เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2] เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป
'เยี่ยนเยี่ยน ตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้น หลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่อง
ซ่า
'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ
'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น'
'ยามใดแล้ว'
'ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอยหอยมาด้วย
ในวันนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นปกติดีเหลือแค่ไปตรวจเยี่ยมหนักโทษชั้นดีเสียหน่อย
'เอามีดมาหรือเปล่า' มีดจันทราปลายด้ามถูกฝังอัญมณีสีม่วงปลายดาบโค้งงอคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว หลิงหลิวเหว่ยยื่นสิ่งนี้ให้แก่จอมมารพร้อมกับแก้วทรงสูงสีทองอร่าม
'อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ฮึก ฮึก' จอมมารแสยะยิ้มไม่กล่าวคำใดให้มากความหยิบมีดจันทราปักลงที่ลำคอของผู้เคราะห์ร้ายในนั้นและนำแก้วมารองเลือดยกขึ้นดื่มสดๆ ต่อหน้าเหล่านักโทษชั้นดีและหลิงหลิวเหว่ย
'ส่งวิญญาณมันไปชำระความด้วย'
'ขอรับท่านจอมมาร' หลังจากพ้นจากคุกของนักโทษชั้นดีจึงเดินไปต่อที่คุกอีกหลังหนึ่ง
'ข้าจะไปเยี่ยมสหายเก่าสักหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่แหละ'
'ขอรับท่านจอมมาร' จอมมารเดินเข้าไปในคุกหลังนั้นโดยปล่อยให้หลิงหลิวเหว่ยยืนรออยู่ด้านนอกคอยอารักขาความปลอดภัย
กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนลอยคลุ้งเข้ามาเขาเดินฝ่าไปเรื่อยๆคุกหลังนี้เอาไว้ขังพวกจอมมารรุ่นก่อน ก่อนที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นจอมมารแน่นอนว่าเขามาพบสหายเก่า สหายเก่าที่มีบุญคุณความแค้นกันอยู่
'เป็นอย่างไรบ้างเผ่ยอวิ๋น ช่วงนี้ข้ามิได้เข้ามาเยี่ยมเจ้าบ่อยเหมือนแต่ก่อน เหงาหรือไม่' จอมมารนั่งท่าขัดสมาธิอยู่หน้ากรงเพื่อสนทนากับเผ่ยอวิ๋น สหายเก่าก่อน
ก่อนนั้นเขากับเผ่ยอวิ๋นจวินเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อนแต่เพราะการแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ตัวเขาต้องเสียบิดามารดาและคู่หมั้นไป นั่นคือสาเหตุที่เขาและเผ่ยอวิ๋นสายสัมพันธ์ขาดสะบั้นไม่สามารถกอปรขึ้นมาใหม่ได้แล้ว
'เฮอะ! ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าตายๆไปสักทีให้มันสมกับความแค้นของเจ้า' เผ่ยอวิ๋นกำมือแน่น
ถ้าหากวันใดเขาหลุดออกจากโซ่ตรวนนี้ได้ เขาจะแก้แค้นและต่อให้มันกลายเป็นการแก้แค้นไปชั่วกัลป์ชั่วกันเขาก็ไม่เสียใจ ทั้งที่เรื่องตอนนั้นเขาไม่ใช่คนผิดและท่านแม่ของเขาก็ไม่ใช่คนผิด แต่หวังเยี่ยนก็…
'ความตายมันง่ายไปหรือเปล่า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าแต่จะทำให้ดวงวิญญาณของเจ้าแตกซ่าน ไร้ตัวตน ฮ่าๆๆ' เสียงหัวเราะของหวังเยี่ยนดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทขอวเผ่ยอวิ๋น ทุกครั้งที่หวังเยี่ยนมา เขามักจะเอ่ยประโยคนี้เสมอ ต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่หวังเยี่ยนลงมือทำจริงดังที่กล่าวไว้
'นี่เจ้า!!'
