Home / รักโบราณ / บุปผาเยียวยาใจ / บทที่ ๕ หลานรักของอา

Share

บทที่ ๕ หลานรักของอา

last update Last Updated: 2025-05-26 14:44:14

บทที่ ๕

หลานรักของอา

วันต่อมายามเซิน

“เซียงฮวา นี่คือท่านอาจารย์ที่จะมาสอนพลังธาตุดินให้แก่เจ้า คำนับเสียสิ”

แม้จะสงสัยถึงการคงอยู่ของคนพูด แต่ไช่เซียงฮวาก็คำนับท่านอาจารย์อย่างว่าง่าย

“ไช่เซียงฮวาคำนับท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”

ท่านอาจารย์พยักหน้ารับการคารวะของเซียงฮวา แต่เมื่อเห็นลูกศิษย์คนใหม่ยังคงงุนงงอยู่ก็หันไปมองหน้าเด็กชายอีกคนให้เขาเป็นผู้เฉลย

“นี่คือท่านอาจารย์หวาง เป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์พรรคหยิ๋นมี่ ท่านอาจารย์เชิญมาสอนเจ้าโดยเฉพาะ”

ท่านอาจารย์ที่ฝูเฮยหลงกล่าวย่อมเป็นท่านอาของไช่เซียงฮวา นางถึงกับขอเวลานอกทันทีเพราะความสงสัยทำให้ไม่อาจรับข้อมูลใดได้อีก 

เมื่ออาจารย์พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ไปได้ก็ส่งสัญญาณให้เฮยหลงเดินตามมา

เมื่อพาสหายมาหยุดอยู่ที่สวนดอกไม้ซึ่งไม่ไกลจากที่ท่านอาจารย์ยืนอยู่นัก นางก็พยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นเชิงให้อีกฝ่ายอธิบายมา

ฝูเฮยหลงเป็นคนพูดน้อยและหน้านิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งจึงดูกวนประสาทในสายตาไช่เซียงฮวาจนนางหลุดพูดภาษาจากชาติภพก่อน

“ชอบแบบ speedy quiz ถามเร็วตอบเร็วใช่หรือไม่ ได้! เช่นนั้นตอบให้ทันแล้วกัน”

ไช่เซียงฮวาดีดนิ้วแล้วตั้งคำถามข้อแรก!

“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”

เปราะ!

“มาหาเจ้า”

“เหตุใดไม่มีใครในเรือนใหญ่บอกว่าเจ้าจะมา”

เปราะ!

“ข้าจะบอกเอง”

“เหตุใดจึงยังไม่กลับพรรค”

เปราะ!

“กลับพร้อมท่านอาจารย์”

เปราะ!

“ท่านปู่รู้เรื่องที่ท่านอาส่งอาจารย์มาให้ข้าหรือไม่”

“ย่อมรู้”

“แล้ว แล้ว…”

ไช่เซียงฮวาเริ่มเหนื่อยจากการตั้งคำถามที่พูดเร็วจนเกินไป ฝูเฮยหลงจึงเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่กำลังดีดนิ้วรัว ๆ อธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น

“ครั้งนี้ท่านอาจารย์จะอยู่ที่แคว้นฝูสองอาทิตย์ รั้งให้ข้าอยู่ที่นี่ยังไม่ต้องกลับพรรค ในสองอาทิตย์นี้ข้าจะมาเรียนวิชาพลังธาตุดินร่วมกับเจ้าทุกวัน ข้าได้บอกกล่าวกับท่านเสนาบดีให้รับทราบแล้ว ทุกฝ่ายยินดีไม่ได้คัดค้านอะไร ทีนี้ยังมีสิ่งใดสงสัยอีกหรือไม่”

ฝูเฮยหลงกล่าวประโยคยืดยาวเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทำเอาเซียงฮวาตะลึงไปครู่หนึ่ง ได้สติก็ตอนที่รู้สึกจักจี้เพราะเฮยหลงลูบมือนางขึ้นลงเบา ๆ นางรีบชักมือออกเพราะไม่อยากหลุดหัวเราะต่อหน้าเขา

“ถ้านึกออกแล้วจะถามอีกทีแล้วกัน ตอนนี้ท่านอาจารย์รออยู่” 

เอ่ยเพียงเท่านี้ไช่เซียงฮวาก็เดินนำฝูเฮยหลงมาหา อาจารย์หวางที่ยามนี้กำลังอ่านตำรา จิบชา ทานขนมอยู่ด้วยอิริยาบทสบาย

