลชนรอบทาง นางก็ยังคงสงบนิ่ง แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เพราะรู้ดี—การกลับสู่นครหลวงครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงความสงบสุข หากคือการเริ่มต้นของเกมอำนาจที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมท้องพระโรงใหญ่ถูกประดับประดา
ค่ายศึกหลังชัยชนะยังคงอบอวลด้วยกลิ่นเลือดและควันไฟ ทหารบางส่วนร้องไห้ให้เพื่อนที่สิ้นลม บางส่วนยกถ้วยเหล้าเฉลิมฉลองต่อหน้าซากศพ ความโหดร้ายและความดีใจผสมปนกันจนไม่อาจแยกแยะได้กลางเต็นท์ที่เพิ่งรอดจากเปลวเพลิง ซูอี้เหม่ยนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่า มือยังคงพันผ้ารักษาบาดแผลให้ทหารทีละคน ใบหน้างามที่เพิ่งถูกเปิดเผยกลับไม่มีรอยยิ้ม—ดวงตาคมยังเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวหลงเทียนอวี่ก้าวเข้ามาในเต็นท์ เสียงเกราะเหล็กกระทบกันเบา ๆ ทำให้ทุกคนในเต็นท์รีบก้มศีรษะ ถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ ภายในเหลือเพียงเขาและนาง“ท่านแม่ทัพ” เสียงอี้เหม่ยเรียบเย็น “หากท่านมาที่นี่เพื่อชมความงาม ข้าขอให้ท่านกลับไปที่กระโจมบัญชาการเถิด ที่นี่มิใช่ที่สำหรับเรื่องไร้สาระ”หลงเทียนอวี่หยุดยืนตรงหน้า ดวงตาคมยังคงจับจ้องนางอย่างไม่ปิดบัง “ข้าต่อสู้มาเนิ่นนาน รู้จักทั้งความตายและเลือดนับไม่ถ้วน แต่เมื่อครู่…เพียงได้เห็นใบหน้าของเจ้า หัวใจข้ากลับสั่นสะท้านยิ่งกว่าดาบของศัตรู”อี้เหม่ยเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากโค้งยิ้มเย็นเฉียบ “แม่ทัพหลง หากท่านสั่นไหวเพราะใบหน้าสตรี เช่นนั้นกองทัพแคว้นนี้ก็ไม่ต่างจากกระดาษแผ่นบางที่พร้อมฉีกขาด”คำพูด







![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)