ณ โรงพยาบาลโยธินนารัตน์
รถหรูแล่นเข้ามาจอดยังหน้าตึกผู้บริหารของทางโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งนี้ ชายหนุ่มรูปงาม ใบหน้าฟ้าประทานมาดุจเทพในนิยาย แต่งองค์ทรงเครื่อง สวมเพียงแค่เสื้อยืดธรรมดาสีขาวสะอาดตา ทับกับกางเกงยีนส์พอดีตัวสีนิล กับรองเท้าผ้าใบสีเดียวกันกับเสื้อ พร้อมทั้งแว่นกันแดด และหมวกแก๊ปสวมทับศรีษะอีกทีเพื่ออำพรางใบหน้าอันหล่อเหล่าไว้เพียงเล็กน้อย เท้ายาวก้าวลงมาจากรถหรูคันดังกล่าว แล้วเดินเข้าไปภายในตึก ตรงดิ่งไปยังลิฟต์ทันที
“เอ่อ...คือเข้าไม่ได้น่ะครับ ที่นี่ใช้เฉพาะผู้บริหารเท่านั้น” ลุงชิต รปภ.(เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย) ภายในตึกเดินเข้ามาถาม แล้วเอ่ยขึ้นห้ามทันที ที่เห็นชายหนุ่มเดินเข้ามายังลิฟต์
“แล้วถ้าผมบอกว่า...ผมคือลูกชายของผู้บริหารที่นี่ล่ะครับ” ชายหนุ่มคนดังกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง พร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ล้วงกระเป๋ากางเกง
“แต่งตัวแบบนี้เหรอ คือของลูกชายท่านผู้บริหาร...นี้เล่นขายของกันอยู่หรือเปล่าครับคุณ” ลุงชิตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยาม พร้อมกับมองสำรวจร่างสูงตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน...ทีม!” เสียงดังเข้มของ ‘ศาสตราจารย์นายแพทย์นฤบดินทร์ อัครโยธินนารัตน์’ อาจารย์หมอ หรือ หมอโปรดที่ทุกคนรู้จัก ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารของโรงพยาบาลแห่งนี้นั้นเอง
“อาจารย์หมอ!...เอ่อ...รู้จักผู้ชายคนนี้ด้วยเหรอครับ” ลุงชิตเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเปลี่ยนไป และแปลกใจที่หมอโปรดเรียกชื่อของชายหนุ่มตรงหน้า
“อ่อครับ...น้องทีมลูกชายผมเองครับ พึ่งจะกลับมาจากต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ก่อน เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะเข้ามาทำงาน และบริหารงานที่นี่แหล่ะครับ” หมอโปรดพยักหน้ารับ และแนะนำกับลุงชิตซึ่งเป็น รปภ. เข้ามาทำงานที่นี่ได้ 5 ปีแล้ว
“คือ...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนน่ะครับ เชิญคุณหมอตามสบายเลย ขอโทษคุณทีมด้วยน่ะครับ” ลุงชิตชายสูงวัยตาลุกวาวขึ้นมาทันที ที่ได้ยินคำว่าลูกชาย แล้วจึงขอตัวเดินออกไปทันที
“ทีม...ทำไมแต่งตัวแบบนี้ เข้ามาที่นี่” หมอโปรดหันไปดุลูกชายเพียงน้อย แล้วถามถึงที่มา ที่เห้นลูกชายแต่งตัวลุคเพลย์บอยสบายขนาดนี้มาที่นี่
