ไม่นานหลังจากนั้นการไว้ทุกข์ให้มารดาครบสามปีจบลงพร้อมกับเทียบเชิญเข้าร่วมฉลองชนะศึกและการประกาศราชโองการสมรสพระราชทานอันเป็นรางวัลแก่ผู้ทำความดีความชอบพลันเกิดขึ้น
ไป๋หมิงเยว่ยังไม่อาจตัดใจรักหลี่เฟยเทียนได้ด้วยซ้ำกลับต้องออกมายืนรับพระราชโองการกลางลานงานเลี้ยงหน้าที่ประทับอย่างกะทันหันชนิดไม่ทันตั้งตัวมิได้เตรียมใจ
ข้างกายคือบุรุษผู้ได้รับสมรสพระราชทานกับนาง
แม่ทัพหนุ่มผู้แข็งกระด้างเย็นชา หยางเจี้ยน...
อันที่จริง สมญานามเรื่องเย่อหยิ่งจองหองมองคนด้วยหางตาพิฆาต ยังมีท่าทีเย็นชาท่วงท่ากิริยาสุดแสนจะแข็งกระด้างกอปรกับใบหน้าไร้อารมณ์และนิสัยเข้าถึงยากของหยางเจี้ยน มิได้ทำให้ไป๋หมิงเยว่นึกกังวลเท่ากับการที่เขาคือบุรุษที่สหายของนางแอบพึงใจหมายปอง
เหยาฟู่หรง สหายเพียงหนึ่งเดียวของไป๋หมิงเยว่
คุณหนูเหยามักจะร่วมดื่มชาเดินหมากกับไป๋หมิงเยว่เพื่อคลายเหงาและร่ายเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตตนเองให้ไป๋หมิงเยว่ฟังว่า
‘ข้าจะบอกกับท่านแม่ให้ไปเลียบเคียงท่านผู้เฒ่าจวนหยางเรื่องหมั้นหมาย เขาสูงส่งปานนั้น ได้เป็นเพียงอนุของเขาก็ยังดี หวังว่าท่านแม่ทัพหยางผู้นั้นจะไม่รังเกียจข้า’
คำพูดจาคล้ายฝันเฟื่องเช่นนั้นถูกโพล่งออกมาได้แค่เพียงไม่นาน สมรสพระราชทานกลับถูกประกาศตัดหน้า
ราชโองการโอรสสวรรค์ไม่อาจขัด มิเช่นนั้นย่อมต้องพาคนทั้งตระกูลตายตกถึงเก้าชั่วโคตร
เรื่องนี้มีเพียงต้องทำใจเท่านั้น ไป๋หมิงเยว่จึงทำอะไรมิได้นอกจากก้มหน้าร่ำไห้ยอมรับชะตากรรม โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสหายรักอย่างเหยาฟู่หรงไม่คิดยินยอมสักเสี้ยว
ในขณะเดียวกัน ไป๋ลี่ถิงยังรู้สึกเสมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยสักนิด
นางต้องชอกช้ำเพราะหลี่เฟยเทียนยังมีใจรักในตัวไป๋หมิงเยว่มากล้นไม่พอ พี่สาวผู้ไม่มีอะไรดีเลยของนางผู้นี้ยังได้สมรสพระราชทานกับแม่ทัพผู้หล่อเหลาและเกรียงไกร ได้ยกฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกแห่งจวนหยาง
ดูเถิด ช่วงนี้บิดามารดายังเอาใจใส่พี่สาวมากขึ้นด้วย พากันเชิดหน้าชูคอกันเหลือเกิน นางไม่ยอม...
และใช่...
ไป๋หมิงเยว่สิ้นใจเพราะน้องสาวตัวดีจอมริษยาอย่างไป๋ลี่ถิงและสหายตัวร้ายจอมหึงหวงอย่างเหยาฟู่หรง
สองคนนั้นแอบร่วมมือกันลอบสังหารชีวิตน้อยๆ สุดแสนจะอาภัพของไป๋หมิงเยว่
เพียงเพราะโกรธเคืองเรื่องบุรุษที่มิใช่ของตน!
