ประตูปิดลง ลมหนาวด้านนอกถูกประตูต้านเอาไว้ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามาได้ตามใจ
“เมื่อครู่เจ้าพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนางเลย” เจ้าเมืองฉู่นั่งลงข้างเตาผิง มือหยิบถ่านเข้าเตาผิง “นางจะเสียใจได้” “ท่านเอ็นดูนางมากหรือ” ฉู่ซีเย่หยักไหล่ไม่ใส่ใจ จิบสุราอุ่นของอำเภอหงชุ่นที่ขึ้นชื่อที่สุด “เจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ” หาไม่แล้ว คนอย่างฉู่ซีเย่จะมอบเสื้อคลุมกันหนาวขนมิงค์ให้นางหรือ แม้จะใช้วิธีซับซ้อนอย่างการให้เขามอบต่อให้กงจิ้ง แต่ก็เพราะรู้ว่าท้ายที่สุด เสื้อตัวนี้จะต้องกลับมาหานางแน่ไม่ใช่หรือ ฉู่ซีเย่เปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไม่เช้าแล้ว ไปวัดกันเถอะท่านพี่” “จุดประสงค์คือไปวัดแน่หรือ” “ย่อมไม่ใช่” “วัดนั้นมีปัญหา” ฉู่ซีเย่ตอบ “ข้าหวังว่าจะไม่มี” เหยาอี้เหยาถูกฉู่ซีเย่ไล่ออกมาจากห้องโถงด้วยความเย็นชา นางจึงต้องมายืนหนาวรออยู่ด้านนอกตรงลานจอดรถม้า ยังดีที่คนของเจ้าเมืองฉู่นำเตาอุ่นมาให้นางกอด อีกทั้งเสื้อคลุมขนมิงค์ยังกันลมได้ดี นางจึงนั่งรอได้ไม่เดือดร้อนกับความหนาว แต่รอไปรอมานางก็หิว ความจริงเวลานี้นางยังไม่ทานอาหารเช้าหรอก ทว่าเมื่อวานนางทานข้าวเย็นเสียที่ไหน ตอนนี้จมูกได้กลิ่นขนมแป้งเคลือบน้ำผึ้ง น้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มเดือดดาลยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ท้องของนางส่งเสียงครวญครางออกมาให้ขายหน้าผู้คน นางจึงแอบหลบๆ ไปทานขนมที่เจ้าเมืองฉู่ให้เมื่อครู่อย่างลับๆ มือหนึ่งของนางเปิดกล่องขนมออกมา มือหนึ่งก็หนีบเตาอุ่นไว้ หน้าตาของขนมเป็นกลีบดอกไม้ สีสันละเอียดลออจนไม่กล้ากิน แต่กลิ่นของแป้งผสมน้ำผึ้งทำนางน้ำลายไหล อีกอย่างของกินมีไว้เพื่อกิน ต่อให้หน้าตาจะดีเพียงใด นางก็จะเขมือบให้สิ้น เหยาอี้เหยาหยิบกิน ลิ้นรับรสความอร่อยจนเผลอโยกศีรษะ สองแก้มเคี้ยวขนมด้วยความเพลิดเพลิน พริบตาเดียวนางก็กินจนหมดแล้วตามด้วยน้ำชาให้รื่นคอ เวลานั้นจิ่งเถียนที่ตามดูนางห่างๆ ได้รับสัญญาณจากจินเฟยจึงรีบมาตามนาง “คุณหนูเหยา ซื่อจื่อและท่านเจ้าเมืองพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” “ไปเดี๋ยวนี้เลย” เหยาอี้เหยาเช็ดปากลวกๆ โดดลงจากก้อนหินซึ่งไม่ได้สูงมาก ก่อนจะเดินตามจิ่งเถียนไปยังลานจอดรถม้าที่อยู่ด้านหน้าของสวนดอกไม้ใกล้โถงรับรอง เมื่อไปถึงทั้งฉู่ซีเย่และฉู่ซีห่าวต่างเดินมาถึงพอดี เหยาอี้เหยาคืนเตาอุ่นให้บ่าวข้างกายเจ้าเมืองฉู่ ถอยตัวกลับไปยืนในตำแหน่งอย่างรู้สถานะ สองมือประสานไว้เบื้องหน้า “คุณหนูเหยา รสชาติขนมแป้งหวานเป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่ซีห่าวถามแย้มยิ้ม