'ยังไงเจ้าก็เป็นสหายรักของข้า ข้ากำลังจะมีงานมงคลในเร็ววันนี้ ครั้งนี้ข้าจะได้เป็นจักรพรรดิมารอย่างสมบูรณ์อย่างไรล่ะ หึหึ สิ่งที่พอพ่อชั่วช้าของเจ้าใฝ่ฝันสุดท้ายมันก็ตกมาเป็นของข้า ฮ่าๆๆๆ' หวังเยี่ยนจงใจยั่วโมโห ทว่า
'เจ้าทำไม่สำเร็จหรอก ไม่สำเร็จหรอก ฮ่าๆๆ วันมงคลหรือวันนองเลือดกันนะ ฮ่าๆๆ' กวนประสาทนัก! น่าเสียดายที่ เขาไม่รู้วิธีเปิดคุกนี้เช่นกัน มิเช่นนั้นเขาคงได้ทรมานมันจนวิญญาณมันแตกซ่านไม่เหลือชิ้นดีในปรโลกแห่งนี้แล้ว
'หมายความว่าอย่างไร' จอมมารถามเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงทับทิมส่องแสงเข้มขึ้นแสดงถึงความโมโห
'จุ๊ๆๆ ถ้าบอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ' เผ่ยอวิ๋นหลับตาลงและไม่พูดคำใดต่อ เพียงปรากฎรอยยิ้มตรงมุมปากไว้
'บัดซบ!!' จอมมารได้แต่สบถออกมาอย่างเสียอารมณ์ เขาไม่รู้ถึงความหมายของเผ่ยอวิ๋น
อะไรจะเกิดขึ้นในวันแต่งงานของเขา เจ้าบ้านี่! วางแผนอะไรอยู่?
หวังเยี่ยนเดินกระทืบเท้าปึงปังอารมณ์ไม่ดีออกมาจากคุกหลังนั้น หลิงหลิวเหว่ยมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็นำผ้าขาวสะอาดมาซับเหงื่อให้แก่จอมมาร
'ไปโมโหอะไรมา'
'ในวันแต่งงานของข้าเพิ่มกำลังทหารอารักขาเป็นเท่าตัวเลย ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี'
'โถ่ เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน บัดนี้ก็ยามซวี[3]แล้วกลับตำหนักก่อนดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจักเตรียมน้ำไว้ให้อาบ' หวังเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงเดินนำหลิงหลิวเหว่ยเข้าไปในตำหนัก นอนเอกเขนกอยู่บนตั่งทองคำพลางขบคิดในคำพูดของเผ่ยอวิ๋น เจ้านั่นมันวางแผนอะไรอยู่ หากมันยังอยู่ในคุกแต่ยังปากดีฉะนี้แสดงว่ามีคนหนุนหลังมันอยู่
'เหว่ยตี้ ข้ามีอะไรจะถามท่าน'
'หืม?' หลิงหลิวเหว่ยกำลังจัดเตรียมอาบน้ำไว้ใกล้กับหน้าต่างเพื่อให้จอมมารอาบน้ำไปด้วยได้รับพลังจากแสงจันทร์ไปด้วย
'ข้าควรส่งจดหมายไปบอกกล่าวนางก่อนดีหรือไม่ หากว่าข้าอยากจะพบนาง อืม ที่สระมรกตเหลียนไห่'
'ส่งกระเรียนทองไปสิเยี่ยนเยี่ยน' หลิงหลิวเหว่ยแนะนำ วิธีนี้ใช้ออกจะบ่อยแต่เขาจะอ้างอะไรดีล่ะ ระหว่างที่กำลังจะถอดอาภรณ์ออกกลับเหลือบไปเห็นถุงหอมลายวิหคฟื้นจากเถ้าธุลีของตนเลยแนบลงไปด้วยกับกระเรียนทองพร้อมกับเขียนข้อความด้วยลายมือหวัดๆเป็นเอกลักษณ์ ชาโม่หลี่ของเขานางอาจจะยังไม่เคยลองหวังว่านางจะชอบนะ เขาจะเอาให้นางชิมวันพรุ่งนี้ หลังจากส่งกระเรียนทองไปให้เซียนหญิงผู้นั้นเสร็จก็ลงแช่โลหิตที่หลิงหลิวเหว่ยเตรียมไว้ให้ หลิงหลิวเหว่ยเองก็ช่วยตักโลหิตในอ่างชำระร่างกายให้แก่หวังเยี่ยน..
'ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่านจะเคยเป็นเทพเซียนมาก่อน ไม่รังเกียจโลหิตเหล่านี้หรือ' หลิงหลิวเหว่ยยิ้มอ่อนโยนส่งไปให้จอมมาร
'ข้าอยู่กับท่านมาหลายแสนปีแล้ว เกิดเป็นความเคยชิน หากรังเกียจคงไม่มาทำหน้าที่นี้ดอก ข้าเคยเป็นเทพเซียนก็จริงแต่ก็แค่เคย' หลิงหลิวเหว่ยไม่เคยเสียใจที่มาอยู่กับจอมมารท่านนี้ หากตัดเรื่องที่เขาต้องใช้โลหิตจากคนบาปทั้งหลายนี้ เขาก็เป็นจอมมารที่มีคุณธรรมและเด็ดเดี่ยวมากคนหนึ่ง นิสัยตรงไปตรงมาไม่เสเเสร้ง ด้วยความเลื่อยใสจึงทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกเซียนเพื่อรับใช้จอมมารท่านนี้
'ขอบใจมากนะเหว่ยตี้ หากไม่มีท่านข้าคงลำบากมาก ' จอมมารถอนหายใจออกมา หลิงหลิวเหว่ยก็ได้แต่ส่งยิ้มให้พลางนวดผ่อนคลายให้แก่จอมมาร
เป็นมารแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วอย่างไร? ข้าก็คือข้า นั่นคือสิ่งที่หลิงหลิวเหว่ยคิด
เมื่อเลือกภักดีต่อจอมมารแล้ว มิมีวันทรยศ
เดิมทีก็มิได้คิดว่าจะมาตามจดหมายลับนั้น ทว่า รู้ตัวอีกทีกลับมานั่งรอเขาอยู่สระน้ำมรกตนี้เสียแล้ว
'ท่านเซียนหญิงเอาอะไรมาด้วยหรือเพคะ' วันนี้จื่อจิงตื่นสายกว่าเซียนท่านนี้สักหน่อยแต่เพราะเตรียมอ่างล้างหน้าไว้ให้แต่คืนวาน เซียนหญิงท่านนั้นจึงไม่ได้ปลุกนางให้คอยรับใช้กว่านางจะตื่นก็พบว่าเซียนท่านนั้นชำระร่างกายตนเองเสร็จแล้วอีกทั้งยังไม่ลืมที่จะผูกผ้าแพรขาวปิดตาไว้และนำตระกร้าใบหนึ่งเตรียมไว้ด้วยจึงมิรู้ว่าข้างในคือสิ่งใด
'ขนมจากสมุนไพร' เฟิงจางจิ้งตอบเสียงเรียบ หวังลึกๆไว้ในใจว่าจอมมารจะมาตรงเวลา
'ทำให้จอมมารหรือเพคะ' จื่อจิงหัวเราะคิกคัก
'ก็เขาเตรียมชามาให้ข้า ส่วนข้าเตรียมขนม เช่นนี้จะได้มิมีผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบ' เฟิงจางจิ้งชี้แจงแก่จื่อจิงที่ดูเหมือนจะยังหยอกล้อนางไม่เลิก
'เพคะ เพคะ ท่านเซียนหญิง' จื่อจิงนำผ้ามาปูและยกขนมของท่านเซียนหญิงออกมาจัดใส่จานเตรียมไว้ หลังจากนั้นไม่นานจอมมารก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับชุดถ้วยชาที่หลิงหลิวเหว่ยเป็นผู้ถือ จอมมารท่านนั้นก็นิสัยแปลกประหลาด มีใครที่ไหนกันเขาถือถ้วยชาเหินฟ้ากันมาอย่างนี้ จื่อจิงเห็นแล้วก็อยากตำหนินัก ชุดถ้วยชาชุดนั้นเป็นของเก่าแก่เทียว นางจำได้ว่านายท่านใหญ่คนก่อนชื่นชอบชุดเครื่องชาชุดนี้มากเพราะเป็นของที่นายท่านหญิงใหญ่ปั้นเองกับมือด้วยความปราณีตใช้เวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
'คำนับท่านจอมมารเพคะ' หวังเยี่ยนพยักหนารับ เซียนท่านนั้นยังงดงามเช่นเดิมแม้จะยังสวมผ้าแพรขาวนั้นอยู่ก็ตาม
'เสี่ยวจิ้ง ทำไมยังใส่ผ้าแพรขาวนี้อยู่อีก' หวังเยี่ยนขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
นางงดงามก็จริงแต่ถ้าปลดออกคงจะงามยิ่งกว่า