เหตุผลแสนอัปยศชวนคลื่นเหียนเยี่ยงนี้มีมาช้านาน ทว่าไป๋หมิงเยว่ไหนเลยจะหลบเลี่ยงหรือต่อกรได้
แรกเริ่มนางเพียงกินข้าวดื่มชาตามปกติโดยมิรู้เลยว่าไป๋ลี่ถิงแอบสั่งให้คนผสมสิ่งใดลงไป การระแวดระวังภัยแน่นอนว่ามีบ้างตามประสา
ทว่าสาวใช้อีกคนที่ดูแลในเรือนถูกลอบซื้อตัวไปด้วยอำนาจที่มากกว่าเรียบร้อยแล้ว จะอย่างไรก็ทำชั่วแนบเนียน กระทั่งผู้ใดก็มิอาจล่วงรู้หรือระแคะระคาย
คุณหนูใหญ่แห่งจวนไป๋จึงกินข้าวดื่มน้ำแกงจิบน้ำชาที่ทำร้ายร่างกายให้ค่อยๆ อ่อนแอและเจ็บป่วยบ่อยกว่าเดิม
ไป๋ลี่ถิงทำให้ไป๋หมิงเยว่ป่วย กระทั่งจำต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน เพียงเพื่อมิให้พี่สาวออกมาพบหน้าหลี่เฟยเทียน ทั้งที่พวกเขาไร้วาสนาต่อกันไปแล้วด้วยสมรสพระราชทาน
ในห้องหับมืดอับ ไป๋หมิงเยว่ผู้เปราะบางทำได้แค่นอนมองดวงจันทร์ผ่านหน้าต่างยามราตรี มองดวงตะวันผ่านแสงของมันยามทิวา ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ค่า และอาจป่วยตายเงียบๆ อยู่ในจวนแห่งนี้ได้ทุกเวลา
จากนั้นยังได้รับชาหอมชั้นดีที่เหยาฟู่หรงนำมาฝาก พร้อมคำบอกกล่าวอย่างมาดมั่นว่าจะตัดใจจากแม่ทัพหยาง ขอให้สหายรักไป๋หมิงเยว่มีชีวิตแต่งงานที่ดี นางจะอยู่ตรงนี้คอยเป็นกำลังใจให้สหายตลอดไป
ไป๋หมิงเยว่ดื่มน้ำชานั้นอย่างตื้นตัน โดยไม่รู้อีกเช่นกันว่าในชามีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีพิษอ่อนทำให้เจ็บป่วยไม่ต้องหายดีตลอดไป
เหยาฟู่หรงหมายมาดให้งานมงคลล่มไม่เป็นท่า ทว่านางมิอาจทราบว่าดอกไม้ที่มีพิษอ่อนจักกลับกลายเป็นพิษร้ายเสียได้
มันบังเอิญทำฤทธิ์กับยาต้มซึ่งคนในเรือนแอบผสมในน้ำแกงให้ไป๋หมิงเยว่กินอยู่ทุกวัน
สองสิ่งเลวร้ายผสานกันลงตัวโดยมิได้นัดหมาย กระทั่งเกินที่ใครจะคาดคิด ไป๋หมิงเยว่ที่กำลังย่ำแย่กับเรื่องที่กำลังเผชิญแทบขาดใจอยู่แล้วเมื่อเจอยาที่ผสานกันเข้าไป ผลที่ได้กลับกลายเป็นตัวเร่งให้คนตรอมตรมเกิดภาวะตรอมใจจนตาย
หัวใจของไป๋หมิงเยว่หยุดเต้นฉับพลันยามหลับสนิทในกลางดึกคืนหนึ่ง...
