ผมลากไล้ปลายนิ้วบนขอบแก้วที่ภายในมีน้ำสีอำพันอยู่เกือบจะครึ่งด้วยสับสนระคนปวดร้าวใจ
กี่แก้วแล้วที่ผมดื่มเจ้าน้ำนี่เข้าไป...ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคืนนี้ผมแค่อยากจะดื่มให้เมา...จะได้ลืมความเจ็บปวด ดื่มเพื่อให้ลืมเรื่องที่มันยังคงดังก้องอยู่ในหู
ฮึ! ผมหัวเราะเยาะเย้ยตนเองที่มองคนไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกับเธอคนนั้นมาได้ถึงเจ็ดปีด้วยกัน คบกันตั้งแต่เรียนมัธยมห้า จวบจนเรียนจบมหาวิทยาลัย เริ่มต้นทำงานเก็บเงินเพื่อจะได้สร้างครอบครัวกับเธอ แต่สุดท้ายแล้วเธอกลับมาบอกผมว่า...
“สอง...เราเลิกกันเถอะ”
เธอบอกเลิกผมในวันที่ผมจะขอเธอแต่งงาน...
“ทำไมละแพรว...ผมทำอะไรผิดเหรอ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไหนเราสัญญากันไว้แล้วไง หลังเรียนจบ ทำงานเก็บเงินสักระยะ แล้วเราจะแต่งงานกันไง”
ความจริงผมก็พอจะรู้มาสักระยะ...อ๋อ ไม่ใช่สิ น่าจะรู้ระแคะระคายเรื่องที่แฟนสาวเริ่มมีทางทีที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ขึ้นปีสามแล้วล่ะ ตอนนั้นผมยังพยายามคิดในแง่ดีอยู่ เป็นเพราะเราเรียนกันหนัก เลยไม่ค่อยมีเวลาได้พบกัน อีกทั้งเราทั้งคู่ต่างก็ต้องวางแผนเรื่องอนาคตที่มันจะต้องดีและเต็มไปด้วยความสุข ผมยังคงพยายามเชื่อแบบนั้นมาตลอด ทั้งที่เพื่อน ๆ ของผมต่างก็พยายามบอกให้รู้...
แพรวไปกับผู้ชายคนอื่นอยู่เสมอและผู้ชายคนนั้นก็มิใช่คนอื่นคนไกล เป็นคนที่ผมรู้จักดี เป็นคนที่ผมรู้และเชื่อว่า เขาพร้อมที่จะแทงข้างหลังผมได้เสมอ ทั้งที่เราเป็น...พี่น้องกัน!
รอยยิ้มของแพรวเต็มไปด้วยความหยามหยัน เหยียดหยาม ความหมายจากดวงตาที่มองมา...เหมือนกับว่าผมเป็นหมาวัดแต่หมายปองดอกฟ้า ไม่เจียมตัวเองเอาเสียเลย
“เพราะไม่ว่าทำยังไง สองจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งไง สองไม่เคยกระตือรือร้นที่จะสร้างบริษัทของตัวเองอย่างที่เคยบอกกับแพรว เพราะสองต้องทำงานที่บริษัทของพ่ออย่างเดียว แล้วยังจะเป็นได้แค่พนักงานกระจอก ๆ ที่อย่าว่าแต่จะได้ขึ้นเงินเดือนเลย แค่โอกาสที่จะได้เป็นผู้จัดการอย่างคนอื่นที่เงินเดือนขึ้นแล้วขึ้นอีกก็ไม่มี”
ก็จะมีได้ยังไงล่ะ ในเมื่อทุกคนคอยแต่กดไม่ให้เขาโง่หัวนะ ให้ผมทำดีแค่ไหนก็แค่เสมอตัว แต่เมื่อไหร่ที่ทำได้ไม่ดี ทำผิดพลาดไป ก็จะมีคนพูดจาเหยียดหยามกระแทกแดกดันใส่ เป็นแค่คนโง่ที่ริอาจทำตัวว่าเก่ง หน้าตาก็ไม่ดีแล้วยังไม่มีสมองอีก
“แล้วอย่างนี้จะให้แพรวเชื่อได้ยังไงว่าสองสามารถเลี้ยงดูแพรวกับลูกให้อยู่สุขสบาย มีรถไว้ขับไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกังวลว่าถ้าดึกดื่นแล้วจะไม่มีรถกลับบ้าน มีเงินมีทองให้ใช้โดยไม่ต้องเดือนเนื้อร้อนใจ ไม่ต้องกังวลว่าต้นเดือนมีเงินแต่พอปลายเดือนต้องประหยัด เพราะเงินไม่พอจะซื้อของดี ๆ กิน”
ใครว่าเขาไม่เคยคิด แต่เพราะความสามารถผมไม่ถึงไง ผมถึงต้องทนให้พี่ชายโขกสับ ทำงานในตำแหน่งเล็ก ๆ ในบริษัทของพ่อ รับเงินเดือนที่พอจ่ายค่าอาหารกลางวันและค่ารถไปกลับก็แทบจะไม่เหลือแล้ว
“มันหมดยุคที่จะกัดก้อนเกลือกินแล้วล่ะสอง ถ้าไม่คิดทำอะไรให้ดีกว่านี้ เราก็เลิกกันเถอะ ถ้ายังรักกันอยู่ ก็ปล่อยแพรวไปเถอะ อย่าเป็นตัวถ่วงของแพรวเลยค่ะ”