'ท่านก็เห็นเมืองสวรรค์สว่างปานนี้ ข้าแสบตา ท่านคงไม่ขัดข้องอะไรนะ'
'หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด' เฟิงจางจิ้งยกยิ้มอย่างพอใจพลางนั่งลงตรงที่ที่จื่อจิงจัดเตรียมไว้ให้
'เชิญหวังเยี่ยนจวิน' มือเล็กผายออกมาเป็นการเชื้อเชิญ จอมมารหนุ่มจึงนั่งลงในทันที
'ข้าอยากสนทนากับเทียนจวินสักหน่อย รบกวนจื่อจิงพาข้าไปส่งที'
'ย่อมได้' หลิงหลิวเหว่ยและจื่อจิงมองตากันอย่างรู้ใจและพากันเดินออกไป
'ชานี้คือชาโม่หลี่ เจ้าลองชิมดู' จอมมารหนุ่มบรรจงรินชาและส่งไปให้แก่เฟิงจางจิ้ง
'ทำจากดอกโม่หลี่กระนั้นหรือ'
'อืม'
'บังเอิญจริง ข้าทำขนมจากดอกโม่หลี่มาด้วย ลองชิมดู' เฟิงจางจิ้งหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกมาจากจานแล้วยื่นจ่อริมฝีปากจอมมารอย่างลืมตัว จองมารมองนิ่งแต่ยังมิยอมกิน
'กินสิ' เฟิงจางจิ้งรบเร้าอีกครั้ง จอมมารยกยิ้มตรงมุมปากแล้วกัดเข้าไปที่ขนมคำโตจนริมฝีปากของเขาสัมผัสเบาเบาที่ปลายนิ้วของนาง นางชักมือกลับในทันที
'รสชาติดี ข้า..ชอบ' พวงแก้มขาวใสขึ้นสีแดงปลั่งราวกับลูกตำลึง นางยกชาขึ้นซดอย่างอุกอาจ
'เหตุใดวันนี้จึงนัดข้ามาคงมิใช่ว่าเพียงอยากดื่มน้ำชากับข้าแค่นั้นนะ'
'เสี่ยวจิ้ง ข้าแค่อยากเจอหน้าเจ้าแล้วก็เรื่องคำขอของข้า เจ้าตอบหรือยัง' เขากำลังจ้องมองเซียนชุดขาวอย่างนึกเอ็นดูอยู่
'อืม ข้าตอบแล้ว' เขาจ้องมองนางอย่างคาดคั้น คิดว่านางคงรับรู้ได้แม้มิได้มองเห็นและแน่นอนนางรับรู้ได้
'แต่..เมื่อไหนก็เมื่อนั้น’' เฟิงจางจิ้งยื่นคำขาด ข้างเอวของนางยังมีถุงหอมของเขาแขวนอยู่
'ถุงหอมที่ข้าให้ ชอบหรือไม่' หวังเยี่ยนนั่งเท้าคางมองหน้านางอย่างใกล้ชิด
'คือกลิ่นของอะไร หอมดี'
'กลิ่นบุหงา'
'แบมือหน่อย' ผ้าเช็ดหน้าปักลายบุปผานานาชนิดสลักชื่อเฟิงจางจิ้งไว้ตรงมุมล่างซ้ายอย่างสวยงามและกลมกลืน นางวางลงบนฝ่ามือของหวังเยี่ยน
'ให้ท่านเก็บไว้' เฟิงจางจิ้งมีกลิ่นกายที่หอมอยู่แล้วเพราะบิดาและมารดาของนางผู้หนึ่งเป็นเซียนบุปผาและผู้หนึ่งเป็นเซียนมังกรแต่นางออกจะคล้ายเซียนบุปผามากกว่าจึงมีกลิ่นกายที่หอมมวลบุปผามากและมิจำเป็นต้องใช้เครื่องหอมแม้แต่น้อย แน่นอนว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นสิ่งเดียวที่นางมีและพกติดตัวตลอด ในเมื่อเขามอบถุงหอมให้นางนางย่อมต้องมอบของสักสิ่งหนึ่งให้แก่เขา
'เหตุใดจึงให้' เขาสูดกลิ่นหอมจากผ้าเช็ดหน้าเงียบๆ กลิ่นหอม หอมเหมือนกลิ่นกายนาง
'ท่านให้ถุงหอมประจำกายแก่ข้า ข้าจึงให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แก่ท่านเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน' รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จอมมารจ้องมองรอยยิ้มนั้นอย่างหลงไหล งดงามปานนี้จริงๆ สมดั่งที่หลิงหลิวเหว่ยกล่าวมิมีผิด 'งามล่มนรกล่มสวรรค์' ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันอยู่นั้นกลับมีเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังเดินตรงมาทางนี้ รัศมีเทพสีฟ้าแผ่กระจาย