อาจารย์หวางอายุยี่สิบปลาย ๆ รูปร่างปราดเปรียวใบหน้าอ่อนเยาว์ บรรยากาศรอบกายเป็นมิตร ตรงข้ามกับ

คนในพรรคหยิ๋นมี่ที่ส่วนใหญ่จะเป็นบุรุษกิริยาหยาบกระด้าง คนที่มีพลังธาตุดินในระดับสูงแต่ยังคงความอ่อนโยนและเข้ากับเด็กสาววัยกำลังน่ารักอย่างเซียงฮวาได้เช่นเขาจึงถูกเลือกให้มาเป็นอาจารย์

“ขออภัยที่ต้องปล่อยให้ท่านอาจารย์รอเจ้าค่ะ”

อาจารย์หวางรับคำขอโทษ เซียงฮวาจึงเริ่มทำการยกน้ำชา ฝากตัวเป็นศิษย์ตามธรรมเนียม เมื่ออาจารย์หวางรับชามาจิบแล้วก็พูดเรื่องตารางเรียนกันคร่าว ๆ

“ท่านเสนาบดีได้บอกข้าแล้วว่าช่วงเช้าเจ้าต้องเรียนเกี่ยวกับศาสตร์ของสตรี เช่นนั้นช่วงยามเว่ย ไปจนถึงยามเซินจะเป็นการเรียนพลังธาตุ”

“เจ้าค่ะท่านอาจารย์” 

ไช่เซียงฮวาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น รอฟังสิ่งที่ท่านอาจารย์กำลังอธิบายตาแป๋ว

“การสอนในแบบของข้าคือการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากที่สุด สถานที่ที่เราจะเรียนกันใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วยาม วันที่มีการเรียนการสอน ก่อนยามเว่ยข้าจะมารับเจ้าและจะมาส่งไม่เกินยามโหย่ว

“ได้เจ้าค่ะท่านอาจารย์”

อาจารย์หวางเกิดความรู้สึกเอ็นดูหลานสาวสหายที่พยักหน้ารับหงึกหงักเหมือนนกจิกไม้

“มีสิ่งใดสงสัยหรือไม่”

ไช่เซียงฮวาถามเพิ่มอีกหลายประโยคซึ่งอาจารย์หวางก็เต็มใจตอบทุกคำถาม ทำความเข้าใจจนตรงกัน 

เมื่อหมดข้อสงสัยใด ๆ แล้วทุกคนก็แยกย้าย คราแรกเซียงฮวาจะเดินไปส่งอาจารย์กับฝูเฮยหลงที่หน้าจวน แต่ทั้งคู่ปฏิเสธนางถึงได้เดินกลับเรือนตนเอง

ยามไฮ่แสงโคมไฟในเรือนของเซียงฮวายังคงสว่างเรืองรอง เช่นเดียวกับเรือนของคุณหนูใหญ่และคุณหนูสาม ที่ตั้งใจอ่านตำราพลังธาตุ

ไช่ฮั่วฮวาที่มีพลังธาตุถึงสองธาตุ อีกทั้งยังเป็นธาตุพิเศษ ความกดดันย่อมเอ่อล้นจิตใจ ไม่อาจใช้ชีวิตแบบขอไปทีได้แล้ว

อีกทั้งตอนนี้ตำแหน่งคู่หมั้นของไท่จื่อฝูจินหลงยังคงว่างอยู่ ผู้อาวุโสจากทั้งตระกูลบิดาและมารดาล้วนหวังกับนางไว้มาก

ส่วนไช่ปิงฮวาที่โดนพี่ใหญ่ของตนดูถูกว่าท่านตาเป็นเพียงพ่อค้า มารดาเป็นนางจิ้งจอกที่มอมเมาบิดาจนต้องแต่งมารดานางเข้าจวนมา ก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้นางต้องไม่ด้อยกว่าพี่สาวคนนี้

ไช่เซียงฮวาที่อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน แม้ไม่ได้สนใจจะแข่งด้วยสักเท่าไร แต่ใครจะอยากเป็นขยะของตระกูลให้คนอื่นดูถูกเหยียดหยามถึงบุพการี

มือเล็กปิดตำราพลังธาตุดินลงเมื่ออ่านจบทุกหน้าแล้ว ซึ่งตำราเล่มนี้เป็นของท่านอาจารย์หวางที่ได้เขียนขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อไว้ให้นางได้อ่านก่อนที่จะเริ่มเรียนในวันพรุ่งนี้

