 LOGIN
LOGIN"ผมเคยเตือนพี่แล้วใช่ไหมว่าอย่าเผลอใจให้คุณหนู แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ มีหวังถ้านายรู้นายเอาพี่ตายแน่พี่วายุ" ภีมพูดเปิดประเด็นประหนึ่งบ่นรุ่นพี่ไปทันที เพราะเขาเป็นห่วงกลัวว่ารุ่นพี่จะโดนเจ้านายเล่นงาน อีกอย่างเขาห่วงความรู้สึกของทั้งคู่ที่คงไม่มีทางลงเอยกันได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เพราะผู้เป็นเจ้านายคงไม่ยอมให้ลูกสาวอันเป็นที่รักมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบอดี้การ์ดในบ้านเป็นอันขาด
"มึงพูดอะไร มึงคิดอะไรของมึง กูไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูทั้งนั้น" วายุปฏิเสธเสียงแข็ง พูดเหมือนหลอกตัวเองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตนคิดไม่ซื่อกับเด็กสาว
"ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะพี่ที่จะดูไม่ออก พี่เล่นหึงหวงคุณหนูกับผมขนาดนี้พี่ยังจะหลอกตัวเองอีกเหรอ" ภีมเถียงกลับอย่างรู้ทัน รุ่นพี่ของเขาโมโหหึงเด็กสาวซะขนาดนั้นทำไมเขาจะดูไม่ออก
"ไร้สาระ กูบอกว่ากูไม่ได้คิดอะไร กูไม่มีทางชอบคุณหนูเพราะกูไม่ชอบเด็ก สำหรับกูเด็กอย่างคุณหนูมันน่ารำคาญ" วายุยังคงพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ มองหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาดุดัน เขารู้ตัวเองดีว่าคิดยังไงกับเด็กสาว ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องมายอมรับความรู้สึกของตัวเองต่อหน้ารุ่นน้อง หรือต้องมาบอกว่าเขาชอบเด็กสาวให้ใครรับรู้ทั้งนั้น เพราะนี่มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของเขา
"พี่พูดแบบนี้ได้ไง ถ้าเกิดคุณหนูมาได้ยินเข้าเธอคงจะเสียใจมาก" ภีมเอ่ยตำหนิรุ่นพี่ไปทันทีละคนผิดหวังในตัวรุ่นพี่ที่คิดแบบนี้กับเด็กสาว แต่ทว่าสายตาของเขาก็ดันไปสะดุดเข้ากับเด็กสาวเจ้าตัวที่อยู่ในบทสนทนาของพวกเขา เธอค่อยๆโผล่ออกมาจากขอบประตูครึ่งตัว มองมาทางเขาและรุ่นพี่
"คุณหนู" ภีมเห็นเช่นนั้นถึงกับตกใจนิ่งไป
ทำเอาใจแกร่งของวายุกระตุกวูบทันทีที่ได้ยินรุ่นน้องเอ่ยเรียกเด็กสาว เขานิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองคนข้างหลัง และทันทีที่หันมามองเด็กสาว ใจแกร่งยิ่งกระตุกสั่นรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเธอที่เคยสดใสกลับดูเศร้าหมอง ถึงจะอยู่ในระยะห่างที่ไม่ได้ใกล้มากแต่เขาก็สามารถมองเห็นดวงตากลมโตที่มองมาทางเขาอย่างผิดหวัง ซึ่งเขาก็รับรู้ได้
ด้านมิรากำลังยืนมองหน้าบอดี้การ์ดคนของใจด้วยใจที่เจ็บปวดบวกกับความน้อยใจเขาเป็นอย่างมาก ดวงตากลมโตสั่นระริกน้ำใสๆเอ่อคลอเบ้าตากำลังจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ แต่ก็ไม่อยากร้องไห้ไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาได้เห็น เธอจึงตัดสินใจหันหลังวิ่งเข้าบ้านไปทันที โดยไม่คิดจะหันหลังกลับ
"หึ เจ็บไหมพี่ ถ้าพี่เจ็บแสดงว่าพี่ยังมีความรู้สึกอยู่" ภีมอดประชดประชันไม่ได้หลังจากที่เห็นเด็กสาววิ่งหายเข้าบ้านไป ใจหนึ่งก็รู้สึกสงสารเธออยู่มากที่มาได้ยินคำพูดแย่ๆออกจากปากของรุ่นพี่เขา แต่อีกใจก็นึกสะใจอยู่ไม่น้อยที่เด็กสาวดันมาได้ยินเข้าพอดี เพราะเขาเองก็นึกหมั่นไส้คนปากไม่ตรงกับใจ แถมยังใจแข็งอีกต่างหาก หากเด็กสาวจะโกรธ เขาเองก็ขอสมน้ำหน้าด้วย