“นั่นสินะ...” ผมพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ขณะมองคนรักด้วยสายตาเจ็บปวดและผิดหวัง “สองจะไปสู้พี่...คุณเป็นหนึ่งได้ยังไงกันล่ะ ทั้งหน้าตาดี เป็นถึงลูกคุณหญิงที่แต่งงานกันอย่างสมเกียรติ ฐานะการงานก็ดีไปหมด ส่วนสองก็เป็นเพียงแค่ลูกเมียน้อยที่พ่อไม่ได้อยากจะให้เกิดมาสักหน่อยนี่เนอะ”
ที่ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมคุณเป็นหนึ่งถึงได้จองล้างจองผลาญผมไม่ยอมหยุดเสียที ทั้งที่เขาดีกว่าผมมากมาย เป็นลูกคุณหญิงที่ร่ำรวยมีหน้ามีตา มีทั้งพ่อและแม่ที่รักจนแทบจะทูนหัวทูลเกล้าให้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้เสมอ ผิดกับผมที่เป็นเพียงแค่ลูกที่พ่อไม่ได้ต้องการจะให้เกิดมา แต่ไม่ใช่แม่ที่กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรก็เมื่อมีผมอยู่ในท้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่รู้ว่าพ่อไม่ได้ต้องการทั้งผมและแม่ แต่แม่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายผม ไม่คิดทอดทิ้งและไม่ได้คิดจะให้ผมไปอยู่กับพ่อ เพียงแค่...อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมาพรากแม่ไปจากผม ทำให้ผมต้องมาอยู่เป็นคนในบ้านของพ่อ
เขารับว่าผมเป็นลูกนะ...ให้การศึกษา แต่ไม่ให้ความรักและไม่ยอมให้ใช้นามสกุล นอกจากเพื่อนที่สนิทจริง ๆ สองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นพ่อผมและผมเป็นน้องชายคนละแม่กับคุณเป็นหนึ่ง ซึ่งแรก ๆ ผมก็ไม่เข้าใจอะไร แต่เมื่อโตขึ้น ก็เริ่มรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและรับได้ในบางส่วน ยกเว้นเรื่องงานที่ความจริงแล้วผมอยากจะเรียนทำอาหาร อยากมีร้านอาหารเล็ก ๆ เป็นของตัวเองสักร้าน แต่พ่อบอกผมต้องเรียนการเงิน ต้องเรียนบัญชี เพื่อทำงานในบริษัท ซึ่งผมก็ขัดอะไรไม่ได้ ต้องทำตามที่เขาสั่ง ในขณะที่คุณเป็นหนึ่งอยากทำอะไรก็ได้ทำ คงเป็นอย่างที่ผมได้ยินมาเสมอจริง ๆ นั่นแหละ...
ลูกคนโตมักเป็นที่รักของพ่อแม่ ของปู่ย่าตายาย ไม่ว่าจะทำเหี้ยอะไร ก็ยังมีคนคิดว่าดี ยังคงมีแต่คนชื่นชมชื่นชอบเสมอ ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน ไม่ต้องถูกทำโทษ ได้รับโอกาสให้แก้ตัว เพราะพี่คนโตต้องเสียสละคอยดูแลน้อง
ลูกคนสุดท้อง น้องน้อยที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ ต้องเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ทำราวกับว่าถ้าไม่ยอมจับเอาไว้ให้ดี เผลอปล่อยมือไปแล้วจะล้มจนเจ็บกาย อยากได้อะไรก็ต้องได้!
“สองอย่ามาพูดดูถูกเราแบบนี้นะ เราไม่ได้คิดจะจับพี่เป็นหนึ่งเลย”
ผมหัวเราะอย่างขมขื่น “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ แพรวร้อนตัวไปเองมากกว่า แต่เอาเถอะ จะเลิกก็เลิก สองก็ไม่อยากจะดึงรั้งคนที่หมดใจไว้เหมือนกัน หวังว่าแพรวจะจับคุณเป็นหนึ่งได้อยู่หมัดนะ ไม่ใช่ว่าพอบอกเลิกกับผมแล้ว ก็ถูกคุณเป็นหนึ่งทิ้งไปด้วยล่ะ” ผมเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริง เพราะคุณเป็นหนึ่งเพียงแค่อยากจะเหยียบย่ำทำร้ายผม แย่งชิงทุกอย่างที่คิดว่านั่นคือของที่ผมรัก ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมอยู่อย่างไม่เป็นสุข คุณเป็นหนึ่งพร้อมที่จะทำ!
“สองจะเอาเรื่องที่แพรวเคยเป็นแฟนสองไปบอกกับพี่หนึ่งหรือไง คิดว่าพี่หนึ่งจะเชื่อสองหรือไง”
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”