ยามอิ๋น (03:00-04:59) สองร่างที่นอนเปลือยเปล่ากอดกันอยู่ก็ตื่นขึ้น หลี่เฟินหนิงได้แต่ก้มหน้าด้วยความเขินอายแต่ในใจกับเข่นเคี้ยวสามีที่ทำให้เขาปวดเนื้อปวดตัวไปหมด
'ข้าเพิ่งรู้ว่าสามีเป็นคนกินจุเช่นนี้' หลี่เฟินหนิง 'ภรรยา ของข้าช่างเขินอายได้น่ารักยิ่งนัก' หวังลี่หมิง แม้จะเขินอายมากเท่าใดแต่พวกเขาก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำ ทั้งสองลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวของตนเองให้เรียบร้อยแล้วจึงพากันขนของขึ้นเกวียน สองสามีภรรยามาถึงแผงขายในยามเหม่า (05:00-06:59) ก็พบว่ามีผู้คนมารออยู่เต็มหน้าร้าน ทั้งสองจึงรีบขนของลงจากเกวียนเพื่อตั้งร้าน "มาแล้วเหรอ" "พ่อค้าข้านึกว่าท่านจะไม่มาซะแล้ว" "ทุกท่านใจเย็นๆก่อนนะขอรับ รอข้าตั้งร้านและย่างหมูสักครู่หรือหากใครมีธุระก็ไปทำก่อนได้ค่อยกลับมาซื้อนะขอรับ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอกลูกค้าในขณะที่หวังลี่หมิงเริ่มก่อไฟ เมื่อเสร็จจึงให้หลี่เฟินหนิงนำหมูกับไก่มาย่างก่อนที่ตนจะขอตัวนำเกวียนไปจอดไว้ที่จอดเกวียน ส่วนลูกค้าก็ไม่มีใครไปไหนเพราะกลัวว่าจะกลับมาซื้อไม่ทันพวกเขาจึงพากันเข้าแถวรอ ผ่านไปสักพักหมูและไก่บางส่วนก็เริ่มสุกหลี่เฟินหนิงจึงให้หวังลี่หมิงที่กลับมาจากการนำเกวียนไปจอดแล้วมาดูแลเรื่องการย่างแทน ส่วนตัวเองก็มาทำหน้าที่รับลูกค้าที่ดูเหมือนว่าจะมารอนานแล้ว เหตุที่มีลูกค้ามารอตั้งแต่เช้าเพราะเนื่องจากว่าเมื่อวานคนที่มาซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งไก่ปิ้งร้านนี้นำไปบอกต่อนั่นเอง เหตุการณ์เมื่อวาน "นั่นพวกเจ้าถืออะไรมารึ" "ข้าวเหนียวหมูปิ้งน่ะสิ เมื่อเช้ามีร้านเปิดใหม่มาขายอยู่หน้าตลาดพวกข้าจึงซื้อมากินดู" "ใช่ ของข้าเป็นข้าเป็นข้าวเหนียวไก่ปิ้ง" "ไหนๆ พวกเจ้าแกะให้ข้าดูหน่อย" ชายที่ไม่ได้ซื้อเอ่ยรบเร้าเพื่อนร่วมงาน เมื่อแกะออกก็ถึงกับตาเบิกกว้าง "เพ้ย เหตุใดพวกเจ้าจึงมีเงินซื้อเนื้อมากขนาดนี้กันเล่า" ชายคนเดิมถึงกับตกใจอาหารจานเนื้อที่เพื่อนนำมา นี่มันข้าวกับหมูหกไม้ หมูหกไม้เชียวนะ! อีกคนก็เป็นเนื้อไก่ที่ขนาดใหญ่กว่าเนื้อหมูตั้งสามไม้ "อาหารนี้ข้าซื้อมาเพียง 5 อีแปะเท่านั้น" "ส่วนของข้า 3 อีแปะ อาหารที่ร้านนั้นมีขายชุดเล็กกับชุดใหญ่ ชุดใหญ่คือแบบของเจ้านั่นได้หมูหรือไก่หกไม้ ส่วนชุดเล็กคือแบบของข้า" "ถูกขนาดนั้นเชียวรึ" ชายคนเดิมถึงกับตลึง แม้ว่าเงินห้าอีแปะจะซื้อบะหมี่ได้หนึ่งชามแต่ในบะหมี่นั้นกลับได้เนื้อเพียงชิ้นเดียวแถมเป็นชิ้นเนื้อที่บางมาก แต่ดูอาหารจานเนื้อราคาห้าอีแปะกับสามอีแปะตรงหน้าเขาตอนนี้สิชาวบ้านอย่างพวกเขาสามารถแบ่งกินได้ตั้งสองมื้อ ชายหนุ่ม หมายมั่นว่าพรุ่งนี้เขาจะไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านนั้นให้ได้ "นี่เจ้าได้กินข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านเปิดใหม่หรือยัง รสชาติดียิ่งนัก" "จริงดังเจ้าว่า ทั้งถูกทั้งอร่อย" "ตัวข้านั้นไม่ค่อยมีเงิน