และเมื่อพูดจบภีมก็เดินออกไป ทิ้งให้วายุจมอยู่กับความรู้สึกผิดกับคำพูดที่เขาไม่ได้ตั้งใจพูดและไม่เคยรู้สึกรำคาญเด็กสาวอย่างที่ปากพูดเลย ขณะที่ยังไม่ได้ละสายตาคู่คมไปจากจุดที่เด็กสาววิ่งหายเข้าไปในบ้าน ก็พยายามบอกตัวเองว่าดีแล้วที่เด็กสาวดันมาได้ยินเขาพูดถึงเธอแบบนั้น เธอจะได้ตัดใจจากเขาและเลิกตามตื๊อตามจีบเขาสักที เพราะระหว่างเธอกับเขามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรหรือรู้สึกยังไง ภายนอกใบหน้าหล่อเหลาก็ยังนิ่งเหมือนคนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ผิดกับความรู้สึกข้างในอย่างสิ้นเชิง
ด้านมิรา ภายในห้องนอนของเธอ
"ฮือๆ~ น้องไม่น่ารักเหรอ ฮึ่ๆ มิไม่น่ารักตรงไหน ฮือ~ ทำไมพี่วายุต้องรำคาญมิด้วย ฮือๆ~" มิรานอนคว่ำฟุบหน้าร้องไห้โฮอยู่บนที่นอนนุ่มสีหวาน พลางโทษตัวเองไม่หยุด เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองทำตัวไม่น่ารักหรือทำตัวให้เขารำคาญขนาดนั้นเชียวเหรอ
เธอเสียใจและน้อยใจบอดี้การ์ดคนของใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เธอพยามทำตัวน่ารักมาตลอดเพื่อหวังว่าเขาจะชอบเธอบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ชอบเธอขึ้นมาสักนิดเลย คำพูดที่เธอได้ยินจากปากเขาเมื่อครู่มันทำให้ใจดวงน้อยของเธอเจ็บปวดเหลือเกิน เธอไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงให้เขาชอบเธอบ้าง อย่าว่าแต่ทำให้เขาชอบเลย แค่ทำให้เขาไม่รำคาญในตัวเธอเธอยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เธอไม่เคยชอบใครหรือหลงรักใครแบบนี้มาก่อน เธอเพิ่งเข้าใจวันนี้ว่าการรักคนที่ไม่ได้รักเรามันทำให้ใจเจ็บปวดได้มากขนาดนี้ มันยากมากกับการที่ต้องรับมันให้ไหว พลางคิดไปว่าทำไมตัวเองถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ แค่เขาบอกว่ารำคาญ เธอก็หมดไฟที่จะตามตื๊อตามจีบเขาแล้ว...

(ป่วนหัวใจนายบอดี้การ์ดหน้านิ่ง)วันต่อมา09:35 น.บริเวณศาลาสวนหย่อม มิรากำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่บนศาลา เธอมักจะมาอ่านหนังสือหรือมานั่งเล่นที่ศาลาตรงนี้เป็นประจำ เรียกได้ว่าเป็นมุมโปรดของเธอก็ว่าได้ โดยมีบอดี้การ์ดส่วนตัวอีกสองคนยืนอารักขาอยู่หน้าศาลาไม่ห่าง พวกเขาทั้งสองคนยืนคนละฝั่งของศาลาโดยหันหน้าเข้าหากันเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่มายืนอารักขาเด็กสาวบริเวณนี้วันนี้มิราอ่านนิยายของนักเขียนคนใหม่ตามที่เพื่อนของเธอแนะนำมา เธอเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการที่จะอ่านมัน และการอ่านนิยายมันก็ช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของเธอได้เยอะเลยทีเดียว แต่กระนั้นเนื้อหาของหนังสือนิยายเล่มนี้มันอ่านแล้วทำความเข้าใจได้ยากกว่านิยายของนักเขียนคนโปรดที่เธออ่านอยู่เป็นประจำและเมื่ออ่านไปได้สักพักเธอก็ต้องงงและไม่เข้าใจอีกแล้ว ซึ่งเนื้อหาในนิยายที่เธออ่านแล้วไม่เข้าใจมันคือเนื้อหาของคำพูดตัวละคร ที่พระเอกพูดขู่นางเอก เธอขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง พยายามอ่านและจิตนาการตามแล้วตามอีก อ่านแล้วอ่านอีกก็ไม่เข้าใจเสียทีว่าคำพูดที่พระเอกขู่นางเอกมันหมายความว่าอะไร และในเมื่ออ่านไม่เข้าใจเธอจึงเงยหน้าจากหนังสือนิยายแล
