ยามเหม่า (05:00-06:59) สองสามีภรรยาตื่นเช้าเช่นเคย วันนี้หวังลี่หมิงตั้งใจว่าจะเข้าป่าล่าสัตว์เช่นเคย แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีเงินจากการขายเห็ดหลินจือได้แต่เงินนั้นใช้ไปเรื่อยๆวันนึงมันก็ต้องหมด เพราะงั้นหวังลี่หมิงจึงคิดว่าตอนที่ยังมีแรงควรหาเก็บไว้ดีกว่าภายภาคหน้าภรรยาของเขาจะได้มิลำบาก
"ท่านพี่จะเข้าป่ารึขอรับ" หลี่เฟินหนิงเห็นสามีเตรียมอุปกรณ์สำหรับเข้าป่าจึงเอ่ยถาม
"ใช่ พี่ว่าจะลองเข้าป่าดูสักหน่อยเผื่อจะได้สัตว์อะไรมาบ้าง" หวังลี่หมิงเอ่ยตอบภรรยา
"งั้นข้าขอไปด้วยอีกได้หรือไม่ขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยถาม เขาอยากเข้าป่าอีกครั้งเผื่อว่าเจอของดีอีก
"พี่ว่าเจ้าพักอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรือ" หวังลี่หมิงไม่อยากให้ภรรยาต้องเหน็ดเหนื่อย หรือเจออันตรายในป่า
"ข้าอยากไปกับท่านพี่ขอรับ ข้ามีเรื่องจะบอกท่านพี่ด้วย" หลี่เฟินหนิงคิดจะบอกหวังลี่หมิงเรื่องมิติ เพราะอย่างไรเสียหวังลี่หมิงก็มิใช่คนโลภมากอีกทั้งยังเป็นสามีของเขา
"งั้นวันนี้พี่จะพาเจ้าไปหาของป่าตามลำธาร" หวังลี่หมิงไม่อยากให้ภรรยาต้องเหนื่อยจึงเปลี่ยนจากการล่าสัตว์ในป่าลึกเป็นการหาของป่าแถวลำธารที่อยู่ไม่ไกลมากแทน
"ขอรับ" หลี่เฟินหนิงขอตัวไปเตรียมตัว จากนั้นทั้งสองก็ทานมื้อเช้าเป็นหมั่นโถวกับน้ำแกง ก่อนจะออกเดินทางมุ่งสู่ป่าที่มีลำธาร
สองสามีภรรยาเดินสำรวจตามทางได้สมุนไพรและผักป่ามาพอสมควรจนมาถึงแถวลำธารหลี่เฟินหนิงมองเห็นกุ้งตัวโตก็น้ำลายสอจึงขอให้สามีจับมาให้
"น้องจะเอามันไปทำอะไรหรือ" หวังลี่หมิงเอ่ยถามภรรยาว่าต้องการสัตว์ประหลาดเปลือกเเข็งนั่นไปทำอะไร
"ข้าจะนำไปทำอาหารขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยตอบสามี
"ทำอาหารรึ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นมันกินได้ด้วยอย่างนั้นหรือ" หวังลี่หมิงเอ่ยถามอย่างสงสัย เขามั่นใจว่ามิมีผู้ใดนำสัตว์ประหลาดนี่ไปทำอาหารอย่างแน่นอน
"ท่านพี่ สิ่งนี้มันเรียกว่ากุ้งแม่น้ำขอรับ มันกินได้" หลี่เฟินหนิงไม่รู้ว่าเขาทะลุมิติมาช่วงเวลาไหนคนถึงไม่รู้จักกุ้งกัน คนพวกนี้พลาดของอร่อยเสียแล้ว
"ถ้าเจ้าบอกว่ากินได้พี่ก็จักเชื่อ เจ้าต้องการมากน้อยเท่าใด" หวังลี่หมิงเอ่ยถามภรรยา ถ้าภรรยาบอกว่ากินได้นั้นย่อมหมายความว่ามันกินได้อย่างแน่นอนมิมีอะไรต้องสงสัย
"เอาเยอะๆเลยขอรับ" หลี่เฟินเอ่ยบอกสามี หวังลี่หมิงจึงเก็บกุ้งให้ภรรยามาเกือบเต็มตะกร้าสะพายหลังเลยทีเดียว
ยามอู่ (11:00-12:59) สองสามีภรรยาก็มานั่งทานอาหารที่ริมลำธารโดยที่หลี่เฟินหนิงลงมือเผากุ้งให้กับหวังลี่หมิงได้กิน หวังลี่หมิงได้ลองกินเจ้าสัตว์ประหลาดครั้งแรกก็ถูกอกถูกใจใหญ่แม้จะเป็นกุ้งเผาเปล่าๆไม่มีน้ำจิ้มก็ตาม
"เจ้านี้รสชาติดียิ่งนักหนิงเอ๋อร์" หวังลี่หมิงพูดประโยคนี้เป็นรอบที่สิบแล้ว เขาไม่นึกว่าเจ้าสัตว์ประหลาด โอะ กุ้งแม่น้ำจะรสชาติดีขนาดนี้
