สองร่างอันเปลือยเปล่าที่ยังคงนอนหลับสนิทบนผืนที่นอนกว้าง อยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมอันกว้างขวาง สีขาวสะอาดตา ทินกรต่อสายหาน้องสาวทันที ที่ลืมตื่นขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองใบหน้าหวานของหญิงสาวในอ้อมกอดที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้สึกตัวอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะความเหน็ดเหนื่อย
“พิมเข้ามาอยู่กับพี่ขนาดนี้แล้ว...พี่ไม่ยอมปล่อยพิมไปไหนอีกแล้ว” เสียงพูดขึ้นมาเบาๆ คนเดียว พร้อมกับมือที่ลูบแก้มนวลของหญิงสาว แล้วจ้องมองใบหน้ารูปไข่ที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้สึกตัวใดๆ
อ๊อด อ๊อด อ๊อด
ร่างสูงจึงยอมลุกขึ้นมาจากที่นอน แล้วเดินไปหยิบผ้ามาคลุมตัวเองไว้ ซึ่งก็คือสวมเพียงเสื้อคลุมเดินออกจากห้องนอนไป เพราะเสียงกดออดที่หน้าห้องดังขึ้นมา
“เอาไปเลยค่ะ...มีเรื่องเดียวสิน่ะ ที่ยอมให้น้องมาหาถึงที่นี่ได้” เสียงบ่นขึ้นมาทันที เมื่อร่างสูงเปิดประตู พร้อมกับยื่นของที่พี่ชายสั่ง ให้ตรงหน้าทันที
“มาถึงก็บ่นเลยน่ะ ตัวแสบ...แล้วนี่เด็กที่ไหนกัน” ทินกรพูดให้กับน้องสาวทันที ที่เดินเข้ามาภายในห้อง แล้วก็ต้องเลิกคิ้วมองอย่างงุนงง เมื่อหนุ่มน้อยเดินจูงมือมากับน้องสาวเธอด้วย
“เอ่อ...นี้เหรอ ลูกเพื่อนของหยาเอง พอดีแม่เขายุ่งๆ เลยฝากหยาเลี้ยงให้น่ะ” ปั้นหยาบอกพี่ชายออกไป โดยไม่ได้เล่าให้พี่ชายฟังว่าเรื่องทั้งหมดคืออะไร
“อะไรนะ...ลูกเพื่อน!” ทินกรพูดขึ้นอย่างตกใจ พร้อมกับจ้องมองน้องสาวอย่างต้องการคำอธิบาย
“ค่ะ...พี่มีอะไรข้องใจเหรอคะ” ปั้นหยาพยักหน้ารับ แล้วถามพี่ชายกลับไปทันที เมื่อพี่ชายเหมือนมีอะไรมากมายที่อยากจะถามเธอ
“พี่แค่แปลกใจ...ปกติเราเป็นคนที่ไม่ชอบเด็ก ไม่ใช่เหรอ ทำไม่ถึงอาสาเลี้ยงลูกคนอื่นได้” ทินการถามขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะปกติแล้วเขาก็ทราบว่าน้องสาวเป็นคนเช่นไร
“อาจจะเป็นเพราะอาเธอร์...ไม่เหมือนใครมั้งค่ะ” ปั้นหยาตอบกลับมา พร้อมกับมองสบตากับหนุ่มน้อยแล้วส่งยิ้มให้กัน
“อาเธอร์...” ทินกรเลิกคิ้วถามขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อนี้ออกมา
“อ้อ...ลืมไปเลย พี่เธอร์ครับ คนนี้ลุงทีมนะ เป็นพี่ชายหยาหยาเอง สวัสดีลุงทีมก่อนสิครับ” เมื่อพึ่งจะนึกขึ้นได้ ปั้นหยารีบหันไปบอกกับอาเธอร์ แล้วบอกให้ทำความเคารพกับพี่ชายของเธอ
“สวัสดีครับ...ลุงทีม” เสียงเล็กพูดขึ้น มากับท่าทางน้อบน้อมที่ยกมือทำความเคารพ ตามที่ปั้นหยาแนะนำ