ทีม หรือ ‘นายแพทย์ทินกร อัครโยธินนารัตน์’ ศัลยแพทย์เอกด้านออร์โธปิดิกส์(Orthopedics) หรือเรียกง่ายๆว่า หมอกระดูกและข้อ แพทย์หนุ่มวัยเพียง 27 ปี ซึ่งเป็นลูกชายบุญธรรมของผู้บริหารโรงพยาบาลแห่งนี้ กับ ปิ่นลดา ซึ่งเรียงตามบรรดาศักดิ์ ก็คือ พี่น้องในสายเลือดตามกันมา แต่ต่างมารดาเท่านั้น ซึ่งมีอายุห่างกันตั้ง 15 ปี หรือเรียกง่ายๆว่า พี่น้องต่างแม่นั้นเอง ทั้งคู่เป็นลูกกำพร้าพ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่ตั้งแต่ยังเด็ก จึงได้หมอโปรดในตอนนั้นรับเลี้ยงดูและอุปการะส่งเสีย และต่อมาพี่สาวต่างแม่แต่งงานกันกับหมอโปรด แล้วรับชายหนุ่มมาเป็นลูกบุญธรรม แล้วมาใช้นามสกุลของ อัครโยธินนารัตน์ มาถึงทุกวันนี้
“สวัสดีครับพ่อโปรด...พอดีโดนแม่ปิ่นยึดกุญแจห้องกับคีย์การ์ดคอนโดไว้ครับ ยังดีหน่อยที่ไม่ยึดกุญแจรถไว้ด้วย” ทินกรยกมือไหว้ทำความเคารพพ่อ แล้วเอ่ยบอกเหตุผล ด้วยท่าทางที่รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“เที่ยวดึกสิท่า...เลยถูกทำโทษ จึงถ่อมาหาพ่อถึงที่นี่” หมอโปรดเค้นหัวเราะในลำคอ แล้วยืนกอดออกถามต่อ
“พ่อโปรดครับ...ทีมเป็นผู้ชายน่ะครับ ก็ต้องมีความต้องการเป็นเรื่องธรรมดา” ทินกรเอ่ยตอบ พร้อมกับเดินตามหมอโปรดเข้าไปในลิฟต์
“เป็นผู้ชายก็ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ ที่อยากทำน่ะ...ทีมก็รู้ว่าแม่เขาไม่ชอบเรื่องพวกนี้” เสียงเข้มของหมอโปรดพูดขึ้นมาตลอดทางขณะที่เดินไปด้วยจนถึง และเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว
“แต่ทีมป้องกันอย่างดีเลยน่ะครับพ่อโปรด...”
“อย่าให้รู้น่ะว่าแอบ...ไปไข่ไว้ที่ไหน ไม่งั้นพ่อจะตัดหางปล่อยวัดเลย” หมอโปรดจ้องหน้าอย่างคาดโทษเอาไว้ เมื่อเข้ามาถึงภายในห้อง
“ผมไม่เคยสดน่ะครับพ่อ...นอกเสียจาก เอ่อ ครั้ง...แรก” ทินกรเอ่ยขึ้นมาอย่างรังเรเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองพ่อ เพื่อดูปฏิกิริยาต่อ
“พ่อล่ะอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นจริงๆเลย...อะไรทำให้แม่หนูคนนั้น หน้ามืดตามัวมาได้ครั้งแรกของลูกชายพ่อไป” หมอโปรดพูดขึ้นมา พร้อมกับสำรวจดูทินกร แล้วพูดเชิงตัดเพ้อใส่บ้างเพียงเล็กน้อย
“พ่อหยุดพูดเถอะครับ...ตอนนั้นผมเมามาก จนหักห้ามใจตัวเองไม่ เลยเผลอทำไม่ดีกับน้องเขาไป ดีน่ะที่ไม่โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ไป” ทินกรพูดด้วยอย่างรู้สึกทุกครั้งที่พูดถึงหญิงสาวคนนั้น