มองมือเล็กๆ ที่เคลือบน้ำผึ้งเหนียวๆ ของนางและกล่องไม้ว่างเปล่าในมือบ่าวรับใช้ “อร่อยมากเจ้าค่ะ ข้าน้อยเลยกินหมดแล้ว” ความจริงนางชอบกินของหวานมาก แต่ช่วงชีวิตที่ผ่านมาลำบากยิ่ง กระทั่งถังหูลู่สักไม้ยังยากที่จะหากิน การได้กินขนมรสเลิศเช่นนี้ ถือว่าเป็นโชคดีประจำวัน “ครั้งหน้าจะเอามาให้เจ้าอีก” “จริงหรือเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาพูดด้วยความยินดี ครั้นเห็นใบหน้าอันเรียบนิ่งของฉู่ซีเย่ นางก็หุบยิ้มเปลี่ยนคำพูด “ข้าน้อยเกรงใจท่าน…” “นี่ขนาดเกรงใจ” ฉู่ซีเย่กล่าวลอยๆ “ไม่ต้องเกรงใจ ครั้งหน้าข้าจะนำมาให้เจ้ากินอีก” ฉู่ซีห่าวขยับตัวไปยืนคั้นกลางสายตาของฉู่ซีเย่ “ข้าขึ้นรถม้าก่อน อีกประเดี๋ยวพบกัน” “เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยายอบกายลง ส่งท่านเจ้าเมืองฉู่ขึ้นรถม้าที่อยู่ด้านหน้าสุด ถัดไปเป็นรถม้าของฉู่ซีเย่ที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยตามฐานะ นางเลื่อนสายตาไปอีกเพื่อมองหารถม้าของตนเอง แต่ก็ไม่พบ รถม้ามีเพียงสองคันหรือ? ของนางเล่า “เจ้าคิดจะยืนทำหน้าโง่งมถึงเมื่อไหร่” ฉู่ซีเย่ขึ้นรถม้าแล้ว เขาเลิกม่านขึ้นเพื่อพูดกับนาง “ข้าน้อยหาได้ทำอย่างนั้นไม่” นางเอ่ยถามเขา “ซื่อจื่อ แล้วรถม้าของข้าน้อยเล่า” “ฐานะอย่างเจ้ามีรถม้าตั้งแต่เมื่อไหร่” สายตานั้นดูแคลนไม่น้อย “เช่นนั้นให้ข้าน้อยโดยสารสิ่งใดไปวัด” เดินหรือ? ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่คงจะเหนื่อยพอสมควร “เบื้องหน้าเจ้าไม่ใช่มีรถม้าเปิดรออยู่หรือ หรือจะให้ข้าลงไปอัญเชิญเจ้าขึ้นมา” สุ้มเสียงนั้นเรียบนิ่ง นัยน์ตาจิกนางจนเนื้อแทบหลุด “ความหมายของท่านคือ ให้ข้าน้อยนั่งรถม้าไปกับท่านหรือ?” ฉู่ซีเย่พูดกวน “เจ้าจะยืน จะนอน จะนั่ง จะห้อยโหนข้าก็ไม่ว่า” สรุปคือนางต้องไปกับเขา… เหยาอี้เหยานิ่งไปครู่หนึ่ง มีความไม่กล้าอยู่ในดวงตาของตา ยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่นางกับเขาจำเป็นต้องทำ นางก็พบว่าการเผชิญหน้าหรืออยู่กับฉู่ซีเย่ตามลำพัง เป็นเรื่องยากพอสมควร “อยู่ใกล้ข้าไม่ทำให้เจ้าตายหรอกคุณหนูเหยา” ฉู่ซีเย่สั่งนาง “เลิกยืนทำหน้าโง่งมแล้วขึ้นมา” สายแล้ว นางจะโอ้เอ้เสียเวลาไม่ได้อีก “ขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาขึ้นรถม้า กลิ่นติดกายของฉู่ซีอย่อวลทั่วรถม้า นางนั่งลงที่ด้านปลาย พยายามทำตัวให้เล็ก ไม่เบียดเบียนพื้นที่ภายในรถม้าให้เจ้าของลำบากใจ ไม่ช้าฉู่ซีเย่ก็บอกให้คนขับรถม้าออกเดินทางได้ รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวล นางนั่งเกร็งจนหลังแข็ง ไม่กล้าหายใจแรง กลัวจะรบกวนเขาที่กำลังชันแขนหลับตา คล้ายไม่อยากสนทนาหรือสนใจนาง จึงหลับตาตัดปัญหาเสีย