'เยี่ยนเยี่ยยขึ้นมาแดนสวรรค์แต่ไม่มาเยี่ยมพวกข้า ใจร้าย '
[1] ยามเซิน คือ ช่วงเวลา 15.00 – 16.59 น.
[2]น้ำชาจากดอกมะลิ
[3]ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19.00 – 20.59 น.
หลายๆวันมานี้ท่านเซียนหญิงเฟิงจางจิ้งและเสวี๋ยอิงต่างทำหน้าที่ดูแลพวกข้าได้อย่างดีเยี่ยม วิชาเซียนของพวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนที่แท้ ข้ายังคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอมิรู้ว่าเลื่อนขั้นไปถึงไหนกันแล้ว เสวี๋ยอิงคนนั้นยามอยู่กับเฟิงจางจิ้งเซียนเพียงลำพังแสนแตกต่างกับตอนที่พูดคุยกับพวกข้าอย่างมากข้าสังเกตเสวี๋ยอิงตั้งแต่วันเเรกจนวันสุดท้ายสรุปความได้ว่า เสวี๋ยอิงคนนี้เป็นวิหคเหมันตกาลโดยแท้ นับถือวิถีเซียนเคร่งครัด และที่สำคัญเขารักของเฟิงจางจิ้งเซียนสหายของข้าอย่างแท้จริง ข้ากับเฟิงจางจิ้งเซียนตกลงกันไว้ว่าหลังจากจบการฝึกปรือครั้งนี้จะรับข้าเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในวังสวรรค์'ความพยายามของพวกเจ้า เปิ่นจวินเห็นแล้วว่าสมควรแก่เวลา กระบี่ของผู้ใดจะกลับคืนสู่เจ้าของ' หลงลี่เสกกระบี่อันทรงฤทธิ์ที่ส่องแสงเรืองรองและส่งคืนสู่เซียนผู้เป็นเจ้าของ กระบี่เหล่านั้นลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของ'กระบี่มีจิตวิญญาณของมัน ผู้เป็นเจ้าของต้องตั้งชื่อด้วยก่อนจะเซ่นกระบี่ด้วยเลือด''ขอรับ! เจ้าค่ะ! ซือฝุ' เซียนสตรีและเซียนบุรุษทั้งหกขานรับ
'เสวี๋ยอิง เฟิงจางจิ้งเซียนฝากข้ามาตามท่านไปที่เรือนไผ่ด้านหลัง' เรือนไผ่ด้านหลังที่ว่า อยู่ริมธารน้ำตกที่ข้าใช้วิชาสนทนากับหวังเยี่ยนเกอเรือนไผ่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรือนไผ่ที่ท่านเซียนเนรมิตขึ้นมาเพราะตอนที่ข้าไปไม่เห็นจะมีเรือนไผ่อยู่พลังเซียนของเฟิงจางจิ้งเซียนเหนือชั้นกว่าเซียนคนอื่นมากอย่างข้าคงเสกได้เพียงแค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับวิชาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยที่หวังเยี่ยนสอนก็เท่านั้น'รบกวนแม่นางช่วยนำทางไปที' เขากล่าวเสียงเรียบพลางสะบัดชายผ้าขาวอย่างอ่อนโยนยามอยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวเหน็บจริงสมแล้วที่เป็นถึงวิหคหิมะ'ตามข้ามาเถิด' เขาเดินตามข้าอย่างสงบเสงี่ยมจริงแท้หรือวิสัยของพวกวิหคหิมะเป็นเช่นนี้เอง แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคร่งครัดวิถีเซียน'ขอบคุณที่มาส่ง''ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านสูงส่งกว่าข้า ข้าย่อมยินดีช่วย' เขาพยักหน้ารับเงียบๆแล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่เฟิงจางจิ้งเซียนนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดได้ว่าน่าเอ็นดู ข้าแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาที่เหมาะๆสักที เสกกาน้ำชาหนึ