ปีนึงได้กินอาหารจานเนื้อเพียงหนึ่งครั้ง เมื่อวานข้าซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งชุดเล็กไปแบ่งกินกับหลานสองคนก็อิ่ม" พูดคนในเมืองต่างพูดถึงเมนูแปลกใหม่ที่ทั้งอร่อยและราคาถูกทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีเงินก็สามารถซื้ออาหารจานเนื้อกินได้ ทำให้หลายคนมารอซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งตั้งแต่เช้าเพราะกลัวว่าจะหมดก่อนเลยทีเดียว กลับมาปัจจุบัน หวังลี่หมิงย่างหมูปิ้งไก่ปิ้งมือระวิง ในขณะที่หลี่เฟินหนิงก็ต้องห่ออาหารให้ลูกค้าอย่างรวดเร็วเพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่รอนานจนพาลเกิดความโมโหเสียก่อน ในขณะที่สองสามีภรรยากับลังวุ่นวายกับหน้าที่องตนอยู่นั้น ตรงแถวของลูกค้าก็กำลังเกิดความวุ่นวายเช่นกัน "นี่แม่หญิง หากเจ้าต้องการซื้ออาหารร้านนี้เจ้าควรมาต่อแถว" ชายหนุ่มเอ่ยบอกคนที่กำลังเดินตรงไปที่แผงขาย "เหตุใดข้าต้องต่อแถว" หลี่เจี่ยอิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ นางเข้ามาในเมืองพบผู้คนมามายยืนต่อแถวนางจึงสอบถามพบว่าเป็นร้านขายอาหารจานเนื้อชื่อแปลกประหลาด เมื่อนางมองไปตรงแผงขายนางจึงได้เห็นว่าเป็นร้านของผู้ใด นั่นมันญาติผู้น้องน่าชังกับสามีอัปลักษณ์ของมันมิใช่หรือ เมื่อเห็นดังนั้นนางจึงจะเดินไปหาทันทีแต่ดันมีบุรุษหนุ่มเอ่ยขวางนางไว้เสียก่อน "เจ้าเห็นหรือไม่ว่าผู้อื่นเขากำลังต่อแถวกันอยู่ หากเจ้าต้องการซื้อก็จงไปต่อแถวเช่นผู้อื่นเถิด" บุรุษหนุ่มเอ่ยตอบ "เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด ข้าคือญาติผู้พี่ของพ่อค้าผู้นั้นข้ามิจำเป็นต้องต่อแถวรอเช่นพวกเจ้า" พูดจบหลี่เจี่ยอิงก็เชิดหน้าเดินตรงไปที่หน้าแผงขายทันที "ข้าเอาข้าวเหนียวหมูสิบชุด ข้าวเหนียวไก่สิบชุด รีบเอามาให้ข้าโดยเร็ว" หลี่เจี่ยอิงสั่งพลางเชิดหน้าจนคนมองได้แต่คิดว่าคอนางผู้นี้จะเคล็ดหรือไม่ "หากเจ้าต้องการซื้อก็ไปต่อแถว ท่านป้าต้องการรับอะไรดีขอรับ" หลี่เฟินหนิงที่จำได้ว่านี่คือหลี่เจี่ยอิง ญาติผู้พี่ในความทรงจำของหลี่เฟินหนิงคนเก่าเขาจึงไม่ใส่ใจและบอกปัดไป แล้วกลับมาสนใจลูกค้าตรงหน้า "นี่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าสั่งรึ" หลี่เจี่ยอิงตวาดเสียงดังจนผู้คนโดยรอบหันมามองและเริ่มซุบซิบกันว่า บุตรีบ้านใดกันหนอเหตุใดจึงมีกิริยาเช่นนี้ "ข้าบอกแล้วว่าหากเจ้าต้องการซื้อก็ไปต่อแถว" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอกเสียงเรียบ "ข้าไม่ต่อ เหตุใดข้าต้องไปต่อแถว เจ้าเอาของตามที่ข้าสั่งมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้" หลี่เจี่ยอิงเอ่ยเสียงดังลั่น นางต้องการกดข่มหลี่เฟินหนิงต่อหน้าคนจำนวนมากหวังให้อีกฝ่ายอับอาย โดยที่นางไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของนางต่างหากที่น่าอับอาย "ได้ เช่นนั้นเจ้าก็จ่ายเงินมาข้าจึงจะเอาของให้เจ้า" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอกเพื่อตัดปัญหา