ฉู่ซีเย่คล้ายคิดคำนวณไว้อย่างดี ไม่ให้จุดคลายก่อนโจรจะมา
เหยาอี้เหยาหลับตาแสร้งว่าหมดสติไปแล้ว ปล่อยให้คนมัดมือนางแล้วโยนใส่รถม้า พวกโจรดูเบิกบานใจเมื่อคิดว่าสามารถจับตัวองค์หญิงแห่งต้าหย่งได้ โดยไม่รู้เลยว่านางคือตัวปลอมเท่านั้น เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยและขรุขระทำนางเนื้อเขียว เหยาอี้เหยาไม่ส่งเสียงจนนางถูกหิ้วไปทิ้งไว้ในห้องขัง เครื่องประดับนางถูกริบไปหมด แม้แต่ปิ่นเงินของท่านแม่ ห้องขังเย็นชื้นนัก เหยาอี้เหยานอนบนพื้นโคลนเหม็นฉุน นางลืมตาเมื่อเสียงคนย่ำเท้าเดินห่างออกไปแล้ว เวลานั้นฟ้าสาง ความสว่างเผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งมีคนอยู่ด้วย เป็นหญิงสาวจากเมืองชงและเมืองอื่นๆ ที่ถูกจับมาเช่นกัน พวกนางดูหวาดกลัวและหิวโหย เกาะกลุ่มกันอยู่ที่มุมห้อง พร้อมจ้องมองชุดของเหยาอี้เหยาด้วยอาการสั่นเทา “หนาวรึ” พวกนางพยักหน้า ผ้าบนตัวไม่สามารถที่จะเรียกได้ว่าชุด เหยาอี้เหยาจึงถอดเสื้อคลุมซึ่งฉู่ซื่อจื่อเป็นคนซื้อให้ แบ่งให้กับพวกนาง รวมทั้งยังยินดีที่จะถอดเสื้อตัวนอกอีกชั้นให้พวกนางสวม ตอนนี้นางจึงเหลือเพียงชั้นในและเสื้อนอกอีกชั้นที่ไม่ค่อยกันหนาวนัก “อันนี้ให้เจ้า” เสื่อผุพังชิ้นหนึ่งถูกหยิบยื่นมาให้เหยาอี้เหยา นางไม่รังเกียจและรับมาด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะนอนหลับบนไปบนเสื่อ ไม่กี่ชั่วยามต่อมา ยามเฝ้าคุกก็มาเคาะประตู ต้อนให้พวกนางทั้งหมดห้าคน เดินทางไปยังทางมืดๆ “เดินให้มันเร็วๆ หน่อย!” พวกนางถูกมัดติดกัน เหยาอี้เหยาอยู่ในลำดับแรก นางพึ่งสังเกตว่าตนเองไม่ได้สวมรองเท้า ไม่รู้หายไปตอนไหน ครั้นเหยียบย่างเท้าไปบนพื้นเย็นๆ นางจึงรู้สึกชาไปหมด คบไฟที่จุดไว้ข้างผนังสั่นไหว เส้นทางราวกับไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่งพวกนางถูกนำมายังห้องโถงขนาดใหญ่ เสาค้ำสลักทองคำ ข้าวของเครื่องใช้ภายในหรูหราราวกับเขาคือราชา เหยาอี้เหยาถูกบังคับให้คุกเข่า ห้ามเงยหน้ามองคนเบื้องหน้าซึ่งเหล่าโจรเรียกเขาว่า ‘จี๋เฉวียน’ บรรยากาศภายในครึกครื้นอย่างอึมครึม นางรำซึ่งร่ายรำราวกับเทพธิดาไร้อารมณ์สนุกสนาน