“สวัสดีครับสุดหล่อ...อายุเท่าไหร่แล้วครับ พูดเก่งเชียว” ทินกรเอ่ยรับเสียงนุ่ม พร้อมกับจ้องมองใบหน้าหนุ่มน้อยอย่างถูกชะตา แล้วถามกลับ
“พี่เธอร์อายุ 4 ขวบแล้วครับ” เสียงเล็กเอ่ยบอก โดยไม่รู้สึกเคอะเขิน หรืออายใดๆ แถมยังกล้าพูดกล้าทำอีก
“ชื่ออาเธอร์ แล้วทำไมถึงชอบให้คนเรียกพี่เธอร์ละ” ทินกรจ้องมองมาที่อาเธอร์อย่างเป็นมิตรพร้อมกับถามขึ้นอย่างสงสัย
“เพราะพี่เธอร์เป็นผู้ชาย จะได้ปกป้องแม่จ๋าจากคนใจร้ายครับ” หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“แม่จ๋า...แล้วแม่จ๋าของพี่เธอร์เป็นใครกันครับ” ทินกรถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำว่าแม่จ๋า เพราะพิพิมก็เรียก แม่ของเธอว่า แม่จ๋าเหมือนกัน *คงไม่หรอกมั้ง แค่เรียกบังเอิญเท่านั้นแหละ*
“พี่ชายคะ...สรุปแล้วคนในห้อง จะไม่ยอมบอกน้องจริงๆเหรอค่ะ ว่าเป็นสาวที่ไหนกัน” ปั้นหยาขัดขึ้นมาเสียก่อน เมื่อเห็นพี่ชายเริ่มสาวความยาว
“เรื่องของพี่ครับคุณน้อง” ทินกรเอ่ยตอบปั้นหยาไปแบบทำหน้าตาเฉย โดยไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย
“เชอะ...อย่าให้หยาต้องได้สืบเองน่ะ” ปั้นหยาพูดขึ้นมาใส่พี่ชายทันที อย่างเหมือนกับว่าจะเอาจริง แล้วลุกขึ้นยืน
“เออน่า ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เองแหล่ะ” ทินกรเอ่ยตอบ พร้อมกับพยายามบอกน้องสาวให้ใจเย็นลง
“เป็นสาวน้อยที่ไหนน่า จริงจังเหรอ” ปั้นหยามือใส่เอวถามพี่ชายขึ้นมาอย่างจริงจัง
“แล้วเคยเห็นพี่พาใครมาที่คอนโดไหมล่ะ” ทินกรถามพูดขึ้นมา เพราะเคยบอกกับครอบครัวไว้ว่า หากผู้หญิงที่เขาไม่คิดที่จะสร้างอนาคตด้วย จะไม่ยอมพามาที่คอนโดส่วนตัวอันเด็ดขาด
“สาวที่จะเข้าคอนโดพี่ได้ ก็มีแค่แม่ปิ่นกับหยานี้แหล่ะ แล้วก็น้องสาวสุดที่รักของพี่ชายอีกคน พิพิม” ปั้นหยาพูดขึ้น
“ก็รู้อยู่แล้วนี้” ทินกรทำสีหน้าอ่อนลงทันที เมื่อน้องสาวเอ่ยชื่อ พิพิมขึ้นมา พร้อมกับเบนสายตามองไปทางอื่น และมือลูบคางขึ้นกลบ เพื่อเก็บอาการเอาไว้
“สรุปแล้วสาวที่อยู่ในห้องคือใคร ไหนพี่บอกจะไม่พาใครเข้ามาง่ายๆไง นอกเสียจากพี่สะใภ้หยาในอนาคต” ปั้นหยา เริ่มทำเสียงงอนพี่ชายขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับจ้องมองมาที่พี่ชายอย่างต้องการคำอธิบาย
“ก็...” ทินกรไม่รู้ว่าจะอธิบายออกไปแบบไหน เมื่อโดนเค้นเอาคำตอบขนาดนี้
“ในเมื่อพี่พาคนมาอยู่ด้วย นั้นแสดงว่าคนนี้ คือพี่สะใภ้หยาหรือค่ะ” ปั้นหยาจึงเป็นฝ่ายสรุปคำตอบเสียเองเลย ในเมื่อพี่ชายไม่กล้าตอบ