ฐานะของกู้ซินในจวนเสนาบดีกู้คือญาติผู้น้องของกู้ซือหมิง บุรุษหนุ่มที่วันนี้มีสตรีหลายคนเริ่มให้ความสนใจเมื่อแรกเจอตอนเข้างาน สาวน้อยกับสหายของนางนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มของธิดาขุนนางที่งดงามดุจนางสวรรค์ ประหนึ่งบุปผาแข่งขันกันผลิกลีบแย้มบานยวนตาหมู่ภมร กู้ซินกับจื่อหรานจึงโดดเด่นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เสมือนจุดสีดำเล็กๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ก็มิปาน สตรีหลายคนพากันลุกขึ้นเข้ามาทักทายผูกมิตรอย่างคึกคัก กู้ซินไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจึงพูดคุยด้วยรอยยิ้มโม่เหลียนก็เช่นกัน นางแย้มยิ้มให้สหายใหม่รวมถึงกู้ซือหมิงที่เพิ่งได้พูดคุยเป็นวันแรกหลังจากได้ยินชื่อมานานในงานเลี้ยงวันนี้พิเศษตรงที่กู้เจิ้งจัดสวนดอกไม้เพื่อเอาใจหลินเพ่ย และแขกเหรื่อสามารถเดินชมความงามได้ตามอัธยาศัย อันเป็นการประกาศศักดาชนิดหนึ่งของคนเป็นภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานจากสามีอย่างล้นเหลือ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าวอย่างใจกล้าว่าปรารถนาเดินชมทิวทัศน์ในจวนเสนาบดี ให้กู้ซินแจ้งแก่ญาติผู้พี่ได้หรือไม่ ให้เขาพาเดินชมได้หรือเปล่า ร่วมวงสนทนากันดีหรือไม่ เมื่อคนหนึ่งจบคำถาม อีกสองสามคนจึงพยักหน้าคล้อยตาม เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกนางปรารถนาใ
งานเลี้ยงวันนี้ ผู้ตรวจการหานย่อมได้รับเทียบเชิญ เขาไม่มีฮูหยินจึงมากับธิดาหนึ่งเดียวของตนเมื่อเข้างานมาก็พาหานจื่อหรานกล่าวทักทายกู้เจิ้งและอวยพรหลินเพ่ย หลังจากนั้นก็แยกไปคนละฝั่งที่ถูกจัดแยกชายหญิง ก่อนหมุนตัวไปยังไม่ลืมหันมาทำตาดุ“ห้ามเจ้าซุกซน” หานเซิงกำชับบุตรสาวเสียงขรึม ตอนนี้นางเรียบร้อยสงบเสงี่ยมขึ้นมากก็จริง ทว่าเมื่อก่อนดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างยิ่ง เขาจึงยังไม่อาจไว้ใจได้เต็มส่วนโม่เหลียนย่อมเข้าใจความห่วงใยนี้ บิดาผู้นี้เป็นคนดียิ่งนัก นางรักเคารพไม่ต่างจากบิดาแท้ๆ จึงรีบออดอ้อนว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าจะไปอยู่กับกู้ซินและเหยาฮูหยิน อยู่ใกล้ผู้อาวุโสเช่นนั้น ตัวข้าย่อมไม่สะดวกซุกซนแล้ว จะทำตัวดีๆ เพื่อท่านพ่อไม่ต้องเครียด ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”ได้ยินคำยืนยันหนักแน่นยาวเหยียด หานเซิงจึงวางใจพยักหน้าให้นางไปได้งานเลี้ยงนี้ ทางฝั่งบุรุษมีคณะดนตรีมีสาวงามร่ายรำ ทางฝั่งสตรี มีคณะละครเลื่องชื่อ แขกเหรื่อบ้างเดินออกไปชมดอกไม้ในสวน บ้างนั่งดูการแสดง บ้างหันไปชื่นชมทิวทัศน์ บ้างก็จับกลุ่มคุยกัน กู้ซินนั่งอยู่กับเหยาจิน โม่เหลียนเดินตรงเข้าไปทำความเคารพทักทายแล้วนั่งลง