รีบเอาของให้ดีกว่านางจะได้รีบไป "เหตุใดข้าต้องจ่าย ข้าจะนำอาหารนี่ไปให้ท่านย่าเจ้าจะเก็บเงินกับข้าได้อย่างไร" หลี่เจี่ยอิงเอ่ยบอก นางจะมีเงินจ่ายได้อย่างไรตอนนี้ครอบครัวตระกูลหลี่มีเงินเหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น "ของซื้อของขายข้าจะให้เจ้าเอาไปโดยไม่จ่ายเงินได้อย่างไร หากเจ้าไม่มีเงินจ่ายก็เชิญออกไปเถิดตอนนี้มีผู้คนรอซื้ออีกมาก" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอก "นี่ไอ้เกอนอกคอก ข้าบอกว่าข้าจะนำมันไปให้ท่านย่าเจ้าไม่เข้าใจรึ" หลี่เจี่ยอิงพูดอย่างโมโห "ย่าก็ย่าเจ้าเกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า ข้าตัดขาดจากตระกูลแล้วเจ้าลืมไปแล้วรึ" หลี่เฟินหนิงเอ่ยบอกเสียงเรียบ เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้วนะ "นี่เจ้า ไอ้คนอกตัญญู" หลี่เจี่ยอิงชี้หน้าหลี่เฟินหนิงด้วยความไม่พอใจ "แม่นางเจี่ยอิง เจ้ากลับไปเสียเถิดอย่ามาก่อความวุ่นวายที่ร้านของพวกข้าเลย" หวังลี่หมิงเมื่อนำหมูขึ้นจากเตาหมดก็รีบมายืนข้างภรรยา พร้อมกับเอ่ยบอกคนตรงหน้า "ไอ้คนอัปลักษณ์นี่มิใช่เรื่องของเจ้า" หลี่เจี่ยอิงตวาดลั่น "เหตุใดจะมิใช่ ในเมื่อคนที่เจ้ายืนด่าอยู่นั้น คือภรรยาข้า" หวังลี่หมิงตอบเสียงนิ่ง เขาไม่พอใจอย่างมากที่อีกฝ่ายมาด่าภรรยาของเขา "ได้ๆ พวกเจ้าทุกคนรู้หรือไม่ ไอ้อัปลักษณ์กับไอ้เกอนอกคอกสองผัวเมียนี่มันเป็นตัวน่ารังเกียจ พวกเจ้าดูใบหน้าของมันสิน่าขยักแขยงสิ้นดี พวกเจ้าไม่รังเกียจรึหากต้องซื้ออาหารของพวกมันไปกิน" หลี่เจี่ยอิงหันไปตะโกนบอกผู้คนที่กำลังรอซื้ออาหารที่ร้านของหลี่เฟินหนิงหวังจะให้ทุกคนรังเกียจไม่มาซื้อของร้านของญาติผู้น้องน่าชังนี่ "เหตุใดพวกข้าต้องรังเกียจด้วยเล่า สตรีที่ทำตัวเช่นเจ้ามากกว่าที่น่ารังเกียจ" "ใช่ๆ มีปานแล้วอย่างไร อัปลักษณ์แล้วอย่างไร พวกเขาหาได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใดไม่" "คนที่น่ารังเกียจคือเจ้าต่างหากเล่า" "ข้าไม่อยากคิดเลยว่าผู้ใดจะกล้าแต่งนางเข้าตระกูล" "ข้าเห็นกิริยานางแล้วรู้ได้ทันที คนเราหาได้ควรมองกันที่ภายนอก" "เจ้าออกไปจากตรงนี้ซะ คนอื่นเขาจะซื้อของ" "ไปๆ" "พะ พวกเจ้า ฮึ่ย! " เสียงก่นด่าทำให้หลี่เจี่ยอิงรับไม่ได้รีบกระแทกเท้าเดินออกไปทันที ชาวบ้านในเมืองพวกเขามิได้สนว่าผู้ใดจะมีหน้าตาเช่นไรขอแค่คนผู้นั้นไม่ใช่คนชั่วก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างร้านของสองสามีภรรยาขายอาหารทั้งราคาถูกและอร่อยทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยสามารถกินเนื้อได้บ่อยขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดพวกเขาต้องรังเกียจด้วย "ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะขอรับที่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้" หวังลี่หมิงและหลี่เฟินหนิงโค้งตัวเพื่อขออภัยเหล่าลูกค้า "มิเป็นไรหรอกพ่อค้า