“หากไม่อยากเก็บเอาไว้พวกเจ้าจะทำเช่นไรก็ตามใจ จะว่าไปนี่ก็เข้าเหมันต์แล้ว พวกเจ้าจะใช้ตำราพวกนี้สุมไฟก็ตามใจพวกเจ้าเถิด ข้าหาได้สนใจไม่” กล่าวจบนางก็โบกมือเป็นสัญญาณให้บ่าวรับใช้เดินจากมาพร้อมกัน
คล้อยหลังสตรีร้ายกาจ คนที่ลอบมองอยู่ในเรือนก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะรินชาแล้วยกขึ้นจิบ
“ข้าเพิ่งทราบว่าตนเองเป็นสตรีในดวงใจของน้องสาวเจ้า” เซี่ยอี้หานหรือคังอ๋องเอ่ยพลางยิ้มมุมปาก ยามที่พบกันที่ร้านตำราหาใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเปี่ยวตี้[1]ขอให้เขาไปสอดส่องดูการกระทำของน้องสาวนอกไส้
“หึ! ท่านอย่าได้คิดแต่งสตรีร้ายกาจเช่นนั้นเป็นพระชายาเด็ดขาด ข้ายังไม่อยากมีพี่สะใภ้นิสัยชั่วช้า” หมิงเลี่ยงรุ่ยกล่าว
“ข้าว่านางน่าสนใจไม่น้อย” คังอ๋องกล่าวมุมปากพลันยกยิ้ม วาจาที่หมิงเจียวซือกล่าวเมื่อครู่ช่างแตกต่างจากที่นางเอ่ยที่ร้านตำรา
บุรุษในดวงใจหรือ ช่างโป้ปดได้ไม่แนบเนียนเสียจริง หากนางพึงใจเขาจริง ยามพบเจอนางจะต้องเขินอายยามที่เขาเข้าไปสนทนา ทั้งยังต้องพยายามหาเรื่องสนทนาเพื่อรั้งให้เขาอยู่ด้วยนานขึ้น มิใช่พอเสร็จเรื่องก็รีบลากสาวใช้เดินหนีคล้ายกับเห็นเขาเป็นมารร้าย
“ข้าให้ท่านไปสอดส่องดูนางแค่ครั้งเดียว มิใช่ท่านไปตกหลุมพรางนางมารผู้นั้นแล้วกระมัง”
“ข้าดูออกง่ายเช่นนั้นเลยหรือ” กล่าวจบเซี่ยอี้หานก็หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นแทน
เมื่อคหบดีหมิงกลับถึงจวน เรื่องราวที่คุณชายใหญ่ถูกโบยอย่างหนักก็ถูกปิดเงียบเช่นเดิม ประกอบกับอาการของอีกฝ่ายดีขึ้นแล้ว เรื่องนี้จึงคล้ายจะเลือนหายไปกับสายลม
“ท่านพ่อจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“พ่อ เอ่อ...” หมิงหลิวซีไม่รู้จะบอกบุตรสาวเช่นไร เพราะยามตนบอกว่าจะไปหาหมิงเลี่ยงรุ่ย นางเป็นต้องโวยวายไม่พอใจทุกครั้ง
“ท่านพ่อไม่ได้กลับจวนนานคงคิดถึงพี่ใหญ่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจียวซือ พ่อก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน” แม้ที่ผ่านมาเขาจะดุด่าบุตรสาวที่ทำตัวร้ายกาจใส่พี่ชายคนโต แต่ทว่าเขาไม่เคยโกรธนางได้จริง ๆ เสียที
“ที่ข้าถาม ข้าไม่ได้จะต่อว่าตัดพ้ออันใดกับท่านพ่อหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่หากท่านพ่อจะไปรับสำรับกับพี่ใหญ่ ข้าจะขอไปด้วยได้หรือไม่”
“เจ้าน่ะหรือ อยากไปรับสำรับที่เรือนของพี่ชาย”
“เจ้าค่ะ ข้าไม่คิดกลั่นแกล้งพี่ใหญ่อีกแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าก็ใกล้จะปักปิ่นแล้ว อีกไม่นานก็คงจะต้องออกเรือน ส่วนพี่ใหญ่ที่เป็นบุตรชายก็จะกลายเป็นทายาทสืบทอดตระกูลหมิงและกิจการของท่านพ่อต่อ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าหากข้าทำดีกับพี่ใหญ่บ้าง ยามออกเรือนไปแล้วฝั่งตระกูลสามีทำไม่ดีกับข้า พี่ใหญ่จะได้ช่วยออกหน้าปกป้องข้าบ้าง”
“ซือเอ๋อร์” หมิงหลิวซีมองบุตรสาวด้วยสายตาเอ็นดู หากบุตรทั้งสามรักใคร่กัน เขาที่เป็นบิดามีหรือจะไม่ยินดี
“อีกอย่างข้าไม่อยากให้ท่านแม่มองพี่ใหญ่เป็นศัตรูเพราะข้าอีกแล้วเจ้าค่ะ ยามข้าออกเรือนไปข้าจะได้ไม่ต้องกังวลว่าพี่ใหญ่จะทำไม่ดีกับท่านแม่ที่แก่เฒ่าไป”
“เจ้าทำดีแล้วซือเอ๋อร์ พ่อดีใจที่เจ้าคิดได้”
“เช่นนั้นท่านพ่อจะอนุญาตให้ข้าไปรับสำรับที่เรือนพี่ใหญ่ด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เหตุใดจะไม่ได้เล่า” คหบดีหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปที่เรือนท้ายจวนพร้อมกับบุตรสาว