“พ่อถามจริงเถอะ...แม่สาวน้อยคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมไม่ยอมบอกพ่อ เผื่อพ่อจะช่วยตามหาเธอให้อีกแรง นี่ก็ผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้ว” หมอโปรดที่รับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะชายหนุ่มไปเรียนที่ต่างประเทศ 7 ปี แต่เรื่องเกิดเมื่อ 5 ปีหลัง ตอนชายหนุ่มกลับมาพักผ่อนที่บ้าน และพยายามถามทินกรอยู่ตลอดเวลา ในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา แค่ทินกรก็ไม่ยอมปริปากบอกเลยว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร
“ทีมขอเก็บไว้ในความทรงจำดีกว่าครับ...ถึงจะเมาแต่ก็พอมีสติกันทั้งคู่น่ะ แถมทำให้ทีมมีความสุขมากเลย” ทินกรเอ่ยบอกด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าขึ้นมา
“ทีมมีอะไรกัน โดยไม่ป้องกัน ลูกไม่คิดบ้างเหรอว่าเธอจะท้องหรือเปล่า” หมอโปรดถามลูกชายขึ้นมาในข้อข้องใจ เพราะหญิงสาวยังเด็กมาก อาจจะยังไม่รู้จักวิธีป้องกัน เพราะทินกรบอกว่าสาวน้อยคนนั้น อายุเท่ากันกับลูกสาวเขา ซึ่งก็คือ ตอนนั้นหญิงสาวมีอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น ที่ทินกรไปพรากความบริสุทธิ์ *ไม่สิต้องต่างคนต่างพรากความบริสุทธิ์ของกันและกันสิถึงจะถูก*
“เธอคงไม่ท้องหรอกครับพ่อโปรด...เธอหนีหายจากผมไปตั้ง 5 ปีแล้วน่ะ หากเกิดเธอท้องขึ้นมาจริงๆ เธอคงจะติดต่อผมมาบ้างสิ แต่นี้ดันหายเงียบไปเลย” ทินกรเอ่ยตอบออกมาอย่างมั่นใจ เพราะหากเกิดหญิงสาวคนนั้นท้องขึ้นมาจริงๆ จะมีผู้หญิงคนไหน ที่จะยอมอุ้มท้องเลี้ยงลูกคนเดียวในวัยเพียงแค่นั้น ทินกรคิดแบบนี้เสมอมา
“แล้วตอนนี้...ลูกมีความรู้สึกยังไง” หมอโปรดมองหน้าลูกชายแล้วถามต่อ
“...” ทินกรได้แต่เงียบ เมื่อเจอเข้ากับคำถามนี้ เพราะเขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง และไม่รู้จะตอบพ่อไปแบบไหนเหมือนกัน
“แล้วที่ออกไปเที่ยวทุกคืนล่ะตั้งแต่กลับ...คือยังไงไม่ได้ไปติดสาวทางอื่นอยู่หรอกเหรอ” หมอโปรดเอ่ยถาม เพราะเห็นลูกชายออกไปเที่ยวทุกคืน เพราะคิดมาตลอดว่าทินกรกำลังติดสาวอยู่
“ไม่มีสาวๆ อะไรทั้งนั้นแหล่ะ ทีมแค่อยากลืมเธอครับ...” ทินกรเอ่ยบอก พร้อมกับหลบสายตาไปทางอื่น
“แล้วลืมได้ไหม...” หมอโปรดถามขึ้นมาต่อ
“หน้าเธอลอยมาทุกครั้งที่ทีมทำเรื่องอย่างว่าเลยครับ...” ทินกรเอ่ยบอกไปตามตรง เพราะเขาฝืนใจทุกครั้งที่พยายามปลดปล่อย แต่หน้าหญิงสาวเมื่อ 5 ปี ก็ยังวนเวียนอยู่ในใจเขามาตลอด
“นี้ก็ถือว่าเป็นรักแรกเลยหรือเปล่าน่ะ...” หมอโปรดเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“...”
“ถ้าอย่างนั้นทำไม...ไม่ลองเปิดใจให้สาวๆดูบ้างล่ะ เผื่อจะลืมแม่สาวน้อยคนนั้น”
“ไม่ดีกว่าครับ...”