"ถ้าอร่อยเย็นนี้ข้าจะนำมันมาทำอาหารให้ท่านพี่กินอีกดีหรือไม่ขอรับ" หลี่เฟินเอ่ยบอกสามี ด้วยรอยยิ้ม
"ดี ดียิ่งนัก ต้องลำบากเจ้าแล้วหนิงเอ๋อร์" หวังลี่หมิงตอบรับอย่างมีความสุข
"ไม่ลำบากอันใดเลยขอรับ" หลี่เฟินเอ่ยบอกสามี
"เอ่อ ว่าแต่ที่เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะบอกพี่คือเรื่องอะไรหรือ" หวังลี่หมิงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นภรรยามีเรื่องจะบอกจึงเอ่ยถาม
"คือมันเป็นอย่างนี้ขอรับ...." หลี่เฟินหนิงบอกซ้ายมองขวาก่อนจะพูดสิ่งที่ตนต้องการจะบอก
"เมื่อวานหลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จข้าสังเกตให้ปานรูปดอกไม้ที่ข้อมือ ข้าจำได้ว่ามันไม่เคยมีมาก่อนเมื่อลองแตะดูก็รู้สึกเหมือนถูกดึง แล้วตัวข้าก็ไปโผล่ยังที่ที่นึง ที่นั่นอุดมสมบูรณ์มากเลยขอรับ มีทั้งสัตว์ต่างๆมากมายพอข้าลองแตะไปที่ตัวของสัตว์เหล่านั่นกลับได้เป็นเนื้อสัตว์ออกมา อีกทั้งผลไม้ สมุนไพร หรือแม้กระทั่ง สิ่งต่างๆที่ข้าไม่เคยเห็นและคิดว่าไม่มีในที่แห่งนี้กลับมีในนั้นขอรับ ตอนที่ข้ากำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นข้าได้ยินเสียงของเทพเซียนท่านหนึ่ง เทพเซียนท่านนั้นบอกแก่ข้าว่านี่คือ มิติที่มอบให้แก่ข้า เพราะสงสารชะตาชีวิตของข้าขอรับ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแต่มันเกิดขึ้นจริงๆขอรับ"
"ท่านเทพเซียนช่างใจดีกับเจ้านัก แต่การมีสิ่งนี้ติดตัวย่อมเป็นอันตราย คนโลภมีอยู่ทุกหนแห่ง เจ้าจงอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร" หวังลี่หมิงเอ่ยบอกภรรยาด้วยความเป็นห่วง ภายในใจรู้สึกถึงความสับสนบางอย่างขึ้นมา
"ขอรับ เอ่อ ท่านพี่เป็นอะไรรึเปล่าขอรับ" หลี่เฟินเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสีหน้าของหวังลี่หมิงไม่สู้ดีนัก
"ตอนนี้เจ้ามีทั้งมิติวิเศษและเงินแล้ว เจ้าคิดจะหย่ากับพี่หรือไม่" หวังลี่หมิงก้มหน้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ความกังวลและหวาดกลัวว่าจะได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกครั้งจู่โจมเข้ามาในหัวใจ ตอนนี้หลี่เฟินหนิงมีสิ่งที่สามารถทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นแล้วไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะมาจมปลักอยู่กับคนหน้าตาอัปลักษณ์ทั้งยังยากจนอย่างเขา คนน้องสามารถไปใช้ชีวิตดีๆในตัวเมืองได้ด้วยซ้ำ ส่วนเขาก็กลับไปเป็นไอ้ตัวลัปลักษณ์ที่ไม่มีใครต้องการเช่นเดิม หลี่เฟินหนิงเห็นสีหน้าเศร้าส้อยของสามีก็คลี่ยิ้มบางเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะพูดขึ้น
"ท่านพี่ ข้าไม่เคยคิดหย่ากับท่าน ตั้งแต่ที่ข้าฟื้นขึ้นมาจากความตายครานั้นตัวข้าคิดเพียงแค่ว่าจะทำเยี่ยงไรให้ความเป็นอยู่ขเงเราสองคนดีขึ้น แม้จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้ายังไม่คิดที่จะไปจากท่าน เว้นเสียเพียงแต่ท่านไม่ต้องการข้าหรือท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อข้าเท่านั้นข้าถึงจะหย่ากับท่าน"