หมิงเลี่ยงรุ่ยคล้ายจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่ต้องเอ่ยเรียกว่าบิดามาพร้อมกับใคร ใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่แล้วยิ่งฉายชัดถึงความเย็นชา ห่างเหิน
“เลี่ยงรุ่ย เจ้าคงไม่ว่าใช่หรือไม่ ที่วันนี้น้องสาวเจ้าอยากมารับสำรับกับเจ้าด้วย”
“...” เขาไม่ตอบแต่จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย ยากจะหยั่งถึงอารมณ์ของเจ้าตัว
“ซือเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอยากบอกกล่าวพี่ชายไม่ใช่หรือ” สิ้นเสียงของบิดา สตรีที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังบิดาโผล่หน้ามาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากบอกคำที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าจะต้องจับตามองสตรีผู้นี้
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้ายังเล็กนัก อาจจะทำหลายสิ่งลงไปโดยไม่รู้ความ ข้าขอโทษเจ้าค่ะที่เคยกลั่นแกล้งท่าน ใส่ร้ายจนทำให้ท่านถูกท่านแม่ลงโทษ แต่หากท่านจะโกรธก็ให้โกรธข้าเพียงผู้เดียวอย่าได้โกรธเคืองท่านแม่ของข้าเลยนะเจ้าคะ” นางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะรีบเอ่ยคำที่หัดท่องมาทั้งคืน
‘ข้าลงทุนทำถึงเช่นนี้ ท่านก็ลดความโกรธแค้นที่มีต่อตระกูลหมิงลงบ้างเถิด สักเล็กน้อยก็ยังดี’
“เลี่ยงรุ่ยที่ผ่านมาน้องยังไร้เดียงสานัก จึงกระทำตนไม่เหมาะสมหลายอย่าง พ่อหวังว่าเจ้าจะพอลดโทสะที่น้องเคยทำไม่ดีเอาไว้ลงบ้าง” หมิงหลิวซีทราบดีว่าที่ผ่านมาบุตรสาวกระทำต่อบุตรชายเช่นไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยขอให้อีกฝ่ายให้อภัย ขอเพียงลดโทสะที่มีในใจลงบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี
อย่างไรในภายหน้าหากสิ้นบิดาเช่นตน เขาก็หวังว่าบุตรชายผู้นี้จะสามารถดูแลน้องสาวได้
“รับสำรับเถิดขอรับท่านพ่อ ข้าหิวแล้ว” หมิงเลี่ยงรุ่ยใช้วิธีหลีกเลี่ยงแทน นางมารผู้นี้กลั่นแกล้งและใส่ร้ายเขาจนถูกลงโทษมานานเกือบแปดปี เขาคงไม่สามารถคลายความระแวงเพียงแค่อีกฝ่ายเอ่ยคำว่า ‘ขอโทษ’ หรอก
อีกอย่างเขายังไม่วางใจหรอก สตรีที่ทำตัวร้ายกาจมานานเกือบแปดปี จู่ ๆ จะเปลี่ยนตนเองไปเป็นคนดีได้จริง ๆ หรือ ดังนั้นเขาจึงต้องคอยจับตามอง
“อืม” หมิงหลิวซีตอบรับ ก่อนจะหันไปมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจ แต่เอาเถิดเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง หากมันไม่ร้ายแรงเกินไป บิดาเช่นเขาก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“เจ้าไม่กินข้าวหรือ” หมิงเลี่ยงรุ่ยเอ่ยถามสตรีที่ยังคงยืนก้มหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบยากคาดเดาอารมณ์
“กินเจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เป็นห่วง” หมิงเจียวซือที่ควรจะสลดเมื่อคำขอโทษถูกเมิน กลับตอบรับด้วยรอยยิ้มแฝงความออดอ้อนให้พี่ชายต่างมารดา
[1] ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ที่เป็นผู้ชายและอายุน้อยกว่า
