ตามทางเดินทอดยาว ไกลออกมาจากผู้คนเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงชายป่าชานเมือง
สวีหลิงเยี่ยนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเดินมานานเท่าใด ครั้นเงยหน้าขึ้น ยกมือปาดน้ำตาที่เอ่อล้นอาบสองข้างแก้ม จึงเห็นเป็นชายป่าห่างจากตัวเมืองออกมาค่อนข้างไกล ริมทางเป็นคู่น้ำกว้างที่โขดหินถูกกัดเซาะจนเป็นตลิ่งสูงชัน หญิงสาวไม่รู้ว่าควรเดินต่อไปทางไหน จะกลับบ้านก็ไม่กล้า จะเดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่มีที่ไป จึงออกอาการงก ๆ เงิ่น ๆ ยืนประหม่าตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก
จังหวะนั้น เด็กชายสองคนเดินมาชนนางดังพลั่ก
สวีหลิงเยี่ยนถึงกับลื่นพรืด ไถลลงไหล่ทาง “อ๊ะ!” นางพยายามหาที่ยึดแต่ไม่มี ยื่นมือไปหวังว่าจะมีใครจับ แต่กลับไม่มีเช่นกัน ได้ยินเพียงเสียงจากเด็กเหล่านั้น
“อ้าว? เจ้าเดินอย่างไรไปชนพี่สาวนั่น”
“ช่วยมิได้ นางยืนเกะกะเอง”
“ทางกว้างปานนี้ เจ้ามองไม่เห็นนางรึ?”
“เห็นน่ะเห็น แต่นางยืนทื่อ ไม่ยอมหลบเอง”
ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ห่างออกไปอย่างไม่ไยนั้น สวีหลิงเยี่ยนพลันได้ยินเสียงปึกดังที่ข้างขมับขวา
ความเย็นวาบแล่นลามไปทั่วสรรพางค์กาย ตามด้วยความเจ็บแปลบสายหนึ่ง และกลิ่นคาวเลือดที่เริ่มได้กลิ่น จากทิศทางที่มันรินไหลตรงหางตาด้านขวา หญิงสาวไถลลื่นตกตลิ่งชันลงมาจนศีรษะกระแทกหินอย่างจัง
นางแน่นิ่งไป
“ตายหรือไม่?”
ภายใต้ภาวะสะลึมสะลือเสียงเด็กยังคงดังให้ได้ยินบนตลิ่งชันนั้น
“เจ้าลงไปช่วยสิ นางจมน้ำแล้วน่ะ”
“ไม่! นางโง่ยืนบื้อให้ข้าชนเอง”
“ทำแบบนี้เจ้าจะถูกทางการจับหรือไม่”
“เฮอะ! คงไม่! เจ้าดูนางสิ ท่าทางไม่ได้ความแบบนี้ไม่มีใครออกตามหาหรือแจ้งทางการหรอกกระมัง พวกเรารีบหนีดีกว่า”
ช่างไร้ค่าไม่อยู่ในสายตาใครต่อใคร...
สวีหลิงเยี่ยนกลืนก้อนสะอึกลงลำคอ ปล่อยตัวจมน้ำ เห็นเพียงท้องน้ำที่มืดมิดว่างเปล่า ปล่อยน้ำตาให้หายไปกับความว่างเปล่านั้นอย่างหมดกำลังใจ ไร้เรี่ยวแรงฝืนลุกขึ้นยืน
บางที การตายทั้งอย่างนี้คงดี ไม่อยากมีชีวิตอีกแล้ว
หวังเพียงเกิดใหม่ ได้เป็นใครสักคน ที่ไม่ใช่นาง...