ภายในรถม้าคับแคบ นางสำรวจทุกอย่างแล้วตั้งแต่หลังคายันพื้น สายตาจึงเลื่อนกลับมาที่ฉู่ซีเย่ บัดนี้เขากำลังพักสายตากระมัง นางจึงลอบสังเกตเขาเงียบๆ โดยเฉพาะบริเวณนิ้วมือขวา ซึ่งทิ้งร่องรอยบาดแผลไว้ แผลนั่นเป็นฝีมือนาง… เหยาอี้เหยาปวดใจขึ้นมา มือของฉู่ซีเย่งดงามมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อนิ้วหรือเปลือกเล็บ ทุกอย่างสมมาตรและเนียนละเอียด ยามแสงแดดส่องมาต้องผิวเนื้อก็เห็นเส้นเลือดที่เรียงตัวสวยอย่างน่าอิจฉา ความเป็นเลิศทางด้านรูปร่างใบหน้าของเขาพาให้คนตกตะลึง องคาพยพทั้งห้าไร้จุดตำหนิ เรือนกายสูงโปร่งองอาจ ยิ่งเขาสวมชุดสีดำลายเมฆา ยากนักที่จะพูดว่าเขาไม่งาม เพียงแต่ฉู่ซีเย่ไม่เป็นมิตร ใบหน้าเขาชวนให้ผู้คนหลงใหล แต่แววตาและรังสีเย็นชา ทำให้คนไม่กล้าล่วงเกินเข้าใกล้ แต่ยามเขาหลับตาลง ซ่อนนัยน์ตาอำมหิตเอาไว้ เขาก็เป็นคนที่น่ามองยิ่ง…จนเขาลืมตาขึ้นมา “สำรวจพอแล้วกระมัง” “ท่านไม่ได้หลับหรือ” ใบหน้านางร้อนขึ้น เมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองเขา แม้นางมองเขาด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น “ผู้ใดจะหลับได้” “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่าน…” เพียงแต่ท่านน่ามองเสียจนอดมองไม่ได้ ทั้งๆ ที่พยายามละสายตาแล้ว แต่ทำไม่ได้ “คุณหนูเหยา เจ้าเป็นสตรีไม่ออกเรือน มานั่งมองชายอื่นตาละห้อยเช่นนี้ ไม่มียางอายบ้างรึ” “ท่านเป็นคนรูปงามมาก ข้าน้อยเกิดมายังไม่เคยพบใครงามเท่านี้มาก่อน เลยละโมบอยากจะมองมากหน่อย” เหยาอี้เหยายอมรับแต่โดยดีว่าฉู่ซีเย่น่ามอง ความจริงเรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์เกินกว่าจะโกหก “ดูท่าข้าจะให้เจ้าอยู่นอกด่านมากไป ยางอายจึงระเหยไปหมด” “ท่านชอบด่าข้ามากหรือ” “ไม่ชอบ” ‘เห็นชัดๆ ว่าท่านชอบด่าข้า’ เหยาอี้เหยาพูดในใจ แต่คนอย่างฉู่ซีเย่มีหรือจะไม่รู้ กระนั้นเขาก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับนางแล้ว "ถึงวัดแล้ววางตัวให้ดี อย่าเที่ยวเถลไถลให้คนว่าได้" นางรับคำ "เจ้าค่ะ" วัดชิงเฉินตั้งอยู่นอกเมือง เป็นวัดเล็กซึ่งตั้งอยู่บนเขาโดยมีพระภิกษุจำนวนไม่กี่รูป เหยาอี้เหยาเคยได้ยินมาจากชาวนอกด่านว่าวัดแห่งนี้แต่เดิมเป็นวัดซึ่งอดีตฮ่องเต้สมัยบรรพชนโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักสุดท้ายของตน ข่าวลือพวกนี้ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร แต่วัดชิงเฉินเป็นวัดเล็กที่ได้รับความศรัทธาจากผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนามากที่สุดแห่งหนึ่ง แม้ช่วงหลังๆ จะมีข่าวเสียหาย บอกว่าวัดชิงเฉินเป็นวัดกินคน เนื่องจากมีคนหายไปหลังมาที่วัด ทั้งส่วนมากยังเป็นหญิงสาวอีกด้วย