"พี่ไม่มีทางไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้า อีกอย่างพี่อัปลักษณ์เช่นนี้มิมีผู้ใดมาสนใจเจ้ามิต้องเป็นกังวล หรือต่อให้มีพี่ก็จะมีเพียงเจ้าเป็นภรรยาคนเดียว หนิงเอ๋อร์ได้โปรดให้โอกาสให้พี่ได้ดูแลเจ้า" หวังลี่หมิงมองหน้าภรรยาอย่างเว้าวอน
"ขอรับ เราสองคนจะดูแลกันและกันเช่นนี้ตลอดไปดีหรือไม่ขอรับ" หลี่เฟินหนิงยิ้มให้สามีอย่างอ่อนโยน
"ดียิ่งนัก ขอบใจเจ้าที่ให้โอกาสพี่" หวังลี่หมิง
สองสามีภรรยาเดินป่าหาสมุนไพรเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยแล้วกลับมาจับกุ้งที่ลำธารเพื่อนำไปทำเป็นอาหารเย็น กว่าจะเดินทางลงจากเขากลับถึงบ้านก็เป็นยามเชิน (15:00-16:59) แล้ว พอถึงบ้านทั้งสองก็หยุดชะงักเมื่อมีคนสองคนเดินมาดักหน้าพวกเขาไว้เสียก่อน
"ท่านแม่ พี่สะใภ้" หวังลี่หมิงเอ่ยเรียกสองคนเสียงแผ่วเบา
"ใครอนุญาตให้แกเรียก.... อะ เอ่อ อาหมิงเจ้าสบายดีหรือไม่" นางหลินเจียกำลังเอ่ยตวาดด่าลูกชายน่าชังว่าใครอนุญาตให้มันเรียกตนว่าแม่แต่ถูกลูกสะใภ้สะกิดเข้าเสียก่อนไม่อย่างนั้นแผนการที่จะมาหลอกเอาเงินไอ้อัปลักษณ์นี่ได้พังลงเป็นแน่
"ข้าสบายดีขอรับ ท่านแม่มีธุระอันใดกับข้ารึขอรับ" หวังลี่หมิงแม้จะรู้แปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นแม่แต่ลึกๆเขาก็รู้สึกดีใจที่ท่านแม่ยอมพูดจาดีๆกับเขา น้ำเสียงอ่อนโยนจากคนที่หวังลี่หมิงเฝ้ารอมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อรับรู้ถึงเหตุผลที่แม่ของตนมาในวันนี้
ตัดจบแบบงงๆ
เฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงถูกพามาที่ตำหนักเยว่ซินที่ฮ่องเต้ได้พระราชทานให้ ตัวตำหนักค่อนข้างกว้างขวางกว่าตำหนักของเหล่าสนมเสียอีก ภายในประดับด้วยของล้ำค่างดงามวิจิตร ภายนอกร่มรื่นด้วยไม้นานาพันธุ์และหลากสีสันด้วยดอกไม้หากยาก อีกทั้งมีลำธารน้ำจำลองพร้อมกับสะพานข้ามเล็กๆอยู่ นับว่าเป็นตำหนักที่งดงามมากเลยทีเดียว หน้าตำหนักมีนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่"ถึงแล้วพะยะค่ะ" หลีกงกงเอ่ยบอก"ขอบใจหลีกงกง" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"เป็นหน้าที่ของกะหม่อม พวกเจ้าดูแลองค์ชายและท่านชายให้ดี" หลีกงกงหันไปสั่งนางกำนัลทั้งสองคน"เจ้าค่ะ""องค์ชายหก ท่านชายเฝิง กระหม่อมขอตัวลา" หลีกงกงคำนับก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก"ถวายพระพรองค์ชายหก ท่านชายเฝิงเพคะ" นางกำนัลทั้งสองคนย่อคุกเข่าหนึ่งข้างเป็นการเคารพเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์"พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"ขอบพระทัยองค์ชายหก" นางกำนัลทั้งสองคนยืนขึ้นประสานมือไว้ด้านหน้าและก้มหน้าเล็กน้อย"พวกเจ้ามีชื่อว่าอันใดหรือ" เซียวเฟินหนิงเอ่ยถาม"ทูลองค์ชาย หม่อมฉันเจียวหลินเพคะ""หม่อมฉัน เจียวเจียวเพคะ""อ้อ" เซียวเฟินหนิงมองหน้าสามีเพราะไม่รู้ว่าต้องทำ