วันที่เก้าเดือนสิบเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลินเพ่ยเสนาบดีกู้ผู้หลงใหลในตัวภรรยาสาวผู้อ่อนเยาว์จึงจัดงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติไร้ที่ติ ส่งเทียบเชื้อเชิญครอบครัวของสหายขุนนางมามากหน้าหลายตาท่ามกลางบุปผาแพรพรรณประดับประดาตระการตา ผู้คนเดินเข้ามาร่วมงานครึกครื้น หลินเพ่ยสวมใส่ชุดสีแดงสมตำแหน่งฮูหยินใหญ่เสนาบดียืนยิ้มสูงส่งอยู่ข้างๆ กู้เจิ้ง โดยมีกู้ซือหมิงและเด็กชายกู้ซูเย่ยืนร่วมการแสดงความรักเอาใจใส่ในตัวภรรยาสาวถึงขั้นที่ผู้คนเคยบรรยายว่าลุ่มหลงสาวงามของกู้เจิ้งเรียกสายตาของแขกเหรื่อได้ไม่น้อยเช่นเดิม ทว่านั่นกลับไม่อาจมากกว่าร่างสูงโปร่งงามสง่าของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีคนหนึ่ง พวกเขาต่างจ้องมองกู้ซือหมิงไม่วางตา ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ในจวนกู้เองหลังจากบุตรชายคนโตของเสนาบดีกู้หายป่วย เหล่าบ่าวไพร่พลันรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง บุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าการแต่งกาย ท่วงท่ากิริยา สีหน้าท่าทาง แม้แต่การเดินการนั่ง เมื่อก่อนกู้ซือหมิงมักมีลักษณะคนที่ขาดความมั่นใจ ตั้งแต่สูญเสียมารดาไปในวัยเยาว์ก็ใช้ชีวิตเรียบเรื่อยสืบมา ไม่กระตือรือร้น เพียงเชื่อ
“เจ้าหึงก็บอกว่าหึง หวงก็บอกว่าหวง ได้ไหม?”วงแขนอุ่นซ่านยิ่งกระชับแน่นขึ้น สุ้มเสียงหัวเราะของบุรุษยังทุ้มแผ่วเอาแต่ใจ ทำเอาโม่เหลียนขนลุกตั้งชัน สองแก้มสุกปลั่ง ใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง นึกอยากตามใจเขา ท้ายที่สุดก็แสร้งฉุนเฉียวไม่ไหว จำต้องยอมรับแต่โดยดี“อือ...ข้าชอบหึงหวงไม่รู้หรือไร ว่าที่สามีต้องทำตัวดีๆ เข้าใจหรือไม่? ห้ามพาหญิงอื่นกลับมาด้วย แล้วค่อยทำเรื่องของเราให้ถูกต้อง ตกลงไหม?”เยี่ยนเต๋อให้นึกเอ็นดูเหลือเกิน จมูกโด่งจึงกดลงตรงกระหม่อมนางเบาๆ อย่างรักใคร่ทะนุถนอม “โอกาสในชาตินี้ที่จะได้มีเจ้าเคียงข้างเป็นภรรยา ข้าไม่มีทางปล่อยไปให้เสียชาติเกิดอย่างโง่เขลาแน่นอน”“สัญญานะ”“อืม...” สุ้มเสียงตอบรับแม้แผ่วเบาแสนสั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงอย่างที่สุด โม่เหลียนผลิยิ้มหลับตา ซุกใบหน้าฝังอกเขาเงียบงัน สองแขนกอดเอวสอบแน่นขึ้น ไม่ให้เขาเห็นน้ำตาเด็ดขาดกิริยาของนางในอ้อมแขนทำเยี่ยนเต๋อเกินห้ามใจ ใบหน้าหล่อเหลาจึงก้มลงต่ำมอบจุมพิตหวานละมุนเนิ่นนานแม้ตรงนี้จะเป็นมุมห่างไกลจากผู้คนหน้าประตูเมือง ไม่มีใครเดินผ่านเท่าใด หากแต่กู้ซินก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี นางกางพัดยกร่ม