นั่นไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน" "ใช่ๆ เป็นความผิดของสตรีหน้าหนาผู้นั้นต่างหาก" "มิเป็นไรข้ารอซื้อได้" "ขอบคุณพวกท่านที่เข้าใจ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแถมให้พวกท่านคนละหนึ่งไม้แทนการขอโทษก็แล้วกัน ส่วนคนที่ซื้อไม่ทันข้าจะให้ลงชื่อไว้แล้วข้าจะนำมาแถมให้ในวันพรุ่งนี้นะขอรับ" หลี่เฟินหนิงพูดจบเหล่าลูกค้าก็เฮลั่นดีใจกันใหญ่ที่จะได้ของแถวมาตั้งหนึ่งไม้ การขายวันนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานเพราะเกิดเรื่องวุ่นวาย แต่สุดท้ายของที่เตรียมมาก็หมดลงอยู่ดี บ้านตระกูลหลี่ "ฮึก ฮืออ " "โถ่ อิงเออร์หลานย่า" นางซูฮวาปลอบหลานรักพลางรู้สึกโกรธไอ้เกอนอกคอกนั่นที่บังอาจมาทำให้หลานของตนร้องไห้ "ข้า ข้าเพียงแต่อยากนำอาหารจานเนื้อมาให้ท่านย่าได้กิน แต่ข้ามิมีเงินเห็นว่าคนที่ายนั่นเป็นเฟินหนิงข้าเลยเอ่ยบอกว่าจะนำอาหารนี้มาให้ท่านย่า เพราะท่านย่ามิได้กินเนื้อมานานแล้วไม่คิดว่านอกจากเฟินหนิงจะเรียกเก็บเงินกับข้าแล้วยังด่าท่อให้ชาวบ้านหัวเราะเยาะข้าอีก ฮือออ" หลี่เจี่ยอิงร้องไห้พลางใส่ร้ายหลี่เฟินหนิงว่าตนเป็นผู้ถูกอีกฝ่ายรังแก "หนอย ไอ้เกอนอกคอกมันกล้าถึงเพียงนี้เชียวรึ!" นางซูฮวาพูดออกมาอย่างโมโห "ท่านแม่ ไอ้เกอนั่นทำเช่นนี้มันไม่เห็นหัวท่านแม่เลยนะเจ้าคะ" นางไป๋ฮวารีบยุแยงแม่สามี "รอให้พ่อสามีเจ้ากลับมาก่อนแล้วเราค่อยจัดการมัน เป็นแค่ลูกไอ้เกอแพศยากล้ามารังแกหลานข้าอย่างไรมันก็ต้องเห็นดีกัน" นางซูฮวาเอ่ยถึงสามีที่ไปทำงานต่างเมืองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับนางจึงต้องอดทนรอไปก่อน มิวายพาลด่าไปถึงมารดาของหลี่เฟินหนิงอย่างเกลียดชังโดยนางไม่รู้เลยว่าหากนางตรองดูหรือเอะใจสักนิดนางจะเห็นได้ว่าเกอที่นางด่าว่าเเพศยาและน่ารังเกียจนั้นมีแซ่เดียวกับคนที่อยู่เหนือผู้คนในแคว้นแห่งนี้ ยังไม่ได้แก้คำผิดเฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงถูกพามาที่ตำหนักเยว่ซินที่ฮ่องเต้ได้พระราชทานให้ ตัวตำหนักค่อนข้างกว้างขวางกว่าตำหนักของเหล่าสนมเสียอีก ภายในประดับด้วยของล้ำค่างดงามวิจิตร ภายนอกร่มรื่นด้วยไม้นานาพันธุ์และหลากสีสันด้วยดอกไม้หากยาก อีกทั้งมีลำธารน้ำจำลองพร้อมกับสะพานข้ามเล็กๆอยู่ นับว่าเป็นตำหนักที่งดงามมากเลยทีเดียว หน้าตำหนักมีนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่"ถึงแล้วพะยะค่ะ" หลีกงกงเอ่ยบอก"ขอบใจหลีกงกง" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"เป็นหน้าที่ของกะหม่อม พวกเจ้าดูแลองค์ชายและท่านชายให้ดี" หลีกงกงหันไปสั่งนางกำนัลทั้งสองคน"เจ้าค่ะ""องค์ชายหก ท่านชายเฝิง กระหม่อมขอตัวลา" หลีกงกงคำนับก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก"ถวายพระพรองค์ชายหก ท่านชายเฝิงเพคะ" นางกำนัลทั้งสองคนย่อคุกเข่าหนึ่งข้างเป็นการเคารพเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์"พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอก"ขอบพระทัยองค์ชายหก" นางกำนัลทั้งสองคนยืนขึ้นประสานมือไว้ด้านหน้าและก้มหน้าเล็กน้อย"พวกเจ้ามีชื่อว่าอันใดหรือ" เซียวเฟินหนิงเอ่ยถาม"ทูลองค์ชาย หม่อมฉันเจียวหลินเพคะ""หม่อมฉัน เจียวเจียวเพคะ""อ้อ" เซียวเฟินหนิงมองหน้าสามีเพราะไม่รู้ว่าต้องทำ