บทพิสูจน์ทั้งสามยังคงนั่งดื่มกันอยู่ที่เดิม พร้อมกับพูดคุยกันอยู่ที่เดิม และเหมือนฝันหญิงสาว เพียงคนเดียวที่อยู่ภายในห้อง ยังคงเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เอาแต่คอยชงเหล้าให้กับสามีของเธอ“กูหมายถึง พิพิมมาฝึกงานที่โรงพยาบาล ซึ่งกูเป็นคนดูแลอยู่ตอนนี้ แล้วเธอก็ยังเป็นนักศึกษาทุนของพ่อกูเอง แถมพักอยู่ที่คอนโดเดียวกันกับปั้นหยาอีกด้วย” ทินกรบอกออกไปตามความจริง เพราะเขาไม่คิดที่จะปิดบังเพื่อนอยู่แล้ว“แบบนี้ ยิ่งพิสูจน์ง่ายเลยเพื่อน ว่าน้องเขามีแฟนหรือไม่มี” คามินเริ่มคิดอะไรขึ้นมาออก พร้อมกับสายตาที่มีเล่ห์เหลี่ยม“แต่กูได้ยินเธอคุยโทรศัพท์ เรียกชื่อผู้ชายน่ะเว้ย” ทินกรพูดบอก เพราะเขาได้ยินเธอเรียกพี่เธอร์ แถมยังพูดครับ บอกคิดถึงอีก“แค่ได้ยิน แล้วมึงเห็นกับตาหรือยัง” คามินสาดคำถามกลับทันที“ยัง กูแค่ไปส่งเธอที่คอนโด ไม่ได้ขึ้นไป เพราะกลัวจะเห็นอะไรไม่ดีเข้า เผลอๆเธออาจจะอยู่กับแฟนก็ได้ใครจะไปรู้” ทินกรเอ่ยบอกออกไปตามตรง ตามที่เขาคิด“ถ้ากูแนะนำวิธีที่กูคิดไว้ มึงจะทำตามที่กูบอกไหมเพื่อน” คามินเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามทินกรกลับไปอย่างอยากรู้คำตอบทันที“วิธีอะไรของมึง” ทินกรหน้
ความเจ็บปวดที่ได้รับกลับมาที่ปัจจุบัน“โดนขนาดนั้น...ทำไมถึงลุกหนีพี่ไปได้อีก” เสียงนุ่มเอ่ยถาม พร้อมกับจ้องมองหน้าอย่างต้องการคำตอบ“...” หญิงสาวไม่ตอบอะไรออกมา ได้แต่ก้มหน้าหนี ไม่กล้าสบตากับหมอหนุ่ม“รู้ไหมว่าพี่รู้สึกยังไง...ตอนตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอพิม พี่รู้สึกว่าตัวเองโดนฟันแล้วถูกทิ้งยังไงก็ไม่รู้” เสียงนุ่มพูดออกมาอีกครั้ง“นี้พี่จำได้ทุกอย่างเลยจริงเหรอ...” หญิงสาวถามขึ้น เพราะเธอยังสงสัยว่า เขาเมา แต่ทำไมเขาจำทุกอย่างได้หมดเลย“พี่ก็บอกแล้วไง...ว่าหายเมาแล้ว ตอนเสียบแล้วเจ็บนั้นแหล่ะ” หมอหนุ่มย้ำคำพูดออกมาอีกครั้ง และกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาวในประโยคหลัง“พี่ทีม...ถอยออกไปเลยน่ะ” หญิงสาวตาลุกวาว แล้วรีบดันร่างสูงออกห่างจากตัวเธอตอนนี้ เพราะเธอเริ่มหน้าแดงขึ้นมา เมื่อหมอหนุ่มพูดถึงเรื่องนี้ออกมาอย่างไม่อาย“แค่รหัสเข้าห้องก็พอจะทำให้พิมรู้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว ใช่ไหม” ร่างสูงไม่พูดเปล่า รีบจับร่างของหญิงสาวให้นอนราบไปกับที่นอนทันที“ว้าย...พี่จะทำอะไร” หญิงสาวที่ตกใจ อยู่ตอนนี้ร้องออกมาทันที เมื่อร่างสูงขึ้นมาคร่อมเธอเอาไว้“เรามาทบทวนความหลังหน่อยไหม...” ร่างสูงจ้องมองด้วยแววตา