หลังจากฝึกฝนจนคนผู้หนึ่งฟื้นฟูฝีมือได้มากพอ จำต้องตัดสินใจลาจากเพื่อไปต่อที่ค่ายทหารอย่างที่ตั้งใจวันที่สี่เดือนสิบโม่เหลียนมายืนรอเพื่อส่งเยี่ยนเต๋อเดินทางไกลที่หน้าประตูเมืองตั้งแต่ฟ้าสาง เมื่อสว่างเต็มที่จึงได้เห็นรถม้าจวนกู้เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเยี่ยนเต๋อในชุดสีดำรัดกุมควบม้าย่างเยาะอยู่ข้างๆ รถม้าของครอบครัวที่เดินทางมาส่งอย่างอบอุ่นไม่นานชายหนุ่มก็มาหยุดเบื้องหน้าของโม่เหลียนหญิงสาวแหงนหน้ามอง จับจ้องนิ่ง กู้ฉีรุ่ยยามนี้ที่อายุเพียงสิบแปดปีก็จริงทว่าท่วงท่าองอาจผึ่งผายสมชายชาตรีของเขาเหมือนเยี่ยนเต๋อที่อายุยี่สิบกว่าปีในชาติก่อนไม่ผิดเพี้ยน แตกต่างตรงใบหน้าซึ่งควรคมเข้มเคร่งขรึม ชาตินี้กลับงดงามละมุนละไมยิ่งกว่าและมีดวงตาดอกท้อคู่นั้นเพิ่มขึ้นมา ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ดวงตาดอกท้อที่มองดูแล้วเหมือนคนเจ้าชู้หลายใจ โม่เหลียนกลับสัมผัสได้ดีถึงความหยิ่งทะนงและเย็นชาของคนตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้นที่มียิ่งสวมชุดนี้ก็ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เมื่อมองแล้วทำให้ไม่สามารถละสายตาไปทางอื่นได้เลย“จ้องข้าเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าตกหลุมรักข้ามากขึ้น”ชายหนุ่มส่งเสียงทุ้มต่ำหยอกเอินเบาๆ พลางลงจา
“ท่านแกล้งข้า...”ดวงตาคมวาวทอดนิ่งที่พวงแก้มแดง “ผู้ใดแกล้ง ข้าอยากทำจริงๆ ต่างหาก อยากแต่งงานกับเจ้าใจจะขาด ผิวขาวๆ นี่ข้าปรารถนาขบเม้มยิ่งนัก”ความหมายชัดเจนว่าอยากเข้าหอ อยากทำขั้นตอนผลิตทายาทแบบเต็มพิธีการกับนางอันเป็นที่รักทั้งวันทั้งคืนโม่เหลียนพลันหน้าแดงเถือกกับความเถรตรงนี้“เยี่ยนเต๋อ!”ฝ่ามือจึงตีเต็มแรงที่บ่ากว้าง“อ่า...”ทำผู้อื่นเขินอายก็ต้องถูกตีเช่นนี้แล...หยอกล้อจนชุ่มชื่นหัวใจ ชายหนุ่มก็พาหญิงสาวไปนั่งลงที่เก้าอี้กลมริมหน้าต่าง นำห่อผ้าหนึ่งวางลงบนโต๊ะ เมื่อแกะห่อผ้าออกจึงเห็นเป็นดาบสองเล่มคู่กัน เล่มหนึ่งเป็นดาบธรรมดามีหนึ่งคมหนึ่งสัน รูปทรงโค้งเอียง มีโกร่งดาบกลมแบนใช้ฟันเป็นหลัก อีกเล่มคือดาบวงเดือน โม่เหลียนเบิกตามองดาบเล่มที่สองตาค้างเยี่ยนเต๋อจึงเอื้อมมือลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู“ดาบวงเดือนข้ามอบให้เจ้า”ว่าพลางหยิบดาบอีกเล่มขึ้นมา “ส่วนเล่มนี้ของข้า เป็นอาวุธสำคัญของทหารราบ ใช้เวลาฝึกฝนเพียงแค่ไม่นานก็ใช้การได้คล่องมือพร้อมฆ่าฟันข้าศึกแล้ว”โม่เหลียนกะพริบตา “ท่านหมายความว่าอย่างไร”เยี่ยนเต๋อหย่อนกายสูงใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ดึงนางขึ้นนั่งบนตักแกร