ด้านมิราจึงได้แต่มองตามหลังคนเป็นพ่อตาละห้อย สีหน้าหงอยเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม ทว่าลึกๆแล้วเธอไม่ได้อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ยังเด็กเธอจึงประชดความรักที่ไม่สมหวังด้วยการหนีปัญหาไปอยู่ในที่ไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเขาคนที่ทำให้ใจดวงน้อยของเธอเจ็บปวดอีกจากนั้นเธอก็หันกลับมามองข้าวในจานของตัวเองที่ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะกินไปแค่คำสองคำเป็นคำเล็กๆเพียงข้าวแค่ปลายช้อนเท่านั้น หรือแทบจะไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะเงยหน้าพูดกับสาวใช้วัยสามสิบกลางๆ มีนามว่าชมพู่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ"พี่ชมพู่เก็บจานเลยค่ะน้องมิอิ่มแล้ว" น้ำเสียงเบาราวกับคนไม่อยากพูดไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น"ได้ค่ะคุณหนู""ไม่ต้อง"ไม่ทันที่ชมพู่จะเดินมาเก็บจานตามคำสั่งของคุณหนูตัวน้อย ก็ต้องชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่เพราะเสียงทุ้มของอีกคนดันเอ่ยห้ามเอาไว้เสียก่อน ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มจะเดินเข้ามาหาคุณหนูตัวน้อย แล้วหยุดยืนอยู่ข้างเธอที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคู่คมมองใบหน้าน่ารักของเด็กสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา ซึ่งเขาไม่ชอบเลยที่แววตาของเธอตอนนี้มีแต่ความเศร้า เพราะเธอเหมาะที่จะยิ้มและมีดวงตาที่สุกใส
ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ บนเก้าอี้ตำแหน่งหัวโต๊ะมีประมุขของบ้านนั่งอยู่ และยังมีบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขาและบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกสาวที่ยืนประจำตำแหน่งเดิมคือข้างหลังคนเป็นเจ้านายของตัวเอง"ยัยหนูของพ่อมาพอดีเลย พ่อกำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี พวกเธอก็ตักข้าวสิลูกสาวฉันมาแล้ว" เดชาหันไปพูดกับลูกสาวที่กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร ประโยคหลังหันไปออกคำสั่งกับสาวใช้ในบ้านที่ยืนรอรับใช้อยู่สองคนด้านภีมจึงเดินไปดึงเก้าอี้ตำแหน่งที่ประจำของคุณหนูออกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามานั่ง ภีมทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนปกติทุกวันที่เคยทำด้านวายุที่ยืนอยู่ มองเด็กสาวตั้งแต่เห็นเธอเดินเข้ามาในห้องอาหารแล้ว แต่ครั้งนี้เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยสักนิด ผิดกับทุกครั้งที่เธอมักจะลอบมองและแอบส่งยิ้มให้เขาอยู่ตลอด เมื่อเห็นท่าทีหมางเมินของเธอใจแกร่งก็กระตุกวูบทันที ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังนิ่งเป็นปกติ ไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการใดๆออกมาเลย"ไม่สบายรึเปล่ายัยหนู ทำไมตาหนูถึงดูบวมๆและแดงแบบนั้นล่ะ" เดชาเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้สีหน้าของลูกสาวเขาดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย พลางใช้หลังมือเอื้อมไปแตะหน้า
"ผมเคยเตือนพี่แล้วใช่ไหมว่าอย่าเผลอใจให้คุณหนู แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ มีหวังถ้านายรู้นายเอาพี่ตายแน่พี่วายุ" ภีมพูดเปิดประเด็นประหนึ่งบ่นรุ่นพี่ไปทันที เพราะเขาเป็นห่วงกลัวว่ารุ่นพี่จะโดนเจ้านายเล่นงาน อีกอย่างเขาห่วงความรู้สึกของทั้งคู่ที่คงไม่มีทางลงเอยกันได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เพราะผู้เป็นเจ้านายคงไม่ยอมให้ลูกสาวอันเป็นที่รักมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบอดี้การ์ดในบ้านเป็นอันขาด"มึงพูดอะไร มึงคิดอะไรของมึง กูไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูทั้งนั้น" วายุปฏิเสธเสียงแข็ง พูดเหมือนหลอกตัวเองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตนคิดไม่ซื่อกับเด็กสาว"ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะพี่ที่จะดูไม่ออก