บรรดาเหล่าเซียนยืนเรียงกันเป็นสองแถวแบ่งแยกสตรีและบุรุษเพียงแค่โดดลงเหวก็ตกลงมาโผล่ที่หุบเขาไท่ซาน ไม่คิดว่าหุบเขาแห่งนี้จะยังมีสำนักที่คล้ายสำนักสงฆ์อยู่ เบื้องหน้ามีเสามังกรสีเหลืองอร่ามสลักรูปปั้นมังกรสามหัวขนาดยักษ์มันถูกตั้งไว้กลางโถง ช่างเสมือนจริงเหลือเกิน..'เสวี๋ยอิงคารวะท่านอาจารย์' ชายหนุ่มหัวขาวก้มโค้งคำนับต่อหน้ารูปปั้นมังกรสามหัวอาจารย์ที่ไหนกันไม่เห็นจะมีใครสักคน เฟิงจางจิ้งคิด'ถือว่ามีฝีมือ ส่วนคนอื่นยังต้องฝึกอีกมาก' ร่างมังกรสามหัวแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสามคน หน้าตางดงาม สวมชุดฮั่นฝูสีดำ รูปร่างแกร่งกำยำ มองแค่ตาเปล่าก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณเซียนของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสามเป็นสัตว์เทพแห่งบรรพกาลที่บังเกิดมาพร้อมกับเหล่าอสูรร้ายแห่งบรรพกาลอย่างเช่น อสูรเถาอู้กับฮุ่นตุ้น[1]'เสี่ยวเซียนทั้งห้าขอคารวะท่านอาจารย์' เฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวนำข้าและเพื่อนพ้องอีกสามคนจึงพากันก้มโค้งคารวะดังที่เฟิงจางจิ้งกล่าวนำไว้ ไม่แน่ว่าในช่วงหลายวันมานี้อาจมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้น'ไม่ต้องมากพิธี ข้าเ
‘ยินดีต้อนรับกลับ' หวังเยี่ยนเดินเข้าไปกอดซ้อนอีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้มาก่อนว่าพวกนางรู้จักกันคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนน้องสาวในไส้ส่วนอีกคนก็คือภรรยาของเขา จากนี้ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เขาจะเป็นคนปกป้องพวกนางเอง ไม่มีผู้ใด ไม่มีอดีตและแม้อดีตจะลบล้างไม่ได้ หากแต่เมื่อวันวานแห่งความขมขื่นผันผ่านไป หลังจากนี้เขาจะเป็นแสงสว่างชี้นำพวกนางเอง พวกนางคงยังมีความหลังให้ระลึกถึงกันอีกมากเห็นสมควรปล่อยให้สนทนากันเพียงลำพัง กิจของสตรีบุรุษมิควรยุ่งจอมมารสะกิดหลิงหลิวเหว่ยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วพากันเดินออกไปเงียบๆ เซียนหญิงกับมารสาวมองหน้ากันร่ำไห้กันเงียบงัน ก่อนจะบอกเล่าถึงความทรมานแสนสาหัสและเรื่องเขา'คนนั้น''เยว่ถิง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้แล้วเจ้ากับจอมมารรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่''ไม่เจอกันเพียงไม่กี่แสนปี ท่านหญิงของข้ากลายเป็นคนช่างถามแล้วรึ''เพราะข้าสนิทใจที่พูดคุยกับเจ้าต่างหาก!'
จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น
หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&