เหยาอี้เหยากลับมาที่จวนกับจินเฟยก่อนเพื่อรักษาจางลี่
ท่านหมอให้ความเห็นว่าบาดแผลตรงศีรษะของจางลี่สาหัสยิ่ง อีกทั้งนางยังเสียเลือดมากจนร่างกายช็อก ไม่มีวิธีการเพื่อยื้อชีวิตนางได้แล้ว ท่านหมอจึงออกมาบอกกับเหยาอี้เหยาว่าจางลี่คงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้ หากมีเรื่องใดก็ให้นางเข้าไปพูดตอนนี้เสีย เหยาอี้เหยาจึงเข้าไปหาจางลี่ ในชั่วขณะหนึ่งนางแทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียงขณะนี้ คือจางลี่หลายวันก่อนนางยังสบายดี แต่ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ใครกันที่ทารุณกับนางขนาดนี้ “หนาวหรือไม่” นางหยิบที่คีบเพื่อส่งถ่านเข้าไปในเตา ให้ห้องพักรักษาตัวอันเย็นจัดได้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง “คุณหนูเหยา…ท่านชิงชังข้าบ้างหรือไม่” สายตาจางลี่อยู่ที่นาง เคลือบทับไว้ด้วยความรู้สึกผิดชั้นหนึ่ง “ไม่เลย แค่โกรธนิดหน่อย” เหยาอี้เหยานั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปซับน้ำตาให้จางลี่อย่างอ่อนโยน “ข้าน้อยผิดต่อท่าน…” ความทรงจำเลวร้ายที่ตนทำกับนาง ไหลวนกลับมาเหมือนกระแสน้ำ น้ำตาจึงไหลออกมามากกว่าเดิม “ข้าน้อยไม่เคยดีกับท่านเลย แต่ท่านดีกับข้าเสมอ…” “ข้าอยากดีกับเจ้าให้มากกว่านี้” เหยาอี้เหยาจับมือนาง ยิ่งสัมผัสได้ถึงชีพจรอันเบาบาง นางก็ยิ่งเศร้า “คุณหนูเจ้าคะ” จางลี่เหมือนจะรู้ตัวว่าคงไม่รอดแน่แล้ว จึงตั้งใจบอกเรื่องสำคัญแก่นาง “ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญอยากบอกท่าน” “ได้ เจ้าว่ามา” “ข้าน้อยเคยรับแขกอยู่ท่านหนึ่ง เขาเคยทำงานอยู่…” จางลี่พักหายใจ สูดลมหายใจเข้าปอด นางพยายามสุดชีวิตเพื่อพูดให้จบ “อยู่ในกองทหารตระเวนเมือง ตำแหน่งแม่ทัพรักษาการณ์ เขาชื่อแม่ทัพกวน หลังดวลสุราจนเมามาย เขาพูดเรื่องนี้ออกมาให้ข้าน้อยฟัง เขาบอกว่าปีนั้นเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คนรู้ มีใครบางคนวางแผนเพื่อสังหารซื่อจื่อ แต่ผิดพลาด แผนการไม่เป็นอย่างที่ต้องการ …ดังนั้นจึงต้องให้ท่านตาของท่าน เป็นแพะรับบาป” สิ่งที่เหยาอี้เหยาได้ยินทำให้เนื้อตัวนางจับก้อนเป็นน้ำแข็ง นางเชื่อมั่นมาตลอดว่าท่านตา ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น ในวันนี้ความเชื่อของนางได้รับการยืนยันอีกปากจากจางลี่ “จางลี่ เจ้ามีหลักฐานอะไรหรือไม่ แม่ทัพกวนยังพูดอะไรอีก” หากแม่ทัพกวนยังมีชีวิตอยู่ นางจะรีบหาโอกาสไปพบอีกฝ่าย แต่เมื่อปีกลายแม่ทัพกวนเสียชีวิตไปแล้ว “มีเท่าที่ข้าเล่าให้คุณหนูฟัง