“...” ทินกรไม่กล้าตอบ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร และพยักหน้าให้กับน้องสาวเพียงเล็กน้อยเชิงเป็นคำตอบว่าใช่
“นั้นน้องขอไปดูหน่อยน่ะ” ปั้นหยากำลังจะก้าวเท้าออกไป
“นั่งลงครับ...คุณน้อง เอานี้ไปค่าชุดที่หิ้วมาให้ แล้วช่วยรูดซิปปากด้วยครับ ลงตัวเมื่อไหร่จะพาไปแนะนำกับที่บ้านเองน่ะ” เสียงเข้มของทินกรห้ามขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับยื่นแบล็คการ์ดให้แก่น้องสาวทันที เพื่อเป็นการปิดปากอีกที
“ก็ได้ค่ะ” ปั้นหยารับแบล็คการ์ดใบนั้นมาอย่างดีใจ พร้อมกับนั่งลงทันที
“อาเธอร์หิวไหมครับ” ทินกรหันมาถามอาเธอร์ที่นั่งอยู่เงียบๆ ที่โชฟา ด้วยน้ำเสียงมี่อ่อนโยน
“ไม่ครับ พี่เธอร์ไม่หิวเลย หยาหยาพากินติมมาแล้วครับ”
“พี่เธอร์ครับ...เรากลับกันดีกว่านะ วันนี้ลุงทีมเขามีงานที่ต้องทำเยอะเลย” ปั้นหยาจึงหันมาชวนอาเธอร์กลับทันที
“ครับ...”
“ไว้วันหลังอาเธอร์มาหาลุงใหม่นะครับ” ทินกรเอ่ยเสียงนุ่มบอกคนตรงหน้า
“ครับ สวัสดีครับ พี่เธอร์ไปแล้วน่ะครับ” หนุ่มน้อยพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ อย่างรู้ความ แบบไม่ต้องให้ใครสอนเลย
“ครับ” ทินกรขานรับ พร้อมกับเอื้อมมือไปโยกศรีษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดูในความน่ารัก ช่างพูดของเด็กคนนี้
“ไปครับ วันนี้หยาหยามีเงินเยอะ จะพาพี่เธอร์ไปฉลองกัน” ปั้นหยาเอื้อมมือไปให้อาเธอร์จับ พร้อมกับจ้องมองมาที่พี่ชาย ชูแบล็คการ์ดมาเยาะเย้ยทันที แล้วพากันออกจากห้องไป
ทินกรยิ้มส่ายหน้าเบาๆ ให้กับกวนของน้องสาวเขา แล้วหยิบชุดที่อยู่ในถุงแบรนด์ ที่ฝากน้องสาวหิ้วมา ซึ่งเป็นของปั้นหยาเอง และเมื่อหยิบขึ้นมา เป็นต้องตาเบิกกว้าวงทันที เมื่อเห็นแต่ละชุดที่น้องสาวเลือกมาให้
“ยัยตัวแสบ”
คนที่อยากเจอที่สุด“แม่ปิ่น...มาได้ยังไงกันคระ...อาคิม อาพาย เออ. สะ สวัสดีครับ” ทินกรเอ่ยขึ้นถามอย่างตกใจ เมื่อเปิดประตูเข้าไปที่ห้องพักฟื้นของอาเธอร์แต่เจอเข้ากับปิ่นลดา และต้องตกใจไปมากกว่านั้น เมื่อคนที่อยู่ภายในห้องมีทั้งคิมหันต์และพระพาย พ่อแม่ของพิพิมรวมอยู่ด้วย“พิพิม!” สองเสียงของคิมหันต์และพระพายเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันทันที เมื่อเจอหน้าของลูกสาวที่เดินเข้ามาตามหลังของทินกร“พ่อจ๋า แม่จ๋า” พิพิมวิ่งเข้าไปสวมกอดท่านทั้งสองทันที หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันนานนับ 5 ปี พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินดั่งสายน้ำ“พิพิมลูกพ่อ” คิมหันต์เอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับลูบไปที่ศรีษะของลูกสาวอย่างอ่อนโยน และแสนคิดถึงมานาน“พิมจ๋าของแม่จ๋าไปอยู่ที่ไหนมาคะลูก” พระพายถามขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ไหลออกมาอาบทั้งสองแก้ม“พิมขอโทษค่ะ พ่อจ๋าแม่จ๋า พิมขอโทษ” พิพิมได้แต่เอ่ยคำว่าขอโทษเท่านั้น พร้อมกับเสียงสะอื้น“พิมจ๋า” เสียงเล็กของอาเธอร์ดังขึ้นมาจากห้องข้างใน เอ่ยเรียกชื่อของพิพิม ทุกคนจึงหันไปมองเป็นทางเดียวกันและเป็นทินกรเองที่รีบเดินเข้าไปหาอาเธอร์ทันที พิพิมจึงเดินเข้าไปตามหลัง ให้ทุกคนนั่งรอกันอยู่ที่ด้
ความจริงปารกฏ“หนูพิม ทำไมอยู่ที่นี่” หมอโปรดถามขึ้นมา เมื่อเดินมาถึงที่ แล้วเห็นพิพิมยืนอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดด้วยกับลูกสาวเขา เพราะปั้นหยาแค่บอกว่าอาเธอร์เป็นลูกของเพื่อน แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเพื่อนคนไหน“พ่อโปรดรีบเข้าไปข้างในก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวก็รู้เรื่องทั้งหมดเอง” ปั้นหยารีบเอ่ยบอก เมื่อพ่อทำหน้าสงสัยอยู่ เพราะเธอก็พึ่งจะรู้เมื่อกี้นี้เองว่าอาเธอร์คือลูกของพิพิมกับพี่ชายเธอ“แค่เคสลูกเพื่อนน้องสาว กลับถึงขึ้นต้องโทรตามพ่อมาเลยเหรอ แถมยังให้เลือดเองด้วย” หมอโปรดพูดขึ้นมาทันที ที่ฌดินเข้าไปหาทินกร ที่นั่งให้เลือดอยู่อีกฝั่งหึ่งของห้องผ่าตัด“ลูกชายพิพิมครับ” ทินกรเอ่ยบอก โดยไม่ได้มองหน้าของพ่อ แต่กลับมองไปทางเด็กน้อยที่นอนรออยู่บนเตียง“อะไรน่ะ ลูกชายหนูพิม แล้วที่ให้เลือดนี้ ก็แสดงว่า...” หมอโปรดเลิกคิ้วขึ้นถาม อย่างตกใจ เมื่อรู้ว่าเด็กน้อยที่ปั้นหยาพามาคือลูกชายของพิพิม แล้วก็ต้องตกใจเมื่อนึกขึ้นมาได้ และมองไปยังลูกชายที่ยังอยู่ตรงนี้ อย่างต้องการคำตอบเพื่อความแน่ใจอีกที“ครับ” ทินกรตอบรับเพียงคำเดียว“แล้วทำไม ลูกไม่เป็นคนจัดการเองล่ะ” หมอโปรดถามลูกชายขึ้นมา“ทีมไม่กล้าครับ ก
เลือดเนื้อเชื้อไขช่วงสายของวันร่างสูงตื่นขึ้นมา พร้อมกับเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นมาไม่หยุด ทินกรลุกขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ มองดูหญิงสาวที่ยังคงหลับสนิท แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย“ครับพ่อโปรด ทีมจะรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้ครับ” ทินกรรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นพ่อโทรมา แล้วรีบลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรีบร้อน