"ท่านเจ้าเมืองมาพอดี สามีภรรยาสองคนนี้มาขัดขวางไม่ให้ข้านำบุตรสาวไปให้ท่านขอรับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างนอบน้อม ท่านเจ้าเมืองหันไปมองทางด้านสองสามีภรรยาก็ต้องตกตะลึง ใบหน้างดงามนี่คืออันใดกัน เทพเซียนมาลงมาจากสวรรค์หรือ"เจ้าสนใจมาเป็นฮูหยินรองของข้าหรือไม่" เจ้าเมืองซานหลีใช้สายตาแทะโลมอย่างไม่ปิดปัง เฝิงลี่หมิงถึงกับกัดฟันกรอด"อย่ามายุ่งกับภรรยาข้า!" เฝิงลี่หมิงดึงภรรยามาหลบด้านหลังก่อนจะตวาดลั่นดวงตาจ้องเขม็งไปที่ชายตรงหน้าราวกับจะฆ่าทิ้งเสีย"เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้างั้นรึ! พวกเจ้าสั่งสอนมันเสียแล้วนำเกอผู้นั้นมาให้ข้า" เจ้าเมืองซานหลีหันไปสั่งมือปราบ เซียวเฟินหนิงถึงกับขมวดคิ้ว ไอ้แก่บ้ากามนี่มันถึงกับกล้าคิดจะฉุดภรรยาผู้อื่นต่อหน้าคนมากมายเชียวหรือ"หยุด! ท่านเจ้าเมือง นั่นภรรยาผู้อื่นนะขอรับ ท่านจะฉุดพรากภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้!" นายอำเภอที่เหมือนจะหมดความอดทนกับเหตุการณ์เหล่านี้เอ่ยขึ้น"เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า! จัดการมัน" เจ้าเมืองซานหลีเอ่ยเหล่ามือปราบก็ตรงมาหาสองสามีภรรยาทันที"ท่านพี่ ดูเหมือนว่าเมืองซานหลีต้องการเจ้าเมืองใหม่เสียแล้ว" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกสามี"พี่ก็ค
เพราะต้องอัญเชิญป้ายวิญญาณของมารดาและบิดาของเซียวเฟินหนิงไปที่เมืองหลวงสองสามีภรรยาจึงต้องจัดแบ่งงานให้กับคนงานอย่างชัดเจน ตอนนี้พวกเขารับคนในหมู่บ้านให้มาทำงานเพิ่มแล้วรวมถึงบิดาบุญธรรมอย่างท่านเจ้าเมืองก็สั่งให้คนมาคอยดูแลระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่"ระหว่างที่พวกข้าไม่อยู่ก็ให้พวกท่านก็ทำตามที่ข้าแบ่งหน้าที่ไว้ให้นะขอรับ" เฝิงลี่หมิงแม้จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายแต่เขาก็ยังคงพูดจานอบน้อมเช่นเดิม"การไปเมืองหลวงครั้งนี้อาจใช้เวลาร่วมเดือนหากพวกท่านมีปัญหาอันใดให้แจ้งกับท่านลุงเมิ่งได้เลยนะขอรับ เขาจะเป็นผู้ดูแลพวกท่านระหว่างที่ข้ากับท่านพี่ไม่อยู่" เซียวเฟินหนิงเอ่ยบอกแก่คนงาน "พะยะค่ะ" เหล่าคนงานเอ่ยรับมองดูเจ้านายทั้งสองด้วยสายตาที่ชื่นชม ดูสิจากเด็กน้อยที่ถูกครอบครัวขับไล่ออกจากตระกูลมาวันนี้ได้เป็นท่านชายองค์ชายเสียแล้ว ณ จวนเจ้าเมืองซานหลางเฝิงลี่หมิงกับเซียวเฟินหนิงอยู่ในชุดสีขาวจากผ้าไหมชั้นดีดูงดงามและสูงศักดิ์ปักลวดลายด้วยดิ้นเงิน เฝิงลี่หมิงสวมใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าสีเงินที่ชินอ๋องประทานให้ยิ่งทำให้ดูสง่างามลึกลับน่าค้นหา ทั้งสองแม้อยากจะคุกเข่าคำนับลาบิดามารดาบุญธรรมเม