พวกนางเพียงร่ายรำเพื่อไม่ให้จี๋เฉวียนสั่งฆ่าพวกนางเท่านั้น “พอแล้ว” จี๋เฉวียนบอกให้พอ ทั้งนางรำและนักดนตรีจึงหยุดในทันที เหล่าพี่น้องในหุบเขาโจรของเขานั่งชันขาอยู่บนโต๊ะ จ้องมองเด็กสาวในชุดที่ดูก็รู้ว่าแบ่งไปจากองค์หญิงแห่งต้าหย่ง ก่อนจะเลื่อนสายตามามองเหยาอี้เหยา ในบรรดาพวกนาง เหยาอี้เหยามีรูปร่างที่เล็กบอบบางที่สุด นางสามเสื้อสีอ่อนลายดอกไม้ ผมที่เกลาขึ้นปล่อยปอยให้เคลียใบหน้ายิ่งเสริมให้นางดูคล้ายตุ๊กตาดินเผา ชาติกำเนิดของนางทำให้นางโดดเด่นงดงามแม้จะอยู่ในวัยที่ยังเยาว์และใบหน้าสกปรกมอมแมม “ให้เดา ดูเหมือนเจ้าจะเป็นองค์หญิงแห่งต้าหย่งสินะ เหตุใดจึงเด็กปานนี้” จี๋เฉวียนลงแรงไปมากเพื่อให้ได้ตัวองค์หญิงแห่งต้าหย่งมาเป็นเมียเพื่อแก้แค้นฉู่ซีเย่ แต่นางเด็กนัก ทว่าไม่เป็นไร เอามาเลี้ยงให้โตก่อนก็ได้ เหยาอี้เหยาไม่ตอบ นางคิดว่าพูดให้น้อยที่สุดจะดีกว่า “องค์หญิง มีมารยาทหรือไม่ ข้าถาม เหตุใดท่านไม่ตอบเล่า หรือถือตัวว่าเป็นองค์หญิง ไม่สนทนาพาทีกับโจรเช่นข้า” “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยเพียงแต่เกรงกลัวท่านจนพูดไม่ออก” นางไม่ได้โป้ปดเลย จี๋เฉวียนเป็นคนโฉดโดยแท้จริง เขามีรูปร่างสูงใหญ่เฉกเช่นชาวแดนเหนือมองโกล ใบหน้าซึ่งแบนใหญ่มีร่องรอยบาดแผลตรงแก้มเสริมให้ดูน่าเกรงขาม “โอ้ เช่นนั้นหรอกรึ” จี๋เฉวียนหัวเราะ เหล่าพี่น้องจึงหัวเราะตาม “องค์หญิง ท่านมีนามว่าอะไร” เหยาอี้เหยารู้เพียงว่านางต้องสวมรอยเป็นองค์หญิง “หย่งเยี่ยน แล้วท่านเล่า มีนามว่าอะไร” แม้ไม่อยากสวมรอยเป็นองค์หญิง แต่ฉู่ซีเย่พูดถูก นางต้องทำให้พวกโจรรู้คิดว่านางคือองค์หญิง ถึงจะมีชีวิตรอดได้ “จี๋เฉวียน” เขาตอบ ปกติคนทั่วไปไม่กล้าสบตาเขาเท่าใดหรอก แต่เหยาอี้เหยากล้าสบตาและตอบโต้เขาด้วยท่าทีธรรมชาติ ไม่ได้ดูหยิ่งยโสหรือหวาดกลัวใดๆ น่าสนใจนัก… “องค์หญิง คืนนี้เรามาเล่นเกมอะไรหน่อยดีหรือไม่” จี๋เฉวียนลุกจากที่นั่ง เท้าของเขามีกลิ่นเหม็นรุนแรงราวกับเนื้อเน่า จนหญิงสาวทุกคนต้องทำหน้าพะอืดพะอม เรื่องนี้จี๋เฉวียนรู้ดี เขาจึงจงใจเดินเข้ามาใกล้ให้พวกนางได้กลิ่นอย่างชัดเจน “เกมอะไรรึ” เหยาอี้เหยาได้กลิ่นเน่าที่ชวนให้วิงเวียนและอยากอาเจียน