"ท่านเจ้าเมืองมาพอดี สามีภรรยาสองคนนี้มาขัดขวางไม่ให้ข้านำบุตรสาวไปให้ท่านขอรับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างนอบน้อม ท่านเจ้าเมืองหันไปมองทางด้านสองสามีภรรยาก็ต้องตกตะลึง ใบหน้างดงามนี่คืออันใดกัน เทพเซียนมาลงมาจากสวรรค์หรือ"เจ้าสนใจมาเป็นฮูหยินรองของข้าหรือไม่" เจ้าเมืองซานหลีใช้สายตาแทะโลมอย่างไม่ปิดปัง เฝิงลี่หมิงถึงกับกัดฟันกรอด"อย่ามายุ่งกับภรรยาข้า!" เฝิงลี่หมิงดึงภรรยามาหลบด้านหลังก่อนจะตวาดลั่นดวงตาจ้องเขม็งไปที่ชายตรงหน้าราวกับจะฆ่าทิ้งเสีย"เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้างั้นรึ! พวกเจ้าสั่งสอนมันเสียแล้วนำเกอผู้นั้นมาให้ข้า" เจ้าเมืองซานหลีหันไปสั่งมือปราบ เซียวเฟินหนิงถึงกับขมวดคิ้ว ไอ้แก่บ้ากามนี่มันถึงกับกล้าคิดจะฉุดภรรยาผู้อื่นต่อหน้าคนมากมายเชียวหรือ"หยุด! ท่านเจ้าเมือง นั่นภรรยาผู้อื่นนะขอรับ ท่านจะฉุดพรากภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้!" นายอำเภอที่เหมือนจะหมดความอดทนกับเหตุการณ์เหล่านี้เอ่ยขึ้น"เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า! จัดการมัน" เจ้าเมืองซานหลีเอ่ยเหล่ามือปราบก็ตรงมาหาสองสามีภรรยาทันที"ท่านพี่ ดูเหมือนว่าเมืองซานหลีต้องการเจ้าเมืองใหม่เสียแล้ว" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกสามี"พี่ก็ค
เพราะต้องอัญเชิญป้ายวิญญาณของมารดาและบิดาของเซียวเฟินหนิงไปที่เมืองหลวงสองสามีภรรยาจึงต้องจัดแบ่งงานให้กับคนงานอย่างชัดเจน ตอนนี้พวกเขารับคนในหมู่บ้านให้มาทำงานเพิ่มแล้วรวมถึงบิดาบุญธรรมอย่างท่านเจ้าเมืองก็สั่งให้คนมาคอยดูแลระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่"ระหว่างที่พวกข้าไม่อยู่ก็ให้พวกท่านก็ทำตามที่ข้าแบ่งหน้าที่ไว้ให้นะขอรับ" เฝิงลี่หมิงแม้จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายแต่เขาก็ยังคงพูดจานอบน้อมเช่นเดิม"การไปเมืองหลวงครั้งนี้อาจใช้เวลาร่วมเดือนหากพวกท่านมีปัญหาอันใดให้แจ้งกับท่านลุงเมิ่งได้เลยนะขอรับ เขาจะเป็นผู้ดูแลพวกท่านระหว่างที่ข้ากับท่านพี่ไม่อยู่" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกแก่คนงาน "พะยะค่ะ" เหล่าคนงานเอ่ยรับมองดูเจ้านายทั้งสองด้วยสายตาที่ชื่นชม ดูสิจากเด็กน้อยที่ถูกครอบครัวขับไล่ออกจากตระกูลมาวันนี้ได้เป็นท่านชายองค์ชายเสียแล้ว ณ จวนเจ้าเมืองซานหลางเฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงอยู่ในชุดสีขาวจากผ้าไหมชั้นดีดูงดงามและสูงศักดิ์ปักลวดลายด้วยดิ้นเงิน เฝิงลี่หมิงสวมใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าสีเงินที่ชินอ๋องประทานให้ยิ่งทำให้ดูสง่างามลึกลับน่าค้นหา ทั้งสองแม้อยากจะคุกเข่าคำนับลาบิดามารดาบุญธรรมเม