"บังอาจ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าชินอ๋อง!! " เสียงขององครักษ์ประจำตัวชินอ๋องประกาศกร้าวสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่พากันมาชมเหตุการณ์เมื่อรู้ว่าบุรุษที่มากับท่านเจ้าเมืองนั้นเป็นผู้ใด"กะ โกหก ชินอ๋องจะมาทำอะไรที่นี่และคงไม่แต่งงานธรรมดาเช่นนี้ เจ้าอย่ามาแอบบอ้าง" หลี่อู๋เจี๋ยพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อแม่ว่าชาสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วก็ตาม ชินอ๋องยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกับม้วนกระดาษที่มีตรามังกรปิดผนึกอยู่"ฝ่าบาทมีราชโองการ พวกเจ้าคุกเข่าลง! " ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็พากันคุกเข่าลงทั้งสองข้าง"หลี่เฟินหนิงรับราชโองการ ทางราชสำนักสืบทราบมาว่า ฮูหยินน้อยเฝิง หลี่เฟินหนิง เป็นบุตรขององค์ชายรอง เซียวเฟยเยี่ยน ที่หายสาบสูญไปจึงนับว่ามีสายเลือดราชวงศ์ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งแต่งตั้งหลี่เฟินหนิงเป็น องค์ชายหกหลี่เฟินหนิง สามารถใช้แซ่เซียวได้ตามมารดาโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสกุลเดิม พระราชทานผ้าไหมชั้นดี 20 หีบ ผ้าไหมปักดิ้นทอง 10 หีบ ไข่มุก สวรรค์ 10 หีบ ไข่มุกนิลกาฬ 20 หีบ เครื่องเพชร 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ 5 หีบ ปิ่นทองคำแท้ลวดลายหงส์ 1 หีบ เงินจำนวน 100,000 ตำลึงทอง คุณชายเฝ
ตำหนักชินอ๋องย้อนกลับไปก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนจดหมายถึง ชินอ๋องเซียวเฟยเทียนถวายพระพรชินอ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองซานหลางให้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพระองค์ เมื่อไม่นานมานี้ท่านเจ้าเมืองได้ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีลอบทำร้ายแต่ได้มีบุรุษผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บุรุษผู้นั้นมีจุดเด่นคือปานสีดำขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้าด้านขวาคราแรกท่านเจ้าเมืองเพียงรู้สึกซาบซึ้งใจจึงเชิญให้ชายผู้นั้นมาพบที่จวนเพื่อตอบแทนแต่ภายหลังฮูหยินเฝิงรู้สึกถูกชะตาทั้งยังเห็นใจที่สองสามีภรรยาถูกครอบครัวรังแกจึงรับชายผู้นั้นเป็นบุตรบุญธรรม ชายผู้นั้นมีภรรยาเป็นเกอคราเเรกที่ท่านเจ้าเมืองและฮูหยินได้พบใบหน้าของภรรยาชายผู้นั้นทั้งสองรู้สึกคุ้นเคยใบหน้านั้นจึงรีบให้กระหม่อมเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งถึงพระองค์ เกอผู้นั้นมีนามว่า หลี่เฟินหนิง บิดามีนามว่า หลี่อู๋ซิน ส่วนมารดามีนามว่า เซียวเฟยเยี่ยน เกอผู้นั้นบอกว่าบิดามารดาของตนได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ตนเพิ่งมีอายุเพียงเก้าหนาว ที่สำคัญคือเกอผู้นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับองค์ชายรองถึงแปดส่วน ท่านเจ้าเมืองให้กระหม่อมบอกแก่ท่านอ๋องว่าหากต้องการมาพบเกอผู้นี้ก็ให้รอฤดูหนาวผ่านพ้