ทางการเมื่อทราบเรื่องหาได้อยู่เฉย ให้คนมาสืบสาวอยู่นานแต่ไม่พบพิรุธใดๆ อีกทั้งหญิงสาวที่หายตัวไป ไม่ได้หายไปจากวัดชิงเฉิน พวกนางถูกคนลักพาตัวระหว่างทาง ไม่เกี่ยวข้องกับวัดชิงเฉินโดยตรง คำกล่าวหาจึงตกไป เหยาอี้เหยารู้เรื่องพวกนี้ เนื่องจากนางเป็นนายทะเบียนสำรวจสำมโนครัว ผู้สูญหายเหล่านั้นนางเขียนยืนยันเป็นบุคคลสาบสูญหลังครบสามปีหลายคน วัดชิงเฉินจึงอยู่ในความสนใจของนาง รถม้าจอดลงเมื่อถึงบริเวณตีนเขา เพื่อแสดงความศรัทธาต่อพระพุทธคุณ คนส่วนมากจึงเดินขึ้นเขา ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นๆ เหยาอี้เหยาเดินอยู่เบื้องหน้าของฉู่ซีเย่ แต่อยู่หลังเจ้าเมืองฉู่เล็กน้อย เช้าวันนี้แม้อากาศจะหนาว แต่มีแสงแดด ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งยิ่ง ระยะทางจากตีนเขาถึงประตูวัดใช้เวลาครึ่งชั่วยาม หลังเดินผ่านป่าไผ่ ประตูวัดชิงเฉินสลักด้วยหยกก็อยู่เบื้องหน้า ดูท่าวัดแห่งนี้จะไม่ลำบากเรื่องเงินเลย “ท่านเจ้าเมือง ฉู่ซื่อจื่อ เชิญทางนี้ขอรับ” เจ้าอาวาสได้รับจดหมายก่อนแล้วว่าเจ้าเมืองฉู่พร้อมด้วยฉู่ซีเย่จะมา จึงให้ไต้ซื่อคอยต้อนรับ พาคนทั้งหมดไปที่อุโบสถ ที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประจำวัดชิงเฉิน ภายในวัดสงบร่มรื่น แม้จะบอกว่าเป็นวัดเล็กๆ แต่อุโบสถไม่เก่าโทรม แสดงให้เห็นว่าได้รับปัจจัยเพื่อทำนุบำรุงอยู่สม่ำเสมอ เหยาอี้เหยาสำรวมกิริยา วาจา นั่งพนมมือฟังบทสวดจนจบ ก่อนจะกราบขอพรพระพุทธรูปแต่ละองค์จนครบ เวียนออกมาเดินเล่นด้านนอกระหว่างที่เจ้าเมืองฉู่ได้สนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส พื้นที่ด้านนอกมีสวนร่มรื่น ให้พักผ่อนหย่อนใจ นางจึงนั่งพักอยู่ตรงศาลา จวบจนเห็นด้านหลังหอระฆังคล้ายจะมีที่อยู่อีก นางจึงไปเดินเล่น ด้านหลังวัดเป็นส่วนที่ใกล้กับป่าไผ่ ข้างๆ กันมีรูปปั้นเทวนารีคู่กับบ่อน้ำพุ ล้อมรอบด้วยไม้กั้นกันคนเข้า ซ้ำยังมีป้ายห้ามเข้า นางรู้กาลเทศะ จึงไม่ได้เข้าไป ทั้งยังหันหลังเตรียมจะออกไปจากบริเวณนี้ แต่นางกลับได้ยินเสียงเคาะอย่างคุ้นเคยจากรูปปั้นเทวนารี จึงอยากเดินเข้าไปฟังใกล้ๆ หน่อย ว่าเป็นเสียงอะไร ทว่าเพียงก้าวเข้าไปสองสามก้าว หลวงจีนท่านหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาจากด้านหลังรูปปั้นเทวนารี “นมัสการเจ้าค่ะ” นางตกใจอยู่บ้างที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวออกมาโดยไม่ให้สุ้มเสียง แต่ก็สำรวมท่าทีได้ทัน “อมิตตาพุทธ” “ไม่ทราบว่าข้าน้อยได้รบกวนท่านหรือไม่ หากข้าน้อยทำไปแล้ว เรียนขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” “ไม่เลย เพียงแต่บริเวณนี้ทรุดโทรมไม่ได้ทำนุบำรุงมานาน เกรงว่าจะเกิดอันตรายได้ หากท่านไม่มีความจำเป็นใดๆ ออกไปจากตรงนี้จะดีกว่า” “ข้าน้อยเดินดูเรื่อยเปื่อย ไม่ทราบว่าจุดนี้เป็นอันตราย ขอบคุณไต้ซื่อที่ตักเตือน” เหยาอี้เหยายอบกายคารวะ ถอยห่างกลับออกไป ทว่านางมีความแคลงใจเกิดขึ้นมา เนื่องจากจำได้ว่าไต้ซื่อท่านนี้ดูเหมือนจะออกมาจากรูปปั้นเทวนารีไม่ใช่หรือ อีกทั้งเสียงเคาะนั่น ราวกับเรียกนางอย่างไรอย่างนั้น ...