"บังอาจ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าชินอ๋อง!! " เสียงขององครักษ์ประจำตัวชินอ๋องประกาศกร้าวสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่พากันมาชมเหตุการณ์เมื่อรู้ว่าบุรุษที่มากับท่านเจ้าเมืองนั้นเป็นผู้ใด"กะ โกหก ชินอ๋องจะมาทำอะไรที่นี่และคงไม่แต่งงานธรรมดาเช่นนี้ เจ้าอย่ามาแอบบอ้าง" หลี่อู๋เจี๋ยพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อแม่ว่าชาสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วก็ตาม ชินอ๋องยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกับม้วนกระดาษที่มีตรามังกรปิดผนึกอยู่"ฝ่าบาทมีราชโองการ พวกเจ้าคุกเข่าลง! " ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็พากันคุกเข่าลงทั้งสองข้าง"หลี่เฟินหนิงรับราชโองการ ทางราชสำนักสืบทราบมาว่า ฮูหยินน้อยเฝิง หลี่เฟินหนิง เป็นบุตรขององค์ชายรอง เซียวเฟยเยี่ยน ที่หายสาบสูญไปจึงนับว่ามีสายเลือดราชวงศ์ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งแต่งตั้งหลี่เฟินหนิงเป็น องค์ชายหกหลี่เฟินหนิง สามารถใช้แซ่เซียวได้ตามมารดาโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสกุลเดิม พระราชทานผ้าไหมชั้นดี 20 หีบ ผ้าไหมปักดิ้นทอง 10 หีบ ไข่มุก สวรรค์ 10 หีบ ไข่มุกนิลกาฬ 20 หีบ เครื่องเพชร 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ลวดลายหงส์ 1 หีบ เงินจำนวน 100,000 ตำลึงทอง คุณชายเฝ
ตำหนักชินอ๋องย้อนกลับไปก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนจดหมายถึง ชินอ๋องเซียวเฟยเทียนถวายพระพรชินอ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองซานหลางให้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพระองค์ เมื่อไม่นานมานี้ท่านเจ้าเมืองได้ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีลอบทำร้ายแต่ได้มีบุรุษผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บุรุษผู้นั้นมีจุดเด่นคือปานสีดำขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้าด้านขวาคราแรกท่านเจ้าเมืองเพียงรู้สึกซาบซึ้งใจจึงเชิญให้ชายผู้นั้นมาพบที่จวนเพื่อตอบแทนแต่ภายหลังฮูหยินเฝิงรู้สึกถูกชะตาทั้งยังเห็นใจที่สองสามีภรรยาถูกครอบครัวรังแกจึงรับชายผู้นั้นเป็นบุตรบุญธรรม ชายผู้นั้นมีภรรยาเป็นเกอคราเเรกที่ท่านเจ้าเมืองและฮูหยินได้พบใบหน้าของภรรยาชายผู้นั้นทั้งสองรู้สึกคุ้นเคยใบหน้านั้นจึงรีบให้กระหม่อมเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งถึงพระองค์ เกอผู้นั้นมีนามว่า หลี่เฟินหนิง บิดามีนามว่า หลี่อู๋ซิน ส่วนมารดามีนามว่า เซียวเฟยเยี่ยน เกอผู้นั้นบอกว่าบิดามารดาของตนได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ตนเพิ่งมีอายุเพียงเก้าหนาว ที่สำคัญคือเกอผู้นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับองค์ชายรองถึงแปดส่วน ท่านเจ้าเมืองให้กระหม่อมบอกแก่ท่านอ๋องว่าหากต้องการมาพบเกอผู้นี้ก็ให้รอฤดูหนาวผ่านพ้