“อ่านเข้าใจง่ายกว่าของท่านปู่อีก ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ท่านอาเลือกมาเป็นท่านอาจารย์ของเรา ว่าแต่ท่านอาจะมาถึงแคว้นฝูยามใดหนอ”

ไช่เซียงฮวานั่งนับวันรอการมาถึงของท่านอาพร้อมกับเคาะนิ้วเบา ๆ บนสันปกตำราสวรรค์หมื่นบุปผาไปด้วย เมื่อคิดว่าตนพักสายตามาได้สักพักหนึ่งแล้วก็เปิดตำราสวรรค์หมื่นบุปผาขึ้นมา

“วันนี้ข้าจะอยากรู้เรื่องอันใดดี”

ไช่เซียงฮวาใช้ความคิด นางเกลียดตัวเองที่เผลอคิดถึงเรื่องของกินอีกแล้ว ด้วยยังไม่ได้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องใช้ดอกไม้นี้เหล่านี้จริง ๆ อีกทั้งยังไม่ทราบวิธีในการใช้พลังบุปผา 

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเรียนวิชาธาตุดินจะได้กลเม็ดที่สามารถนำมาพัฒนาการเรียนวิชาบุปผาได้

“เว้นเรื่องของกินแล้วสนใจสวนดอกไม้ดีกว่า”

เมื่อคิดได้เช่นนั้นรายชื่อดอกไม้ก็ปรากฏบนตำรา

เซียงฮวาตั้งใจอ่านทุกอย่างไม่ว่าจะประโยชน์หรือโทษ ต่อไปจะนำไปใช้ต่อสิ่งใดได้ถูกนางแยกในหัวไว้ชัดเจนแล้ว

เมื่อไล่อ่านจนจบก็ไม่พบดอกไม้ชนิดใดที่แฝงด้วยพิษจึงดับโคมไฟเตรียมเข้านอน

“คิดว่าจะมีอย่างในซีรีส์ที่มีคนแอบปลูกดอกไม้พิษไว้รวมกับดอกไม้สวยงาม…ไม่สนุกเลย!”

ณ โรงเตี๊ยมซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองหลวงแคว้นฝู

หนึ่งในสี่คนสนิทของท่านรองประมุขพรรคหยิ๋นมี่ เอ่ยถามนายท่านของตนถึงสิ่งที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่สนทนาเรื่องงานของพรรคจบ

“นายท่านจะตรงไปจวนเสนาบดีเลยหรือไม่”

ใบหน้าหล่อเหลา แลดูเจ้าสำอางของไช่เฟิงหยูเงยหน้าขึ้นจากสารที่กำลังอ่าน

เมื่อพูดถึงจวนเสนาบดี ใบหน้าเล็กของไช่เซียงฮวาพลันปรากฏในความคิด ริมฝีปากแดงธรรมชาติยกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนจนลูกน้องคนสนิทยังเผลอยิ้มตาม

“ตรงไปที่จวนเลย วันนี้เท่านี้ เจ้าไปพักเถอะ”

“ขอรับ”

ไช่เฟิงหยูเป็นบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีกรมพิธีการที่อายุห่างจากพี่ชายของตนถึง 8 ปี 

ด้วยความที่บุตรชายทั้งสองเป็นคนชัดเจนในตัวเองบุตรชายคนโตเป็นหนอนหนังสือ จิตใจมุ่งมั่นเพียงแต่จะสอบเข้ารับราชการเป็นขุนนาง ต่างกับบุตรชายคนเล็กที่เป็นคนรักอิสระ ไม่ได้มีใจใฝ่ในทางราชสำนัก

เส้นทางสายยุทธภพของไช่เฟิงหยูจึงเริ่มตั้งแต่วัยห้าหนาว ฝากตัวเป็นศิษย์ของสหายมารดา หรือก็คือประมุขของพรรคหยิ๋นมี่คนก่อน

เขาประสบความสำเร็จในสายที่เลือก ด้วยวัยเพียง 28 หนาวก็ขึ้นเป็นรองประมุพรรค ความเก่งกาจติดอันดับหนึ่งในสิบของทั้งสี่แคว้น 

พลังธาตุหายากที่ถือครองอยู่ได้ฝึกปรือจนมาอยู่ในระดับที่แปดแล้ว อีกเพียงสองระดับก็จะสามารถอยู่ในขั้นบำเพ็ญตนเพื่อไปเป็นเซียนขั้นตนได้

“อีกเพียงไม่กี่ชั่วยาม เราก็จะได้เจอกันแล้วนะ หลานรักของอา”