เดินทางออกไปยังโรงพยาบาลทันที เพราะพ่อโทรมาว่ามีเคสด่วน ปล่อยให้หญิงสาวได้พัก เขาจึงไม่ได้ปลุก แต่กลับสวมเสื้อเพียงตัวเดียวไว้ให้เธอโรงพยาบาลโยธินนารัตน์“มีเรื่องอะไรกันครับพ่อโปรด ตัวแสบทำไมอยู่ที่นี่” ทินกรรีบสวมเสื้อกาวน์อย่างรีบร้อน แล้วเดินออกมาถามพ่อที่อยู่ห้องทำงานทันที พร้อมกับต้องตกใจที่เห็นน้องสาวอยู่ที่นี่ด้วย“ทำไมมาเอาป่านนี้ หน้าตาดูไม่ได้เลย เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ” เสียงทุ้มของหมอโปรดถามขึ้นมาทันที ที่เห็นลูกชายพึ่งจะเข้ามาที่ห้องเอาป่านนี้“มีปัญหานิดหน่อยครับ เดี๋ยวทีมเล่าให้ฟังทีมหลังน่ะ แล้วหยามาที่นี่ได้ยังไง” ทินกรเอ่ยบอกพ่อ แล้วหันหน้าไปถามน้องสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย“อาเธอร์เกิดเรื่องค่ะ” ปั้นหยาเอ่ยบอกพี่ชาย และไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง“อาเธอร์เหรอ อ่อ...ตัวแส
โดนเล่นงานNCภายในงานยังคงดำเนินการไปจนถึงดึก ทินกรให้การต้อนรับแก่นายอพทย์คนใหม่เป็นอย่างดี แต่ระหว่างที่พูดคุยทักทายกันนั้น สายตาก็พยายามที่จะมองหาพิพิมอยู่ตลอดเวลา“หมอทีมมองหาใครหรือครับ” นพดล นายแพทย์คนใหม่ถามขึ้นมา เมื่อคุยอยู่กับเขาแต่สายตาของทินกรกลับเอาแต่มองหาใครบางคนอยู่ตลอดเวลา“เปล่าหรอกครับ...หมอนพดื่มได้เลยน่ะครับ พอดีผมขับรถมาเอง ดื่มไม่ได้ครับ” ทินกรตอบกลับไป และพยายามปฏิเสธรับเครื่องดื่มทุกชนิดที่ทุกคนยื่นให้“พยาบาลที่นี่...มีแต่สาวสวยๆกันทั้งนั้นเลยนะครับ แบบนี้พอจะมีคนไหนว่าง ที่พอจะเข้าตาผมบ้างไหม หรือว่าหมอทีมมีใครที่อยากจะแนะนำผมเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่าครับ” นพดลพูดแซวขึ้นมา พร้อมกับสายตาที่กวาดมองดูเหล่าบรรดาพยาบาลสาวสวยที่อยู่ภายในงานนี้“เรื่องนี้...ผมขอปฏิเสธก่อนเลยครับ” ทินกรพูดขึ้น พร้อมกับสายตาที่ไปสะดุดเข้ากับหญิงสาวรายหนึ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากพิพิม ที่กำลังเดินออกไปทางด้านนอก“...” นพดลไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่กลับยกเครื่องดื่มขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย พอให้เป็นพิธี“ผมขอตัวก่อนนะครับ...” ทินกรรีบขอตัวลาทันที เมื่อสายตาเห็นพิพิ