การแจกจ่ายอาหารจากสองสามีภรรยายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าหิมะจะตกลงมาอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เองก็เช่นกัน เพียงแต่วันนี้เขาเห็นว่าดูเหมือนจะมีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นมาด้วยหลี่เฟินหนิงจึงเดินเข้าไปสอบถามกลุ่มชาวบ้านที่เพิ่งลงมาจากเกวียน"พวกท่านมาทำอันใดกันหรือขอรับ" หลี่เฟินหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ สายตากวาดดูชาวบ้านราวๆ 30 กว่าคนกับเกวียนสี่เล่มมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่"พวกเราได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้แจกจ่ายอาหาร พวกเราจึงรวมเงินกันจ้างเกวียนเพื่อมาดูเจ้าค่ะว่าพอจะมีอาหารปันให้พวกเราบ้างไหม" สตรีวัยกลางคนถามอย่างกล้าๆกลัวๆ พวกเธอเป็นคนต่างหมู่บ้านไม่รู้ว่าจะได้รับอาหารที่แจกหรือไม่แต่นี่เป็นทางรอดระหว่างรอความช่วยเหลือจากทางการผู้ใหญ่นั้นยังพออดทนได้แต่เด็กและคนแก่นี่สิ"พวกท่านมาจากต่างหมู่บ้านกันหรือขอรับ แล้วเดินทางมาไกลหรือไม่" หลี่เฟินหนิงเอ่ยถาม"ใช่เจ้าค่ะ หมู่บ้านของพวกเราอยู่ห่างไป 10 ลี้ลึกเข้าไปในหุบเขาทำให้การช่วยเหลือจากทางการมาช้ากว่าหมู่บ้านอื่น" สตรีวัยกลางคนอีกคนตอบ"ไกลอยู่นะขอรับ แล้วพวกท่านทราบได้อย่างไรขอรับว่าที่นี่มีอาหารแจกชาวบ้าน" "มีคนจากหมู่บ้านนี้นำอาหารไปให้ญาติที
เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงพากันเดินเท้ามาที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน ระหว่างทางก็ได้เห็นชาวบ้านที่เริ่มออกมากวาดหิมะและพูดคุยกัน ชาวบ้านหลายคนต่างมองว่าสองสามีภรรยานั้นจะเดินไปที่ใด เมื่อเห็นว่าทั้งสองไปหยุดที่หน้าบ้านของผู้นำหมู่บ้านก็หันมาพูดคุยเรื่องอื่นต่อ ผู้ใดจะกล้าไปยุ่งเรื่องของบุตรบุญธรรมของท่านเจ้าเมืองกันเล่า"คาระวะท่านป้าจาง ท่านลุงจางอยู่หรือไม่ขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยถามนางจางเหม่ยที่กำลังกวาดหิมะอยู่ลานหน้าบ้าน"อยู่ๆ เจ้าสองคนมีธุระอันใดเล่า" นางจางเหว่ยที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าทีต่างจากเมื่อก่อนจนสองสามีภรรยาได้แต่แปลก"ข้ากับภรรยาจะมาพูดคุยเรื่องทำอาหารแจกชาวบ้านน่ะขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยตอบ"เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาพูดคุยกันในบ้านเถิด อากาศข้างนอกหนาวเย็นประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา" นางจางเหว่ยรีบเชิญทั้งสองคนเข้ามาบ้านทันที"อ้าวลี่หมิง เฟินหนิง เจ้าสองคนมีอันใดหรือ" เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบกับจางเหว่ย"คาระวะท่านลุงจางขอรับ" สองสามีทำการคำนับผู้อาวุโสกว่าทันที"ที่ข้าสองคนมาวันนี้เพราะมีเรื่องให้ท่านลุงจางช่วยขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอก"เรื่องอันใดรึ" จางเหว่ยถามอย่างสงสัย ยังมีเรื่อง