การแจกจ่ายอาหารจากสองสามีภรรยายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าหิมะจะตกลงมาอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เองก็เช่นกัน เพียงแต่วันนี้เขาเห็นว่าดูเหมือนจะมีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นมาด้วยหลี่เฟินหนิงจึงเดินเข้าไปสอบถามกลุ่มชาวบ้านที่เพิ่งลงมาจากเกวียน"พวกท่านมาทำอันใดกันหรือขอรับ" หลี่เฟินหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ สายตากวาดดูชาวบ้านราวๆ 30 กว่าคนกับเกวียนสี่เล่มมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่"พวกเราได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้แจกจ่ายอาหาร พวกเราจึงรวมเงินกันจ้างเกวียนเพื่อมาดูเจ้าค่ะว่าพอจะมีอาหารปันให้พวกเราบ้างไหม" สตรีวัยกลางคนถามอย่างกล้าๆกลัวๆ พวกเธอเป็นคนต่างหมู่บ้านไม่รู้ว่าจะได้รับอาหารที่แจกหรือไม่แต่นี่เป็นทางรอดระหว่างรอความช่วยเหลือจากทางการผู้ใหญ่นั้นยังพออดทนได้แต่เด็กและคนแก่นี่สิ"พวกท่านมาจากต่างหมู่บ้านกันหรือขอรับ แล้วเดินทางมาไกลหรือไม่" หลี่เฟินหนิงเอ่ยถาม"ใช่เจ้าค่ะ หมู่บ้านของพวกเราอยู่ห่างไป 10 ลี้ลึกเข้าไปในหุบเขาทำให้การช่วยเหลือจากทางการมาช้ากว่าหมู่บ้านอื่น" สตรีวัยกลางคนอีกคนตอบ"ไกลอยู่นะขอรับ แล้วพวกท่านทราบได้อย่างไรขอรับว่าที่นี่มีอาหารแจกชาวบ้าน" "มีคนจากหมู่บ้านนี้นำอาหารไปให้ญาติที
เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงพากันเดินเท้ามาที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน ระหว่างทางก็ได้เห็นชาวบ้านที่เริ่มออกมากวาดหิมะและพูดคุยกัน ชาวบ้านหลายคนต่างมองว่าสองสามีภรรยานั้นจะเดินไปที่ใด เมื่อเห็นว่าทั้งสองไปหยุดที่หน้าบ้านของผู้นำหมู่บ้านก็หันมาพูดคุยเรื่องอื่นต่อ ผู้ใดจะกล้าไปยุ่งเรื่องของบุตรบุญธรรมของท่านเจ้าเมืองกันเล่า"คาระวะท่านป้าจาง ท่านลุงจางอยู่หรือไม่ขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยถามนางจางเหม่ยที่กำลังกวาดหิมะอยู่ลานหน้าบ้าน"อยู่ๆ เจ้าสองคนมีธุระอันใดเล่า" นางจางเหว่ยที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าทีต่างจากเมื่อก่อนจนสองสามีภรรยาได้แต่แปลก"ข้ากับภรรยาจะมาพูดคุยเรื่องทำอาหารแจกชาวบ้านน่ะขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยตอบ"เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาพูดคุยกันในบ้านเถิด อากาศข้างนอกหนาวเย็นประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา" นางจางเหว่ยรีบเชิญทั้งสองคนเข้ามาบ้านทันที"อ้าวลี่หมิง เฟินหนิง เจ้าสองคนมีอันใดหรือ" เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบกับจางเหว่ย"คาระวะท่านลุงจางขอรับ" สองสามีทำการคำนับผู้อาวุโสกว่าทันที"ที่ข้าสองคนมาวันนี้เพราะมีเรื่องให้ท่านลุงจางช่วยขอรับ" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอก"เรื่องอันใดรึ" จางเหว่ยถามอย่างสงสัย ยังมีเรื่อง