แต่จะเป็นไปได้หรือ ลางสังหรณ์นี้รบกวนจิตใจนาง สุดท้ายจึงย้อนกลับไปอีกครั้ง โดยดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนหรือไต้ซื่ออยู่แล้ว เหยาอี้เหยาเดินเข้าไปข้ามไม้กั้น รูปปั้นเทวนารีมีหญ้าขึ้นอยู่ทั่ว กิ่งก้านต้นไม้ปกคลุมทรุดโทรม เป็นสถานที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างที่ไต้ซื่อว่า ทว่ามีจุดหนึ่งที่น่าสงสัย รอยต่อของหญ้าบริเวณกึ่งกลางลำตัวรูปปั้นเทวนารี ขาดออกจากกัน แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ชัดเจนว่ามีบางสิ่ง ตัดผืนหญ้าที่เกาะรูปปั้นออกไป น่าสงสัยยิ่ง เหยาอี้เหยายื่นมือออกไป หมายตาบริเวณคทาของรูปปั้น ทว่านางสูงไม่ถึง จึงต้องเขย่งอีกหน่อย เวลานั้นมีเข็มพุ่งมาแทงท้ายทอยนาง ฤทธิ์ยาเริ่มไหลเวียนเข้าสู่กระแสเลือด แม้นางจะดึงออกแล้วก็ไม่ทัน “ไต้ซื่อ…” ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วครู่ นางยังไม่ทันพูดจนจบประโยค ก็ล้มลงหมดสติ “คุณหนูท่านนี้ ข้าเตือนแล้วมิใช่หรือว่าอย่ามาตรงนี้” หลวงจีนย่อตัวลง “เป็นเจ้ารนหาที่เอง” "อย่างนั้นหรือ" ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ฉู่ซีเย่อยู่ตรงนี้ มองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาเรียบเย็น "ถูกเปิดโปงแล้ว เช่นนี้ก็ไม่ต้องไว้ไมตรี"หลวงจีนระงับความตกใจ รีบซัดอาวุธลับใส่ฉู่ซีเย่ ทว่ายังไม่ทันได้ออกอาวุธ จินเฟยก็จัดการเรียบร้อยแล้ว "จับคนในวัดให้หมด เอาตัวไปไต่สวน" พริบตาเดียว สถานการณ์ก็อยู่ในความควบคุมของฉู่ซีเย่ เขาปรายตามองนางที่นอนอยู่บนพื้น "คิดจะนอนอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม"ฉู่ซีเย่รู้ว่านางไม่เป็นอะไรสักนิด จึงเดินเลยนางไปที่รูปปั้นเทวนารี เหยาอี้เหยาลืมตา เป็นจังหวะเดี๋ยวกันกับที่ฉู่ซีเย่ขยับคทา ประตูลับในตัวรูปปั้นจึงเปิดออก ภายในมีหญิงสาวร่างกายบาดเจ็บสาหัสทรุดอยู่ที่พื้น ส่งเสียงออกมาเบาๆ "...น้ำ...ขอน้ำหน่อย..." เหยาอี้เหยาตกตะลึงครู่หนึ่ง ถึงค่อยๆ ส่งเสียงออกมาได้ "จางลี่ เจ้า..." จางลี่ร้องไห้เมื่อเห็นว่าใครมาช่วยนาง "คุณหนูเหยา ข้าน้อยผิดต่อท่าน ผิดต่อท่านอย่างไม่น่าให้อภัย..." "ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ"เหยาอี้เหยาแบกนางไปเอง เพราะฉู่ซีเย่ไม่แยแสฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”