วันต่อมายามเซิน

“เซียงฮวา นี่คือท่านอาจารย์ที่จะมาสอนพลังธาตุดินให้แก่เจ้า คำนับเสียสิ”

แม้จะสงสัยถึงการคงอยู่ของคนพูด แต่ไช่เซียงฮวาก็คำนับท่านอาจารย์อย่างว่าง่าย

“ไช่เซียงฮวาคำนับท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”

ท่านอาจารย์พยักหน้ารับการคารวะของเซียงฮวา แต่เมื่อเห็นลูกศิษย์คนใหม่ยังคงงุนงงอยู่ก็หันไปมองหน้าเด็กชายอีกคนให้เขาเป็นผู้เฉลย

“นี่คือท่านอาจารย์หวาง เป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์พรรคหยิ๋นมี่ ท่านอาจารย์เชิญมาสอนเจ้าโดยเฉพาะ”

ท่านอาจารย์ที่ฝูเฮยหลงกล่าวย่อมเป็นท่านอาของไช่เซียงฮวา นางถึงกับขอเวลานอกทันทีเพราะความสงสัยทำให้ไม่อาจรับข้อมูลใดได้อีก 

เมื่ออาจารย์พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ไปได้ก็ส่งสัญญาณให้เฮยหลงเดินตามมา

เมื่อพาสหายมาหยุดอยู่ที่สวนดอกไม้ซึ่งไม่ไกลจากที่ท่านอาจารย์ยืนอยู่นัก นางก็พยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นเชิงให้อีกฝ่ายอธิบายมา

ฝูเฮยหลงเป็นคนพูดน้อยและหน้านิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งจึงดูกวนประสาทในสายตาไช่เซียงฮวาจนนางหลุดพูดภาษาจากชาติภพก่อน

“ชอบแบบ speedy quiz ถามเร็วตอบเร็วใช่หรือไม่ ได้! เช่นนั้นตอบให้ทันแล้วกัน”

ไช่เซียงฮวาดีดนิ้วแล้วตั้งคำถามข้อแรก!

“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”

เปราะ!

“มาหาเจ้า”

“เหตุใดไม่มีใครในเรือนใหญ่บอกว่าเจ้าจะมา”

เปราะ!

“ข้าจะบอกเอง”

“เหตุใดจึงยังไม่กลับพรรค”

เปราะ!

“กลับพร้อมท่านอาจารย์”

เปราะ!

“ท่านปู่รู้เรื่องที่ท่านอาส่งอาจารย์มาให้ข้าหรือไม่”

“ย่อมรู้”

“แล้ว แล้ว…”

ไช่เซียงฮวาเริ่มเหนื่อยจากการตั้งคำถามที่พูดเร็วจนเกินไป ฝูเฮยหลงจึงเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่กำลังดีดนิ้วรัว ๆ อธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น

“ครั้งนี้ท่านอาจารย์จะอยู่ที่แคว้นฝูสองอาทิตย์ รั้งให้ข้าอยู่ที่นี่ยังไม่ต้องกลับพรรค ในสองอาทิตย์นี้ข้าจะมาเรียนวิชาพลังธาตุดินร่วมกับเจ้าทุกวัน ข้าได้บอกกล่าวกับท่านเสนาบดีให้รับทราบแล้ว ทุกฝ่ายยินดีไม่ได้คัดค้านอะไร ทีนี้ยังมีสิ่งใดสงสัยอีกหรือไม่”

ฝูเฮยหลงกล่าวประโยคยืดยาวเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทำเอาเซียงฮวาตะลึงไปครู่หนึ่ง ได้สติก็ตอนที่รู้สึกจักจี้เพราะเฮยหลงลูบมือนางขึ้นลงเบา ๆ นางรีบชักมือออกเพราะไม่อยากหลุดหัวเราะต่อหน้าเขา

“ถ้านึกออกแล้วจะถามอีกทีแล้วกัน ตอนนี้ท่านอาจารย์รออยู่” 

เอ่ยเพียงเท่านี้ไช่เซียงฮวาก็เดินนำฝูเฮยหลงมาหา อาจารย์หวางที่ยามนี้กำลังอ่านตำรา จิบชา ทานขนมอยู่ด้วยอิริยาบทสบาย

อาจารย์หวางอายุยี่สิบปลาย ๆ รูปร่างปราดเปรียวใบหน้าอ่อนเยาว์ บรรยากาศรอบกายเป็นมิตร ตรงข้ามกับ