อดีตและความทรงจำที่ดี NCย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน 14/02/2019ณ โรงเรียนมัธยมของเอกชน“พิม...” เสียงเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว เมือเห็นว่าหญิงสาวเดินออกมาด้านนอกเพื่อที่จะกลับบ้านไปฉลองวันจบการศึกษาพอดีและวันนี้ ก็เป็นวันที่ชายหนุ่มพึ่งจะกลับมาจากต่างประเทศ หลังจากที่พ่อส่งตัวให้ไปเรียนแพทย์เฉพาะทาง แต่วันนี้เจ้าแอบบินกลับมาเพื่อที่จะมาแสดงความยินดีกับหญิงสาวแทน“พี่ทีม...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ” หญิงสาวถามขึ้นอย่างดีใจที่ได้เห็นชายหนุ่ม“พี่พึ่งจะลงจากเครื่องมา...ก็แวะมารับเรานี้แหล่ะ ไปกันได้แล้ว ทุกคนรออยู่ที่ร้านแล้ว” เสียงนุ่มเอ่ยบอก“...” หญิงสาวไม่รอช้ารีบขึ้นรถของชายหนุ่มไปทันที“อยากกินไร...วันนี้ป๋าเลี้ยงไม่อั้น” เสียงนุ่มเอ่ยบอกเมื่อเข้ามาถึงที่ร้าน“วันนี้พิมจะกินให้พุงกาง...อ้วนเป็นหมูไปเลย” พิพิมพูดขึ้นมา พร้อมกับทำตาลุกว่าเมื่อเห็นอาหารตรงหน้าที่มาเสิร์ฟเมื่อภาคินน้องชายของพิพิมขอตัวกลับไปก่อน เพราะไม่ค่อยชอบทานอะไรพวกนี้ แต่ที่จริงแล้วคือข้ออ้างอีกตาม คงจะแอบหนีไปเล่นเกมตามประสาผู้ชายนั้นแหล่ะส่วนปั้นหยา ก็นัดฉลองกันกับเพื่อนในชั้นเรียนต่อ จึงทิ้งให้พิพิมอยู่กับพี่ชายของเธอแ
วันแห่งความทรงจำที่ดีพิพิมรีบคว้าเอาแฟ้มไปอย่างเร่งรีบ แล้วเดินตามทินกรออกไปทันที ทั้งกึ่งวิ่งกึ่งเดิน เพื่อให้ทันกับหมอหนุ่ม ที่ก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าลิฟต์แล้ว ต่างกับเธอที่ทั้งก้าวเท้าสับๆ แทบไม่ทัน“...” หญิงสาวได้แต่หอบเหนื่อย เมื่อเข้ามาภายในลิฟต์ และมีอาการเท้าสั่นเพียงเล็กน้อย เพราะรีบตามทินกรมากไปหน่อยมือหน้าของหมอหนุ่มยื่นออกไปคว้า เอาแฟ้มที่พิพิมกอดไว้แนบอกกลับมาเป็นฝ่ายถือเสียเอง เพราะเห็นหญิงสาวมัวแต่ยืนหอบอยู่ติ๊ง!เมื่อลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงยังชั้นเป้าหมาย พิพิมได้แต่ยืนนิ่งและไม่ยอมก้าวขาออกจากลิฟต์ ตามร่างสูงไป เพราะตอนนี้ขาเกิดเป็นตะคริวขึ้นมาเสียดื้อๆ จึงได้แต่ยืนนิ่งๆ เพื่อเก็บอาการเอาไว้ และไม่กล้าที่จะขยับเพราะกลัวจะล้มเอาทางด้านหมอหนุ่ม เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ยอมก้าวออกมาจากลิฟต์ จึงได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินกลับเข้าไปที่ลิฟต์คืน และไม่พูดอะไรอุ้มหญิงสาวขึ้นมาในท่าเจ้าสาวทันที เขาก็พอจะทราบอยู่บ้างว่าหญิงสาวเป็นอะไร หากให้เดาถ้ารองเท้าไม่กัด ก็คงจะเหน็บชาที่ขา“หึ...ยังเป็นเหมือนเดิมเลยน่ะ นิสัยไม่เคยเปลี่ยน” หมอหนุ่มเค้นหัวเราะออกมา พร้อมกับส่ายหน้าเ