“เจ้าค่ะ” หลินถงตอบรับเสียงอ่อนพลางลอบดูสีหน้ามุ่งมั่นระคนโกรธเคืองของคุณหนู เหตุใดสาวใช้เช่นนางถึงได้รู้สึกว่าระหว่างคุณชายใหญ่กับคุณหนูรองมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ด้านหยวนลี่หมิงนั่งฟังรายงานของเพ่ยตงที่หลังจากส่งตะกร้าของบำรุงทั้งหมดแล้วก็ลอบจับตามองเรือนของหมิงเจียวซือ จึงได้เห็นว่านางนั่งกินน้ำแกงไก่และเกาลัดต้มน้ำตาลจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว “ดูเหมือนคุณหนูรองจะพร่องหยางจริง ๆ นะขอรับ” ถึงได้ตั้งอกตั้งใจกินของบำรุงที่คุณชายมอบให้ “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปที่โรงเตี๊ยมหมิ่นหวั่น เพื่อซื้อข้าวอบแปดเซียน หัวสิงโตน้ำแดงให้นาง” “โรงเตี๊ยมหมิ่นหวั่นที่อยู่เมืองหานใช่หรือไม่ขอรับ” เมืองหานอยู่ห่างจากเมือ
11 ล่อลวงสตรีด้วยของกิน ทันทีที่กลับถึงจวน หมิงเจียวซือรีบสั่งให้สาวใช้คนสนิทเล่าถึงเรื่องราวที่ไปสืบมา “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” “ตระกูลหยวนเป็นตระกูลของอดีตเจ้ากรมอาญาหยวนเกาเจ้า
‘ไหนท่านบอกเพื่อความปลอดภัยของข้า ไม่ให้เอ่ยถึงตระกูลหยวน’ แล้วนี่อันใด คิดจะพานางไปด้วย “ว่าอย่างไร จะไปกับข้าหรือไม่” คราวนี้เขาไม่ได้รั้งตัวนางเข้าไปใกล้ แต่เป็นเขาที่เปลี่ยนมาคุกเข่าในท่ากึ่งคลานแล้วยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้นาง “แต่ข้าอาจจะไม่ว่างเจ้าค่ะ” “ยามค่ำคืนเจ้าจะไม่ว่างได้อย่างไร” “ข้า...ข้าอาจจะไปเที่ยวเทศกาลหยวนเซียวกับบุรุษที่ข้าพึงใจเจ้าค่ะ” “ไปกับข้าก่อน เมื่อกราบไหว้ตระกูลหยวนเสร็จสิ้น ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียวเอง” “แต่ข้าอยากไปกับบุรุษที่พึง...” นางยังกล่าวไม่ทันจบ
นางปรายตามองอีกฝ่ายอย่างจนใจก่อนจะเดินเข้าห้องของตนเอง ผ่านไปราวสองเค่อ นางก็ยังพลิกตัวไปมาบนเตียงเพราะนอนไม่หลับ สุดท้ายจึงตัดสินใจลงจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้าเรือน ‘สุดท้ายข้าก็ใจอ่อนจนได้’ นางทอดถอนใจกับตัวเอง “ข้าไปดูคุณชายของเจ้าก็ได้ เสียงลมหายใจของเจ้าดังรบกวนข้าจนนอนไม่หลับ” หมิงเจียวซือยกมือกอดอกก่อนจะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยคล้ายรำคาญจริง ๆ “ขอบคุณขอรับคุณหนูรอง แม้ยามปกติท่านจะปากร้ายแต่แท้จริงท่านเป็นสตรีที่จิตใจดีงามมากขอรับ” “เจ้าหลอกด่าข้า ข้าเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว” นางทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าเรือน 
“หนีเร็วเช่นนี้ คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ สตรีร้ายกาจ” ล่อลวงเขาแล้วคิดจะชิ่งหนี มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก ด้านหมิงเจียวซือรีบวิ่งกลับเรือนของตนอย่างรวดเร็ว ลืมสิ้นความหวาดกลัวในความมืด คล้ายกลัวว่าสิ่งชั่วร้ายจะไล่ตามมา ‘นี่มันเรื่องอันใดกัน ข้าควรจะตกใจเรื่องใดก่อน’ ทั้งเรื่องที่หมิงเลี่ยงรุ่ยหาใช่พี่ชายร่วมสายเลือดของนางไม่ เขาไม่ใช่บุตรชายของบิดาตามที่กล่าวอ้าง เขาเป็นเพียงบุตรชายของสหาย ไหนจะเรื่องที่เขาเป็นคนตระกูลหยวนซึ่งถูกฆ่าล้างตระกูลในอดีต ชาติก่อนนางไม่เคยได้รู้เรื่องนี้ หากนางไม่คิดกลั่นแกล้งเขา นางก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปใกล้ เมื่อถึงเรือนนางก็รีบเข้าห้องของตนในทันที มือเรียวถอดอาภรณ์ตัวนอกออกอย่างรีบร้อ
10 อยากเป็นสามีหาใช่พี่ชาย “จะรีบไปไหน” สิ้นเสียงเขารวบเอวคอดกิ่วของสตรีที่กำลังจะปีนข้ามตัวเขาเพื่อลงจากเตียงเอาไว้ ก่อนจะกดนางลงนอนส่วนตัวเองก็พลิกกลับขึ้นไปอยู่ด้านบน “พะ พี่ใหญ่” “เจ้าน่าจะได้ยินชัดเจนแ