หมอคนใหม่วันนี้ทินกรกลับเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลแล้ว หลังจากที่พาพิพิมไปต่างจังหวัดมาสองวัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน เพราะพิพิมเอาแต่คอยหลบหน้า ส่วนเขาก็พยายามหาโอกาสที่จะอยู่กันตามลำพังกับหญิงสาวทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ว่าพิพิมก็ไม่ยอมเอาเพื่อนมาช่วยอ้างตลอด“เป็นยังไงบ้างทีม ไปต่างจังหวัดมา” หมอโปรดถามขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องคือทินกรนั้นเอง“เฮ้อ...เหมือนเดิมครับ พึ่งจะมารู้ ว่าการที่จะจีบเมียตัวเองนี้ยากเอาเรื่องอยู่เหมือนกันน่ะครับ” เสียงถอนหายใจยาวของทินกร เมื่อทิ้งตัวลงยังโชฟาตัวยาว พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างคนสิ้นหวัง“หึ...แค่นี้ก็หมดหวังแล้ว ไม่มีความอดทนเอาเสียเลย” หมอโปรดพูดแซวขึ้นมา พร้อมกับส่ายหน้าให้เพียงเล็กน้อย ที่ลูกชายไม่มีความอดทน หรือพยายามเอาเสียเลย“แล้วทีมต้องทำยังไงครับ ก็พิพิมไม่ยอมเปิดโอกาสให้ทีมเลย” ทินกรพูดขึ้น พร้อมกับหันหน้าไปขอความเห็นจากคนเป็นพ่อ“แล้วลองพยายามดูยัง” หมอโปรดถามขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองหน้านิ่ง“...” ทินกรได้แต่ส่ายหน้า แล้วก้มหน้าไม่พูดไม่จา อะไรใดๆตอบ“วันนี้ ตอนเย็นมีการจัดเลี้ยงต้อนรับหมอคนใหม่ข
ผู้บ่าวมู่(แฟนเพื่อน)ณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ภาคอีสาน)ทั้งคู่เดินทางมาถึงที่นี่ ท้องฟ้าก็เกือบจะสว่างแล้ว โดยที่ไม่ได้หยุดพัก หรือแวะกลางทางเลยแม้แต่น้อย เพราะพิพิมเป็นห่วงที่เพื่อนพึ่งจะต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไป“มีน...” พิพิมเอ่ยเรียกเพื่อนสาวขึ้นมาทันที ที่เดินทางมาถึงยังวัดตามที่อมีนาได้บอกเอาไว้“พิม...” อมีนาหันกลับไปตามเสียงเรียกของเพื่อนสาว แล้วโผล่เข้าสวมกอดพิพิม แล้วร้องไห้ออกมาทันที โดยไม่อายใครเลยแม้แต่น้อย“มีน...เข้มแข็งไว้เด้อ พ่อกับแม่เลาไปสบายแล้ว เฮาเสียใจนำเด้อ แล้วกะขอโทษนำเด้อที่มาบ่ทันเผา” (มีน...เข้มแข็งไว้นะ พ่อกับแม่ท่านไปสบายแล้ว เราเสียใจด้วยนะ แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่มาไม่ทันเผา) พิพิมเอ่ยปลอบเพื่อน พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนกัน“ขอบใจโตหลายๆเด้อพิม...แล้วนี้”(ขอบใจเธอมากไปน่ะพิม...แล้วนี้) อมีนาทำท่าทางงงขึ้นมาทันที เมื่อเห็นหนุ่มหล่อร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังของพิพิม เพื่อนของเธอ“อ่อ...อ้ายทีม เพิ้นขับรถมาส่งเฮา”(อ๋อ...พี่ทีม เขาขับรถมาส่งเรา) พิพิมเอ่ยบอกเพื่อนสาว แต่ไม่ได้บอกทั้งหมดว่าทินกรนั้นเป็นใคร“สวัสดีจ้า...ซื่อมีนเด้อจ้า เป็นมู่กับพิม”(สวัสดีค่ะ