*
*
*
ภายใต้ท้องธาราไหลวนเวิ้งว้าง
วาจาคำนึง รำพึงจากสติอันไร้ความคิด สิ้นหนทาง
บุปผาวารี[1]ผลิบาน งดงามบาดตา ผสานคำภาวนา
*
*
*
*
[1]บุปผาวารี คือดอกไม้ที่อยู่ในน้ำ ซึ่งดอกไม้ที่อยู่ในน้ำนั้นมักมีสีสันสวยงามและส่วนใหญ่ล้วนมีพิษสงร้ายกาจ เราจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ดอกไม้พิษ'
แม้ราตรีล่วงพ้นทว่าช่วงกาลวสันต์ไม่จบสิ้นจ้าวหมิงอวี่ไม่มีทางคลายวงแขนจากหลิ่งหลิน เขายังคงตระกองกอดนางเอาไว้ แนบชิดไม่ให้ห่าง เรือนกายทอดยาวพัวพันดุจงูสองตัวเลื้อยเป็นเกลียว เนตรคมดำขลับลุ่มลึกทอดมองร่างอ่อนแรงของนางอย่างมิวางตา ริมฝีปากจุมพิตอย่างมิว่างเว้น ซับเหงื่อไปทั่วเรือนกายไม่มีเบื่อหน่ายหลายเค่อต่อมายังคงบรรจงลูบไล้เนื้อเนียน เห็นเนินอกอวบอิ่มกระเพื่อมไหวตามแรงลมหายใจ ทำบุรุษปั่นป่วนอีกครั้ง พลังเร้นลับถูกปลุกให้ตื่นผงาด แข็งแกร่งดุจหิน ร้อนดุจไฟ จุดเพลิงให้มอดไหม้พร้อมละลายร่างหลอมรวมไปด้วยกันอีกคราและอีกคราครั้นเปลวเทียนมอดดับ หลิ่งหลินเปลือยเปล่า หางตาแดงเรื่อ หอบหายใจหนัก ส่งเสียงครวญแผ่วตอบสนองเป็นครั้งคราว นางปรือตามองอย่างอ่อนล้า สุ้มเสียงคล้ายไม้ใกล้ฝั่ง ความตายใกล้เข้ามาทุกที“หมิงอวี่ ท่านต้องการสังหารข้าใช่หรือไม่?”จ้าวหมิงอวี่จูบนางพลางยิ้ม “หาใช่สังหาร แต่เป็นการมอบความทรมานอันแสนสุขสม” ว่าพร้อมส่งตัวตนพานางไต่ทะยานบันไดสวรรค์อันสูงชันขึ้นไปแตะขอบฟ้า “อา...น้องหญิง สามีกำลังปรนเปรอเจ้า”สุ้มเสียงทุ้มแหบพร่าชวนเสียวท้องน้อยยิ่งนัก หลิ่งหลินรู้สึกได้ถึงกลุ่มผ
ตำหนักหมิงเฟิ่งค่ำคืนมงคล ห้องหอตกแต่งสีแดงละลานตา เครื่องเรือนประณีตพิถีพิถันมากกว่าเก่าหลายเท่า ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าจ้าวหมิงอวี่ตระเตรียมไว้เพื่อใคร ชายหนุ่มหวังเพียงเห็นสีหน้าพึงใจของเจ้าสาวเพื่อได้ยลแววตาปลื้มปริ่มของนางที่ทอดมอง จ้าวหมิงอวี่จึงไม่ยินยอมรั้งรอในโถงงานเลี้ยง ไม่คิดร่วมดื่มสุราอวยพรกับบรรดาเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์และเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ให้เสียเวลาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรีบย่ำเท้าจ้ำอ้าวกลับเรือนหออย่างรวดเร็วทว่าเมื่อเดินเข้ามากลับพบเพียงสีแดงงามอร่ามกับความว่างเปล่าภายในห้องหอไร้เงาเจ้าสาวของเขา“หลินหลิน” เรียวคิ้วเข้มขมวดกวาดตามองหา “เจ้าอยู่ไหน?” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเคร่งเครียดชายหนุ่มให้รู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าจู่ๆ วิชามารไม่คาดฝันทำนางหายไป ต้องทำอย่างไร? อสูรผลัดกายเปลี่ยนวิญญาณพานางมาที่นี่ได้ย่อมพานางไปที่อื่นได้ ใช่หรือไม่?ขณะความคิดโลดแล่นในเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดพลันได้ยินเสียงตอบอู้อี้จากผ้าม่านริมเตียง“ข้าอยู่นี่”จ้าวหมิงอวี่รับหันมอง เห็นหลิ่งหลินซ่อนตัวอยู่ในผ้าม่านนั้นอย่างกลมกลืนราวกับเปลี่ยนกายเป็นเนื้อเดียวกับผ้าม่านไปแล้ว“เข้าไปทำอันใดใน