คนในพรรคหยิ๋นมี่ที่ส่วนใหญ่จะเป็นบุรุษกิริยาหยาบกระด้าง คนที่มีพลังธาตุดินในระดับสูงแต่ยังคงความอ่อนโยนและเข้ากับเด็กสาววัยกำลังน่ารักอย่างเซียงฮวาได้เช่นเขาจึงถูกเลือกให้มาเป็นอาจารย์

“ขออภัยที่ต้องปล่อยให้ท่านอาจารย์รอเจ้าค่ะ”

อาจารย์หวางรับคำขอโทษ เซียงฮวาจึงเริ่มทำการยกน้ำชา ฝากตัวเป็นศิษย์ตามธรรมเนียม เมื่ออาจารย์หวางรับชามาจิบแล้วก็พูดเรื่องตารางเรียนกันคร่าว ๆ

“ท่านเสนาบดีได้บอกข้าแล้วว่าช่วงเช้าเจ้าต้องเรียนเกี่ยวกับศาสตร์ของสตรี เช่นนั้นช่วงยามเว่ย ไปจนถึงยามเซินจะเป็นการเรียนพลังธาตุ”

“เจ้าค่ะท่านอาจารย์” 

ไช่เซียงฮวาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น รอฟังสิ่งที่ท่านอาจารย์กำลังอธิบายตาแป๋ว

“การสอนในแบบของข้าคือการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากที่สุด สถานที่ที่เราจะเรียนกันใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วยาม วันที่มีการเรียนการสอน ก่อนยามเว่ยข้าจะมารับเจ้าและจะมาส่งไม่เกินยามโหย่ว

“ได้เจ้าค่ะท่านอาจารย์”

อาจารย์หวางเกิดความรู้สึกเอ็นดูหลานสาวสหายที่พยักหน้ารับหงึกหงักเหมือนนกจิกไม้

“มีสิ่งใดสงสัยหรือไม่”

ไช่เซียงฮวาถามเพิ่มอีกหลายประโยคซึ่งอาจารย์หวางก็เต็มใจตอบทุกคำถาม ทำความเข้าใจจนตรงกัน 

เมื่อหมดข้อสงสัยใด ๆ แล้วทุกคนก็แยกย้าย คราแรกเซียงฮวาจะเดินไปส่งอาจารย์กับฝูเฮยหลงที่หน้าจวน แต่ทั้งคู่ปฏิเสธนางถึงได้เดินกลับเรือนตนเอง

ยามไฮ่แสงโคมไฟในเรือนของเซียงฮวายังคงสว่างเรืองรอง เช่นเดียวกับเรือนของคุณหนูใหญ่และคุณหนูสาม ที่ตั้งใจอ่านตำราพลังธาตุ

ไช่ฮั่วฮวาที่มีพลังธาตุถึงสองธาตุ อีกทั้งยังเป็นธาตุพิเศษ ความกดดันย่อมเอ่อล้นจิตใจ ไม่อาจใช้ชีวิตแบบขอไปทีได้แล้ว

อีกทั้งตอนนี้ตำแหน่งคู่หมั้นของไท่จื่อฝูจินหลงยังคงว่างอยู่ ผู้อาวุโสจากทั้งตระกูลบิดาและมารดาล้วนหวังกับนางไว้มาก

ส่วนไช่ปิงฮวาที่โดนพี่ใหญ่ของตนดูถูกว่าท่านตาเป็นเพียงพ่อค้า มารดาเป็นนางจิ้งจอกที่มอมเมาบิดาจนต้องแต่งมารดานางเข้าจวนมา ก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้นางต้องไม่ด้อยกว่าพี่สาวคนนี้

ไช่เซียงฮวาที่อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน แม้ไม่ได้สนใจจะแข่งด้วยสักเท่าไร แต่ใครจะอยากเป็นขยะของตระกูลให้คนอื่นดูถูกเหยียดหยามถึงบุพการี

มือเล็กปิดตำราพลังธาตุดินลงเมื่ออ่านจบทุกหน้าแล้ว ซึ่งตำราเล่มนี้เป็นของท่านอาจารย์หวางที่ได้เขียนขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อไว้ให้นางได้อ่านก่อนที่จะเริ่มเรียนในวันพรุ่งนี้

“อ่านเข้าใจง่ายกว่าของท่านปู่อีก ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ท่านอาเลือกมาเป็นท่านอาจารย์ของเรา ว่าแต่ท่านอาจะมาถึงแคว้นฝูยามใดหนอ”