ถูกกลั่นแกล้งพิพิมที่ได้เวลาพักกลางวัน หญิงสาวก็เดินมายังโรงอาหารของทางโรงพยาบาล เพื่อที่จะได้หาอะทานเหมือนบุคลากรท่านอื่นๆ ขณะที่เธอเดินเข้ายังโรงอาหาร ก็มีทุกสายตาจ้องมองมาที่เธอตั้งมากมาย จนเธอต้องทนฝืนเดินไปสั่งอาหาร“ใช้บัตรนี้ครับ” เสียงเข้มของหมอหนุ่มเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นบัตรที่ใช้สำหรับใช้ในการสั่งอาหารของรงพยาบาลแห่งนี้ เพราะเมื่อเขาเดินตามหญิงสาวมาตั้งแต่แรก จึงมั่นใจแล้วว่า เธอไม่มีบัตรแน่นอน เพราะเธอพึ่งจะมาที่นี่เป็นวันแรก จึงใช้บัตรเขาแทนและรับจานข้าวของหญิงสาวมา“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวมองหน้าร่างสูง แล้วรับจานข้าวกลับมาจากมือของหมอหนุ่มที่ยื่นมาให้ แล้วก็เดินออกหาที่นั่งทานแบบเงียบๆทินกรเมื่อเห็นหญิงสาวเดินออกไปแล้ว จึงได้เดินไปสั่งน้ำมาให้แก่หญิงสาว เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ได้น้ำดื่ม แล้วร่างสูงก็เดินไปหาหญิงสาว ที่นั่งทานข้าวเงียบๆทันที“เดี๋ยวค่ะ...จะพาพิมไปไหน” หญิงสาวเอ่ยถาม แล้วทหน้าอย่างไม่เข้าใจทันที ที่จู่ๆ ทินกรก็มาคว้ามือของเธอแล้วพาเดินออกไป“...” ชายหนุ่มไม่พูดอะไรตอบ แต่กลับจูงมือของหญิงสาวให้เดินตามเขาไป“จะพาพิมไปไหนค่ะ พิมยังทานข้าวไม่เสร็จเลยน่ะ” หญิ
เผชิญหน้า“พิพิม!...”“...” หญิงสาวตาค้างทันที ที่ได้เจอกับชายหนุ่มอีกครั้ง ยืนตัวแข็งจนทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน“นี้ ทำหน้าตกใจกัน อย่าบอกน่ะว่า...ไม่เคยติดต่อกันเลย...” หมอโปรดถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองต่างตกใจ ที่ได้เจอหน้ากันและกัน“...” ทินกรได้แต่พยักหน้ารับ และจ้องมองไปที่ใบหน้าหวานของพิพิม อย่างไม่อยากล่ะสายตาเลยแม้แต่น้อย และมีคำถามในใจอยู่มากมายที่อยากจะถาม“ถ้าอย่างนั่น...ก็คุยกันไปน่ะ เดี๋ยวลุงจะออกไปหาอะไรดื่มข้างนอกเสียหน่อย” หมอโปรดพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ต่างอยากมีคำถามต่อกัน“หายไปไหนมาตั้ง 5 ปี” ทินกรยิงคำถามใส่ทันที เมื่ออยู่กันตามลำพัง และเห็นว่าพ่อเดินออกไปจากห้องนี้แล้ว“พะ พิมก็ไปเรียนต่อยังไงล่ะค่ะ...” พิพิมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก กล้าๆกลัวๆ และไม่กล้าสบตากับชายหนุ่มตรงหน้า“แค่เรียนเหรอ...” เสียงนุ่มของทินกรเอ่ยถาม แล้วย่างก้าวเข้าไปใกลๆหาหญิงสาวทันที“...” พิพิมถอยออกห่างเล็กน้อย และไม่ได้เอ่ยตอบอะไร แถมยังหลบสายตาของร่างสูงตรงหน้าอีก เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายจากตรงไหนก่อน“แล้วทำไม...ไม่ส่งข่าวใครๆบ้างเลย เล่นหายไปดื้อๆแ