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน องค์ชายสามเดินทางกลับเข้าวังหลวงพร้อมผลงานความดีความชอบมากมายเป็นที่พึงพอพระทัยครึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งตั้งรัชทายาทก็เสร็จสิ้น องค์ชายสามจ้าวเฉิงหมิงรับตำแหน่งว่าที่ราชันดังคาด องค์ชายใหญ่ที่คิดจะเดินอย่างองอาจงามสง่าหมายประกาศก้องว่าตนเองเหมาะสมเป็นรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวกลับต้องตรมใจยอมเป็นคนป่วยต่อไปเหมือนที่ผ่านมา มิคาดว่านอกจากน้องสี่ยังมีน้องสามโผล่มา ต่อให้เขาเดินได้ก็ใช่ว่าจะสู้ด้วยไหวสี่เดือนให้หลัง แคว้นต้าอันมีงานอันเป็นมหามงคลยิ่งใหญ่ ผู้คนทั้งเมืองต่างรอชื่นชมอย่างครึกครื้นชื่นมื่น นั่นคืองานแต่งขององค์ชายสี่จ้าวหมิงอวี่เครื่องดนตรีประโคมดัง เสียงปะทัดดังกึกก้องไปทั่วทั้งถนน เสียงผู้คนชื่นชมยินดีไม่ขาดสาย ชายหนุ่มอาภรณ์แดงเป็นผู้นำขบวนเกี้ยวสีแดงขี่ม้ารอบเมืองไปรับตัวเจ้าสาวของเขาอย่างอลังการ ขบวนยิ่งใหญ่ยาวเหยียดตรงไปถึงจวนสวีตามฤกษ์งามยามดีทุกประการ งานแต่งของพวกเขาแม้รวดเร็วเพราะผู้เป็นเจ้าบ่าวใจร้อนแต่กลับเหมาะสมครบถ้วน ทุกขั้นตอน พิธีการล้วนถูกต้องไม่มีขาดตกบกพร่อง อีกทั้งคนเป็นเจ้าบ่าวยังแสดงออกชัดเจนอย่างเถรตรงจนเป็นที่กล่าว
“ใช่ องค์ชายทั้งหมดมีเพียงพี่สามที่เหมาะสม เสด็จพ่อเองก็คงเห็นพ้อง พระองค์ชอบความครึกครื้นเห็นโอรสแย่งชิง แต่แท้จริงมักมอบหมายงานสำคัญ ทั้งยังส่งองค์ชายสามไปทำการใหญ่ที่ได้ใจชาวประชา ก่อนนี้ที่มีข่าวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยล้วนเป็นเพราะถูกพี่รองปองร้ายตามไล่ล่าไม่ว่างเว้น เมื่อข้ารู้ ข้าจึงซ้อนแผนพี่รอง และตอนนี้ข้าให้พี่สามกลับมา” เขาอธิบายเรียบเรื่อย ก่อนปิดท้ายด้วยวาจาโอ้อวดที่น่าฟังที่สุดในใต้หล้า “และช่วงนี้ข้าว่างมาก สามารถพาเจ้าท่องยุทธก็ยังได้”“หา!” หลิ่งหลินที่ได้ฟังทั้งหมด ทว่าพลันตาโตในประโยคสุดท้ายเท่านั้น “ท่าน พูดจริงหรือ?”“จริงแท้แน่นอน นอกจากพาท่องยุทธได้แล้วยังสามารถพาเจ้ากลับเข้าหุบเขาปีศาจไปสะสางสิ่งที่ค้างคาใจ ดีหรือไม่เล่า?”“โอ้ว!”หลิ่งหลินดีใจเป็นที่สุด ถึงขั้นเป็นฝ่ายเอื้อมมือดึงใบหน้าบุรุษเข้ามาแนบชิดแล้วจุมพิตไม่หยุด“ดีเหลือเกิน หมิงอวี่ ท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก”จ้าวหมิงอวี่ถูกนางจูบไปหลายทีจนตาลาย จำต้องขบกรามอดทนให้แก่ส่วนนั้นของร่างกาย ซึ่งกำลังรุ่มร้อนและแข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ “อ่า...หยุดก่อน หลินหลิน เจ้าหยุด!”“ทำไมเล่า ท่านชอบแบบนี้นี่นา” ว่าแล้วจูบต่