พี่เล่นหึงหวงคุณหนูกับผมขนาดนี้พี่ยังจะหลอกตัวเองอีกเหรอ" ภีมเถียงกลับอย่างรู้ทัน รุ่นพี่ของเขาโมโหหึงเด็กสาวซะขนาดนั้นทำไมเขาจะดูไม่ออก "ไร้สาระ กูบอกว่ากูไม่ได้คิดอะไร กูไม่มีทางชอบคุณหนูเพราะกูไม่ชอบเด็ก สำหรับกูเด็กอย่างคุณหนูมันน่ารำคาญ" วายุยังคงพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ มองหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาดุดัน เขารู้ตัวเองดีว่าคิดยังไงกับเด็กสาว ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องมายอมรับความรู้สึกของตัวเองต่อหน้ารุ่นน้อง หรือต้องมาบอกว่าเขาชอบเด็กสาว
หลายวันต่อมาตอนนี้มิราได้สอบปิดภาคเรียนที่สองและจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม โดยระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาเธอได้ส่งไลน์หาบอดี้การ์ดคนของใจทุกคืน ใจจริงเธออยากไลน์หาเขาแทบทุกเวลาที่เธอว่างเลยด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเขาจะรำคาญเธอเสียก่อน เลยไลน์หาเขาแค่ตอนก่อนนอนเพื่อบอกชอบบอกคิดถึงและบอกฝันดี ถึงแม้เขาจะตอบกลับบ้างไม่ตอบบ้างก็ตาม แค่เธอได้ไลน์หาเขาทุกคืนก่อนนอนและเห็นว่าเขาอ่านไลน์ทุกข้อความที่เธอส่งไป แค่นี้เธอก็พอใจแล้วบริเวณโต๊ะริมสระว่ายน้ำของคฤหาสน์หลังใหญ่"พี่ภีมคะ พี่วายุไปไหนเหรอคะ" มิราที่เดินออกมาจากในบ้าน เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของบอดี้การ์ดคนสนิท แล้วเอ่ยถามหาบอดี้การ์ดคนของใจเมื่อไม่เห็นเขา พลางกวาดสายตามองหาร่างสูงของเขาไปด้วย ปกติบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอทั้งสองคนจะตัวติดกันตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยด้านภีมที่นั่งอยู่ก็หันมาตามเสียง ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าเจ้าของเสียงหวานที่เอ่ยถามเขา โดยยืนอยู่ในท่ากุมมือไว้ด้านหน้าหรือท่าประจำของบอดี้การ์ด แล้วเอ่ยตอบออกไป"พี่วายุไปเข้าห้องน้ำครับ คุณหนูมีอะไรใช้ผมก็ได้
เวลาอาหารมื้อเย็น ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ มีประมุขของบ้านหรือเดชานั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร และมีคนเป็นลูกสาวหรือมิรานั่งเก้าอี้ตัวถัดมาเยื้องกับผู้เป็นพ่อ"เออ จริงสิ ยัยหนูจำพี่มาตินลูกชายเพื่อนพ่อได้ไหมลูก" เดชาเอ่ยถามลูกสาวของตนเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเด็กหนุ่มที่ตัวเองหมายปองอยากได้มาเป็นลูกเขยด้านมิราที่กำลังกินข้าวอยู่จึงเงยหน้ามาพูดกับคนเป็นพ่อด้วยท่าทีปกติ"พี่มาตินลูกชายคุณลุงมานพน่ะเหรอคะ"โดยมีสายตาคู่คมของบอดี้การ์ดคนใหม่ที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังของเธอไม่ห่าง มองเธออยู่ตลอดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง"ใช่ครับ ตอนนี้พี่เขาเรียนจบโทแล้วนะลูก เห็นว่าอาทิตย์หน้าจะกลับไทยแล้ว" ขณะที่ปากขยับพูด เดชาก็มองสังเกตท่าทีของลูกสาวไปด้วย ว่าจะมีอาการหรือแสดงความดีใจอะไรออกมาหรือเปล่าเมื่อรู้ว่าลูกชายของเพื่อนเขากำลังจะกลับไทย"ค่ะ" แต่ทว่ามิราแค่เพียงพยักหน้าตอบสั้นๆเป็นการรับรู้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยไม่ได้สนใจอะไรคนเป็นพ่อเห็นเช่นนั้นจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อลูกสาวดูไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นกับการกลับมาของอีกคนเลย ผิดกับตอนเด็กที่เวลาลูกชายเพื่อนเขามาที่บ้าน ลูกสาวของเขาก็จะวิ่งหน้าตั้งเข้า