ไช่เซียงฮวานั่งนับวันรอการมาถึงของท่านอาพร้อมกับเคาะนิ้วเบา ๆ บนสันปกตำราสวรรค์หมื่นบุปผาไปด้วย เมื่อคิดว่าตนพักสายตามาได้สักพักหนึ่งแล้วก็เปิดตำราสวรรค์หมื่นบุปผาขึ้นมา

“วันนี้ข้าจะอยากรู้เรื่องอันใดดี”

ไช่เซียงฮวาใช้ความคิด นางเกลียดตัวเองที่เผลอคิดถึงเรื่องของกินอีกแล้ว ด้วยยังไม่ได้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องใช้ดอกไม้นี้เหล่านี้จริง ๆ อีกทั้งยังไม่ทราบวิธีในการใช้พลังบุปผา 

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเรียนวิชาธาตุดินจะได้กลเม็ดที่สามารถนำมาพัฒนาการเรียนวิชาบุปผาได้

“เว้นเรื่องของกินแล้วสนใจสวนดอกไม้ดีกว่า”

เมื่อคิดได้เช่นนั้นรายชื่อดอกไม้ก็ปรากฏบนตำรา

เซียงฮวาตั้งใจอ่านทุกอย่างไม่ว่าจะประโยชน์หรือโทษ ต่อไปจะนำไปใช้ต่อสิ่งใดได้ถูกนางแยกในหัวไว้ชัดเจนแล้ว

เมื่อไล่อ่านจนจบก็ไม่พบดอกไม้ชนิดใดที่แฝงด้วยพิษจึงดับโคมไฟเตรียมเข้านอน

“คิดว่าจะมีอย่างในซีรีส์ที่มีคนแอบปลูกดอกไม้พิษไว้รวมกับดอกไม้สวยงาม…ไม่สนุกเลย!”

ณ โรงเตี๊ยมซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองหลวงแคว้นฝู

หนึ่งในสี่คนสนิทของท่านรองประมุขพรรคหยิ๋นมี่ เอ่ยถามนายท่านของตนถึงสิ่งที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่สนทนาเรื่องงานของพรรคจบ

“นายท่านจะตรงไปจวนเสนาบดีเลยหรือไม่”

ใบหน้าหล่อเหลา แลดูเจ้าสำอางของไช่เฟิงหยูเงยหน้าขึ้นจากสารที่กำลังอ่าน

เมื่อพูดถึงจวนเสนาบดี ใบหน้าเล็กของไช่เซียงฮวาพลันปรากฏในความคิด ริมฝีปากแดงธรรมชาติยกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนจนลูกน้องคนสนิทยังเผลอยิ้มตาม

“ตรงไปที่จวนเลย วันนี้เท่านี้ เจ้าไปพักเถอะ”

“ขอรับ”

ไช่เฟิงหยูเป็นบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีกรมพิธีการที่อายุห่างจากพี่ชายของตนถึง 8 ปี 

ด้วยความที่บุตรชายทั้งสองเป็นคนชัดเจนในตัวเองบุตรชายคนโตเป็นหนอนหนังสือ จิตใจมุ่งมั่นเพียงแต่จะสอบเข้ารับราชการเป็นขุนนาง ต่างกับบุตรชายคนเล็กที่เป็นคนรักอิสระ ไม่ได้มีใจใฝ่ในทางราชสำนัก

เส้นทางสายยุทธภพของไช่เฟิงหยูจึงเริ่มตั้งแต่วัยห้าหนาว ฝากตัวเป็นศิษย์ของสหายมารดา หรือก็คือประมุขของพรรคหยิ๋นมี่คนก่อน

เขาประสบความสำเร็จในสายที่เลือก ด้วยวัยเพียง 28 หนาวก็ขึ้นเป็นรองประมุพรรค ความเก่งกาจติดอันดับหนึ่งในสิบของทั้งสี่แคว้น 

พลังธาตุหายากที่ถือครองอยู่ได้ฝึกปรือจนมาอยู่ในระดับที่แปดแล้ว อีกเพียงสองระดับก็จะสามารถอยู่ในขั้นบำเพ็ญตนเพื่อไปเป็นเซียนขั้นตนได้

“อีกเพียงไม่กี่ชั่วยาม เราก็จะได้เจอกันแล้วนะ หลานรักของอา”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๒๐ ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ

    บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๙ มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้

    บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๘ เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่

    บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๗ เอาไว้สร้างรังรักของเรา

    บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๖ อาอยากจะบอกว่า…

    บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๕ เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่

    บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status