เรือนหงซิ่วจ้าวหมิงอวี่คืบคลานขึ้นเตียงของหลิ่งหลิน ค่อยๆ สอดตัวเข้าผ้าห่มผืนเดียวกัน ทว่าทันใดนั้น สตรีบนเตียงมีท่าทางกระสับกระส่าย คล้ายคนฝันร้าย พริบตานางพลันตะโกนก้อง “สวีหลิ่งเยี่ยน ระวัง!” จบคำนางพลิกตัวออกกระบวนท่าพร้อมปกป้องโครม! บุรุษร่างสูงถูกฝ่าเท้าพิฆาตดุจสายฟ้าฟาดจนกลิ้งตกเตียง “อ่า...” ทั้งเจ็บทั้งจุก จังหวะนั้นหลิ่งหลินผุดลุกตามตะปบตบไม่ยั้ง “เจ้าคนชั่ว บังอาจทำร้ายร่างเก่าข้า นี่แนะๆ”จ้าวหมิงอวี่เองก็ใช่ย่อย ครั้งแรกไม่ทันป้องกัน ทว่าตอนนี้เขาปัดป้องได้สำเร็จจากนั้นก็กอดนางไว้มั่น“หลินหลิน ข้าเอง”หลิ่งหลินที่สะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นจึงหยุดมือ “หือ?” เมื่อลืมตาแล้วเห็นว่าเป็นใครจึงตกใจนัก “จ้าวหมิงอวี่!”หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกยาว เร่งครองสติ เมื่อสงบอารมณ์ได้ก็พลิกตัวหันไปโผกอดลำคอแกร่ง “หมิงอวี่!”“ข้าเองๆ”หญิงสาวซบหน้ากับแผงอกอันอบอุ่นของเขา แนบนิ่งอยู่เช่นนั้นจ้าวหมิงอวี่ให้รู้สึกใจคอไม่ดี รีบก้มหน้าจูบขมับหอมแก้มนางพัลวันอย่างต้องการปลอบขวัญ “เจ้ากำลังฝันร้ายกระมัง”“อืม...” นางพยักหน้าหงึกหงักตรงแผงอกหนา จนใบหน้าและจมูกบิดเบี้ยวเหมือนเด็กน้อยขี้กลัว
จ้าวหมิงอวี่ดึงมีดสั้นเปื้อนโลหิตแดงฉานออกมาจากสายคาดเอวสีดำ เชยคางมนของคนงาม ถามเสียงเย็นชา “เจ้ายังปรารถนาแต่งงานให้ข้าอยู่หรือไม่?”หย่งหนิงไม่กล้าส่ายหน้าได้แต่ร่ำไห้พูดละล่ำละลักขณะที่ตัวก็สั่นงันงกไปด้วยว่า “ไม่เพคะ ไม่อยากแต่งแล้ว”จ้าวหมิงอวี่ขยับใบมีดเย็นเฉียบไล้แก้มเนียนเบาๆขณะกล่าวยิ้มๆ “เรื่องที่ท่านย่ากับเจ้าทำลงไป ท่านปู่ไม่รู้กระมัง หากเขารู้เข้าจะเป็นเช่นไร”หย่งหน้าส่ายหน้าพรืด “อย่าบอกนะเพคะ”ชายหนุ่มร้องอ้อ “ได้ข่าวว่าท่านปู่ของเจ้าไม่มีอนุเพราะสัญญากับท่านย่าของเจ้า สามีภรรยารักใคร่ อยู่ด้วยกันทุกวัน ข้าเสนอต่อเสด็จพ่อให้ท่านปู่ของเจ้าเข้าร่วมทัศนาจรกับข้าสักสามปีดีหรือไม่ สามีภรรยาแยกกันเนิ่นนานอาจทำให้ท่านย่าของเจ้ามีสติปัญญามากขึ้น รู้การควรไม่ควรกว่านี้ เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”“อย่านะเพคะ ไม่นะเพคะ” ท่านย่าของนางไม่เคยห่างจากท่านปู่สักราตรี อีกฝ่ายต้องตรอมใจตายแน่“อืม...” จ้าวหมิงอวี่ยิ้มร้าย “ยามท่านปู่ไม่อยู่ ท่านย่าอยู่กับเจ้าแค่สองคน เจ้าสามารถยืมมือท่านย่าทำการเอาแต่ใจได้อีก ไม่ดีหรือไร? ท่านปู่ไม่รู้หรอก”“ไม่ๆ ไม่ดี หม่อมฉันไม่เอาแต่ใจแล้วเพคะ”จ้าวหมิ