แต่คุณหนู ถ้าท่านอยากได้หลักฐานว่าใครบงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เมื่อเกือบสิบปีก่อน ท่านต้องไปพบฟู่เจิ้งชิว” “ใครคือฟู่เจิ้งชิว?” “คนที่ทำร้ายข้า เขาเคยเป็นทหารอยู่นอกด่าน แต่ทำความผิดฆ่าคน จึงรวมหัวกับพรรคพวกมาบวชหนีความผิด ซ่องสุมกำลังทำเรื่องต่ำช้าค้ามนุษย์อยู่ที่วัดชิงเฉิน” ฟู่เจิ้งชิว เคยเป็นหนึ่งในแขกของจางลี่ เขาเป็นไต่ซื่อที่เลวทรามอย่างยากจะหาคำใดมาเปรียบเปรย ทุกครั้งที่มาใช้บริการก็ลงมือทารุณนางสารพัด นี่จึงเป็นเหตุผลให้นางยอมทำทุกวิถีทางเพื่อหลุดพ้นจากหอโคมเขียว แล้วความฝันของจางลี่ก็เป็นจริง นางหาเหตุผลให้หวงมามาปล่อยนางได้สำเร็จ ทั้งยังเอาเงินที่ได้จากเหยาอี้เหยาไปไถ่ตัวแลกสัญญามาได้ แต่เหยาอี้เหยาอี้เหยาดันหนีไปได้ทั้งยังถูกฉู่ซีเย่สั่งปิดหอ หวงมามาหน้าเลือดเกิดความไม่พอใจ ด้วยรู้สึกว่าขาดทุนย่อยยับเพราะจางลี่เป็นตัวต้นเหตุ จึงคิดจะสั่งสอนระบายอารมณ์ แต่จางลี่หนีไปตั้งแต่คืนนั้นแล้ว หวงมามาจึงส่งข่าวให้ฟู่เจิ้งชิว บอกเขาว่านางกำลังจะหนีเป็นการเอาคืน ฟู่เจิ้งชิวเมื่อได้ทราบข่าวก็ให้คนตามหานางทุกที่ จนพบแล้วนำมาขังไว้ที่วัดชิงเฉิน ทุบตีระบายอารมณ์กับนางอยู่หลายวันจนเหยาอี้เหยามาพบในสภาพปางตาย “ฟู่เจิ้งชิวคนนั้นมีหลักฐานหรือ” เหยาอี้เหยาไม่อาจเรียกเขาว่าไต่ซื่อได้อีกต่อไป “ข้าน้อยไม่แน่ใจ แต่ฟู่เจิ้งชิวต้องโทษฆ่าคนบริสุทธิ์ร่วมกับท่านตาของท่าน เขาอยู่ในกลุ่มกบฏ” “จริงด้วย…” สมองของเหยาอี้เหยาผุดภาพในอดีตขึ้นมา ฟู่เจิ้งชิวในวันนี้ไม่คล้ายในอดีต ทั้งรูปร่างหรือทรงผม แต่เมื่อนางคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เทียบเคียงทุกอย่างด้วยใจเป็นกลาง ฟู่เจิ้งชิวคือหนึ่งในคนร้ายของคืนนั้น เหยาอี้เหยามีความหวัง ขอแค่นางทำให้ฟู่เจิ้งชิวยอมเปิดปากพูดความจริง ความผิดของท่านตาก็มีหนทางลบล้าง “จางลี่ ขอบคุณเจ้าที่…” เหยาอี้เหยาหันกลับมามองจางลี่ ก่อนจะพบว่านางปิดเปลือกตา ลงอย่างเหนื่อยล้า “คุณหนูเหยา ข้าน้อยไม่ไหวแล้ว…” “เช่นนั้นพักสักหน่อยเถิด” “ทะ…ท่านช่วยอยู่กับข้าจนกว่าข้าจะไปได้หรือไม่ สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือการตายอย่างโดดเดี่ยว...” “ข้าจะไม่ไปไหน เจ้าวางใจแล้วพักผ่อนเถิด" เหยาอี้เหยาห่มผ้าให้นาง มองจางลี่จากไปด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ คนทั้งหมดในวัดชิงเฉินถูกควบคุมตัวไว้หมดแล้วตามแผนซึ่งฉู่ซีเย่ได้เตรียมการไว้ ฉู่ซีเย่ให้กงซุนหลางตรวจสอบภายในวัดอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมเพื่อหาความเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ข้ามชายแดนซึ่งทำมาพักใหญ่ โดยมีจุดศูนย์กลางที่วัดแห่งนี้ “พวกนั้นเก็บกวาดไปบางส่วนแล้ว” ฉู่ซีห่าวเอ่ย ขณะดูเศษเถ้าถ่านบัญชีที่ถูกเผา รวมทั้งร่องรอยการทำลายหลักฐานอื่นๆ จากบนรถม้า พวกเขาพบมีเพียงหลักฐานการทำความผิดของเจ้าอาวาสหยูเม่าและฟู่เจิ้งชิว ไม่พบหลักฐานอื่นๆ ซึ่งสาวไปถึงตัวการใหญ่ “ยิ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ข้าคาดเดาล้วนถูกต้อง” ฉู่ซีเย่ตอบ รู้สึกว่าร่างกายตนเองร้อนแปลกๆ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีออกไป “ว่าก็ว่าเถอะเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ทางการยังไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย” ฉู่ซีห่าวยอมรับว่าหยูเม่าเป็นภิกษุซึ่งได้รับความเคารพยกย่องเปรียบประดุจเทพ ชื่อเสียงวัดชิงเฉินเป็นอีกระดับหนึ่ง ช่วงเกิดเหตุชุลมุนหรือ ภัยธรรมชาติ หยูเม่าและวัดชิงเฉินคือหนึ่งในนักบุญยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ภาพลักษณ์อันสันโดษและขาวสะอาดของหยูเม่าทำให้ไม่มีใครคาดคิดถึงเบื้องหลังอันดำมืดเช่นนี้ “จางลี่ทำให้ข้าสงสัย ด้วยวิสัยแล้วนางควรรีบหนีออกไปจากเมืองโจวอี้ทันที แต่นางรั้งอยู่นาน ข้าเลยให้จินเฟยสืบหา พบว่านางหายตัวไปตั้งแต่คืนนั้นอย่างไร้ร่องรอย” คำถามต่อมาคือจางลี่หายไปไหน? “เจ้าเชื่อมโยงการหายตัวไปของนางกับวัดชิงเฉินแห่งนี้ได้อย่างไร” ฉู่ซีห่าวรู้จักน้องชายผู้นี้ดี เขาเป็นคนที่รอบคอบอย่างยิ่ง และหากมีอะไรที่สะกิดความสงสัยของเขาขึ้นมา จนกว่าความจริงจะกระจ่าง ฉู่ซีเย่จะกัดไม่ปล่อย “ข้ายอมรับว่าตอนแรกไม่ได้คิดจะเชื่อมโยงกับวัดแห่งนี้ แต่มีคนเคยเห็นว่าฟู่เจิ้งชิวเคยเข้าออกหอโคมเขียว ไต่ซื่อท่านหนึ่งเที่ยวหอโคมเขียว ติดพันกับจางลี่ มีความน่าสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนาง แต่ยิ่งข้าสืบต่อไป ก็พบว่าวัดชิงเฉินเกี่ยวข้องกับคดีคนหาย เข้าข่ายว่าอาจเป็นพวกค้ามนุษย์ ข้าเลยล่อเหยื่อให้มาติดกับ” แรกเริ่มนั้นฉู่ซีเย่หย่อนเบ็ดล่อเหยื่อด้วยการส่งจดหมายว่าจะมาเยือนยังวัดแห่งนี้เพื่อดูปฏิกิริยาเบื้องต้น ก่อนจะพบว่าหยูเม่าและฟู่เจิ้งชิวงับเหยื่ออย่างรวดเร็ว รีบทำลายหลักฐานแต่เนิ่นๆ ทว่าฉู่ซีเย่ตั้งใจส่งจดหมายมาช่วงกลางดึก เพราะมั่นใจว่าเด็กรับใช้ไม่มีทางกล้าเอาจดหมายให้หยูเม่าจนกว่าจะเช้า ดังนั้นกว่าที่หยูเม่าจะรู้ว่าฉู่ซีเย่จะมา เวลาก็จวนตัวยากจะเก็บกวาดทุกอย่างให้สิ้นซาก “เพราะอย่างนี้เจ้าจึงตั้งใจพาอี้เหยามาด้วย” “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ฉู่ซีเย่ตั้งใจพาเหยาอี้เหยามาด้วยก็เพราะอยากให้นางเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ความจริงคือเขาอยากให้เหยาอี้เหยาได้พบกับคนผู้หนึ่ง ซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีต “เจ้าอยากให้อี้เหยาได้พบกับฟู่เจิ้งชิว” ฉู่ซีห่าวรู้เมื่อครู่จากการตรวจสอบว่าฟู่เจิ้งชิว เคยอยู่ในกลุ่มคนร้ายที่เทศกาลฤดูหนาวเมื่อเกือบสิบปีก่อน “ไม่ใช่แค่นั้น แต่ข้าอยากจะกระตุ้นให้คนที่หลบซ่อนตัวอยู่เกือบสิบปีได้โผล่หัวออกมา” ฉู่ซีห่าวเอ่ยถามเสียงขรึม “เจ้าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังวัดชิงเฉินคือคนร้ายเมื่อเกือบสิบปีก่อน” ฉู่ซีเย่ยังไม่ทันจะตอบ ภายในเขาเกิดเจ็บแปลบ ราวกับมีมวลพลังงานมหาศาลฉุดรั้งเขาอย่างฉับพลันจนเลือดในกายตื้อขึ้นมาที่ลำคอ ร่างกายคล้ายสูญเสียพลังไปในชั่วพริบตา “เจ้าเป็นอะไรไป” ใบหน้าฉู่ซีเย่ซีดขาวราวกับกระดาษเยื่อไผ่ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะกระอักเลือดสีดำออกมา “อิ่นจื่อ!” “ข้าไม่เป็นไร...” ฉู่ซีเย่ตอบเสียงลอดไรฟัน ประสาทหูของเขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในเวลาพอๆ กับฉู่ซีห่าว อึดใจต่อมาธนูห่าใหญ่ก็พุ่งใส่จากทั่วสารทิศทะลุรถม้า ดีที่ฉู่ซีห่าวใช้กระบี่ขวางเอาไว้ ทว่าหยูเม่าถูกลูกธนูปักอก สิ้นใจทันที “ฆ่า!” กลุ่มชายชุดดำจำนวนมากบุกทะลวงมาเพื่อปลิดชีพเหล่าภิกษุซึ่งรอดจากลูกธนูเมื่อครู่ ฉู่ซีห่าวพุ่งตัวออกไปฟาดฟัน ไม่ยอมให้ใครแม้แต่คนเดียวเข้ามาใกล้ฉู่ซีเย่ที่ยังกองอยู่ที่พื้นรถม้า ฉู่ซีเย่กระอักเลือดอีกรอบ เข็มนับหมื่นราวกับทิ่มแทงเขาจากภายใน จุดตันเถียนของเขาร้อนผ่าว ราวกับมีลูกระเบิดกำลังคุกรุ่นอยู่ภายใน “ข้าจะต้านเอาไว้ เจ้าพาอิ่นจื่อไป!” ฉู่ซีห่าวสั่งกงซุนหลางกับแม่ทัพของตนเอง การจู่โจมของคนชุดดำไม่อาจดูแคลน เขาจะไม่เสี่ยงให้น้องชายเกิดอันตราย “ไม่ต้องสนใจข้า อย่าให้คนแซ่ฟู่ตาย” เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ณ ขณะนี้คือผลข้างเคียงจากการที่เขาเลี้ยงแมลงคุณไสยมากเกินไป ดังนั้นจึงกดข่มความเจ็บปวดลงไป ต่อกรกับชายผู้หนึ่งซึ่งมีวรยุทธในระดับสูงที่กำลังง้างมือจะปลิดชีพฟู่เจิ้งชิว ต่างคนต่างประมือกันท่ามกลางป่าไผ่และแสงสนธยาที่คลี่คลุมลงมาอย่างรวดเร็ว ขบวนการนี้ไม่ใช่การทำความผิดเล็กๆ แต่วัดแห่งนี้ยังเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังเพื่อทำการลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย ไปจนถึงการเป็นช่องทางธรรมชาติเพื่อหลบหนีเข้าเมือง รวมทั้งความเกี่ยวข้องถึงคนบงการเมื่อสิบปีก่อน ฉู่ซีเย่ยกมุมปากขึ้น เสือกส่งกระบี่ไปยังอีกฝ่ายจนต้องถอยร่น ทีแรกเขาไม่มั่นใจนัก แต่การลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้ แสดงว่าเขาคิดถูกอีกแล้ว ดังนั้น เขาจะให้ฟู่เจิ้งชิวเขาตายไม่ได้! “ท่านพี่ ให้ฟู่เจิ้งชิวตายไม่ได้” ระดับความสามารถของฉู่ซีเย่ไม่ที่สุด ยิ่งเขามาเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการเลี้ยงแมลงคุณไสย กำลังจึงลดลงไปกว่าครึ่ง แค่ปกป้องตนเองก็ตึงมือ แต่ฉู่ซีห่าวไม่เหมือนกัน ชั่วพริบตาที่ได้จับดาบ แววตาอันอบอุ่นก็พลันเปลี่ยนไป วิญญาณแม่ทัพประทับองค์ ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะต้านทาน แม่ทัพปีศาจผู้นี้ไม่ได้ “ได้ ข้าไม่อนุญาต ใครก็แตะฟู่เจิ้งชิวไม่ได้” คนชุดดำจากที่ได้เปรียบเริ่มเสียเปรียบ กำลังคนที่มากกว่าสามเท่าในตอนแรกเหลือเพียงหนึ่งในสาม ฉู่ซีห่าวเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง เขาไม่ปรานีในการลงมือ เยือกเย็นและสงบนิ่ง ไม่เกินครึ่งถ้วยชา คนร้ายก็ต้องถอยหนีเอาชีวิตรอด ฉู่ซีห่าวหมายจะตามไปปิดงาน ทว่าเห็นก่อนว่าน้องชายไม่ไหวแล้ว เขาจึงไม่ไป ตรงเข้ามาดูฉู่ซีเย่เป็นอันดับแรก “อิ่นจื่อ เป็นอย่างไรบ้าง” “ดีขึ้นมากแล้ว” ฉู่ซีเย่ซวนเซเล็กน้อย แต่ยังประคองตนเองได้กับม้าได้ “ท่านพี่ รบกวนท่านช่วยดูฟู่เจิ้งชิวแทนข้าที เดี๋ยวข้ากลับมา” “เจ้าจะไปไหน เป็นเช่นนี้จะไปไหนอีก” สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือหาท่านหมอมิใช่รึ ฉู่ซีเย่ตอบไม่จริงจังขณะโหนตัวขึ้นม้า “ข้ากระหายสุรา” ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งกำลังเดินเรียงออกมาจากภายในห้องรับประทานอาหาร คล้อยหลังพวกบ่าวจากไปกันหมดแล้ว เขาจึงเข้าไปด้านใน “ท่านโหว” “พวกเจ้าออกไปให้หมด” สาวรับใช้ทั้งหมดในห้องถอยออกไป “จัดการเรื่องที่วัดชิงเฉินเรียบร้อยหรือไม่” “ข้าน้อยได้สังหารคนทั้งหมดแล้ว หลักฐานต่างๆ ย่อมไม่มีทางสืบสาวมาถึงท่าน เพียงแต่…” รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปเมื่อได้ยินคำว่าเพียงแต่ “ข้าไม่ชอบคำนั้นของเจ้าเลย แต่ว่ามาเถอะ” “ช้าน้อยไร้สามารถ ไม่สามารถสังหารฟู่เจิ้งชิวได้” “ไร้ประโยชน์ยิ่ง” “ท่านโหวได้โปรดลงโทษ” “ลุกขึ้น ข้ายังต้องพึ่งเจ้า” เขาผู้นั้นลุกขึ้น “ดูท่าข้าคงต้องหาเวลาไปเมืองโจวอี้เองแล้ว”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”