"ไอ้ลูกอกตัญญู หากเจ้าไม่ยอมให้เงินและสะเบียงกับพวกข้าเช่นนั้นเจ้าก็มิต้องใช้แซ่หวังอีก" หวังหยวนคุนพูดอย่างโมโห"บุตรชายของข้าคงไม่กล้าใช้แซ่หวังอันสูงส่งของเจ้าหรอก" เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองพบเป็นบุรุษวัยกลางคนแต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดีดูภูมิฐาน เมื่อผู้นำหมู่บ้านเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบทำการคำนับทันที"ข้าน้อย จางเหว่ย ผู้นำหมู่บ้านเซียนซาน คาระวะท่านเจ้าเมืองขอรับ" "ตามสบายเถิดท่านผู้นำจาง" เฝิงคงหรันพูดอย่างเป็นกันเอง เหล่าชาวบ้านเมื่อทราบว่าผู้ที่มาเป็นใครก็ต่างพากันตกใจและสงสัยว่าเหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงมาอยู่ที่นี่"คาระวะท่านพ่อขอรับ" เฝิงลี่หมิงกับหลี่เฟินหนิงทำการคำนับบุรุษผู้น่าเกรงขาม คำที่ใช้เรียกยิ่งสร้างความตกใจตะลึงให้แก่ชาวบ้านและครอบครัสตระกูลหวัง"ท่านพ่องั้นหรือ""เหตุใดทั้งสองถึงเรียกท่านเจ้าเมืองว่าท่านพ่อเล่า""ท่านพ่อมีธุระอันใดหรือขอรับถึงได้มาถึงที่นี่" เฝิงลี่หมิงไม่ได้สนใจเสียงซุบซิบของชาวบ้านแต่อย่างใด เขาเอ่ยถามธุระของพ่อบุญธรรมทันที"มารดาของเจ้าให้พ่อมาดูว่าบ้านของเจ้าเป็นเช่นไร ฤดูหนาวนี้จะอยู่ได้หรือไม่นางเป็นห่วงเกรงว่าเจ้ากับสะใภ้จะลำบาก" เ
เมื่อฤดูหนาวมาถึงการเก็บเกี่ยวก็เสร็จสิ้นพอดีตอนนี้สองสามีภรรยากำลังจ่ายค่าแรงวันสุดท้ายให้กับเหล่าคนงานก่อนที่หิมะเเรกจะมาเยือน เหล่าคนงานต่างพากันเหงาหงอยเพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่ถูกจ้างอีกเลยแต่ก็เข้าใจเพราะที่ผ่านมารายได้จากการทำงานที่นี่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ลำบาก"ท่านใดรับเงินไปแล้วรอสักครู่นะขอรับ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับพวกท่าน" เฝิงลี่หมิงเอ่ยบอกคนงานก่อนที่พวกเขาจะเดินกลับไป คนงานจึงอยู่รอฟังและได้แต่หวังว่าสองสามีภรรยาจะบอกว่าจะจ้างพวกเขาหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไป เพื่อจ่ายค่าแรงให้คนงานครบทุกคนเฝิงลี่หมิงจึงพูดขึ้น"ทุกท่านครับ ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังกังวลว่าข้ากับภรรยาจะเลิกจ้างพวกท่านข้าจึงอยากอธิบายว่าข้าจะหยุดจ้างงานแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้นขอรับ เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปข้าจะให้ทุกท่านกลับมาทำงานอีกครั้ง" สิ้นประโยคเหล่าคนงานก็ต่างส่งเสียงเฮด้วยความดีใจที่พวกเขายังจะได้ทำงานกับนายจ้างดีๆเช่นนี้"เรื่องต่อไปคือข้าอยากจะขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจทำงานให้ข้า""เจ้าไม่ต้องขอบใจพวกข้าหรอกหวังลี่หมิง ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกเจ้าสองคนที่ให้งานพวกข้าอีกทั้งยังเลี้ยงอาหารดีๆให้พวกข้าไ