"ไอ้ลูกอกตัญญู หากเจ้าไม่ยอมให้เงินและสะเบียงกับพวกข้าเช่นนั้นเจ้าก็มิต้องใช้แซ่หวังอีก" หวังหยวนคุนพูดอย่างโมโห"บุตรชายของข้าคงไม่กล้าใช้แซ่หวังอันสูงส่งของเจ้าหรอก" เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองพบเป็นบุรุษวัยกลางคนแต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดีดูภูมิฐาน เมื่อผู้นำหมู่บ้านเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบทำการคำนับทันที"ข้าน้อย จางเหว่ย ผู้นำหมู่บ้านเซียนซาน คาระวะท่านเจ้าเมืองขอรับ" "ตามสบายเถิดท่านผู้นำจาง" เฝิงคงหรันพูดอย่างเป็นกันเอง เหล่าชาวบ้านเมื่อทราบว่าผู้ที่มาเป็นใครก็ต่างพากันตกใจและสงสัยว่าเหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงมาอยู่ที่นี่"คาระวะท่านพ่อขอรับ" เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงทำการคำนับบุรุษผู้น่าเกรงขาม คำที่ใช้เรียกยิ่งสร้างความตกใจตะลึงให้แก่ชาวบ้านและครอบครัสตระกูลหวัง"ท่านพ่องั้นหรือ""เหตุใดทั้งสองถึงเรียกท่านเจ้าเมืองว่าท่านพ่อเล่า""ท่านพ่อมีธุระอันใดหรือขอรับถึงได้มาถึงที่นี่" เฝิงลี่หมิงไม่ได้สนใจเสียงซุบซิบของชาวบ้านแต่อย่างใด เขาเอ่ยถามธุระของพ่อบุญธรรมทันที"มารดาของเจ้าให้พ่อมาดูว่าบ้านของเจ้าเป็นเช่นไร ฤดูหนาวนี้จะอยู่ได้หรือไม่นางเป็นห่วงเกรงว่าเจ้ากับสะใภ้จะลำบาก" เ
เมื่อฤดูหนาวมาถึงการเก็บเกี่ยวก็เสร็จสิ้นพอดีตอนนี้สองสามีภรรยากำลังจ่ายค่าแรงวันสุดท้ายให้กับเหล่าคนงานก่อนที่หิมะเเรกจะมาเยือน เหล่าคนงานต่างพากันเหงาหงอยเพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่ถูกจ้างอีกเลยแต่ก็เข้าใจเพราะที่ผ่านมารายได้จากการทำงานที่นี่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ลำบาก"ท่านใดรับเงินไปแล้วรอสักครู่นะขอรับ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับพวกท่าน" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอกคนงานก่อนที่พวกเขาจะเดินกลับไป คนงานจึงอยู่รอฟังและได้แต่หวังว่าสองสามีภรรยาจะบอกว่าจะจ้างพวกเขาหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไป เพื่อจ่ายค่าแรงให้คนงานครบทุกคนเฝิงลี่หมิงจึงพูดขึ้น"ทุกท่านครับ ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังกังวลว่าข้ากับภรรยาจะเลิกจ้างพวกท่านข้าจึงอยากอธิบายว่าข้าจะหยุดจ้างงานแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้นขอรับ เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปข้าจะให้ทุกท่านกลับมาทำงานอีกครั้ง" สิ้นประโยคเหล่าคนงานก็ต่างส่งเสียงเฮด้วยความดีใจที่พวกเขายังจะได้ทำงานกับนายจ้างดีๆเช่นนี้"เรื่องต่อไปคือข้าอยากจะขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจทำงานให้ข้า""เจ้าไม่ต้องขอบใจพวกข้าหรอกหวังลี่หมิง ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกเจ้าสองคนที่ให้งานพวกข้าอีกทั้งยังเลี้ยงอาหารดีๆให้พวกข้าไ