แต่นางเก็บอาการและสีหน้าเอาไว้ เพราะจี๋เฉวียนฆ่านางแน่ หากแสดงสีหน้าออกไป ความเฉลียวฉลาดนางทำจี๋เฉวียนพึงใจอย่างมาก “เกมของข้าง่ายมาก หากพวกเจ้าตอบได้ดี ข้าจะละเว้นชีวิตให้ แต่ถ้าตอบไม่ดี ข้าจะฆ่าทิ้ง” จี๋เฉวียนออกปล้นในแถบแดนเหนือและนอกด่าน เขามีร่างกายใหญ่โตและไม่เคยพ่ายศึก แต่ครึ่งปีก่อนเขาออกปล้นแล้วปะทะกับฉู่ซีเย่ เป็นครั้งแรกที่เขาพ่ายแพ้และต้องเสียที ท่ามกลางหิมะเย็นเยียบ จี๋เฉวียนต้องสูญเสียนิ้วเท้าทั้งหมดจากการกัดของหิมะและเกิดอาการติดเชื้อทำให้เท้าของเขามีแผลเน่าเหวอะหวะ จนถึงตอนนี้ก็รักษาไม่หายดี เท้าของเขาจึงส่งกลิ่นเหม็นเน่าราวกับศพออกมาตลอด “เชิญถาม” จี๋เฉวียนบอกให้เหยาอี้เหยารอก่อน เขาจะถามนางเป็นคนสุดท้าย เพราะจะจัดการกับเหล่าหญิงสาวที่เป็นไส้ศึกให้คนอื่นจนกองโจรต้องพบความพ่ายแพ้ “เจ้า ตอบมาสิว่าเท้าของข้ามีกลิ่นเหม็นหรือไม่” หญิงสาวคนแรกที่ถูกถามโกหก “มะ…ไม่เหม็นเจ้าค่ะ” จี๋เฉวียนสั่ง “ฆ่า ข้าไม่ชอบคนโกหก” เหยาอี้เหยาหลับตา เสียงกรีดร้องดังขึ้นชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เสียงจะเงียบลง จี๋เฉวียนถามหญิงสาวคนต่อไป นางคงได้บทเรียนจากคนแรกจึงตอบด้วยความสัตย์จริง “มะ…เหม็นเจ้าค่ะ” “ฆ่า” เหยาอี้เหยาหลับตา ไม่กล้ามอง “เจ้าเล่า” หญิงสาวคนต่อมาช็อกจนพูดไม่ออก จี๋เฉวียนสั่งฆ่าเพราะนางไม่ตอบ ส่วนหญิงสาวอีกคนพยายามหนีจึงถูกฆ่าเลือดสาดกระเซ็นมาถูกตัวเหยาอี้เหยาจนชุ่ม ภายในชั่วครู่สั้น รอบกายของเหยาอี้เหยาก็มีแต่ศพและเลือดเหม็นคลุ้ง จี๋เฉวียนเดินมาหยุดลงตรงหน้านาง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหี้ยม “องค์หญิง เท้าของข้ามีกลิ่นหรือไม่” เหยาอี้เหยากำมือแน่นเพื่อระงับอาการสั่นเทา นางฉลาดพอที่จะรู้ว่าจี๋เฉวียนไม่ได้ต้องการคำตอบ เขาเพียงอยากหาเหตุผลเพื่อฆ่าคนเท่านั้น ไม่ว่าจะตอบอะไร ก็ต้องถูกฆ่า… ทางเดียวที่นางจะรอดคือตอบเหมือนไม่ได้ตอบ เพื่อยืดเวลาออกไป “ข้าไม่สบายจึงไม่ค่อยได้กลิ่นนัก ท่านรออีกสองสามวันให้ข้าหายดีก่อน ค่อยถามข้าได้หรือไม่” เหยาอี้เหยาตัวแข็งทื่อ เมื่อลายนิ้วสากกร้านกุมลำคอนางไว้ นางคิดว่านางคงถูกบีบคอจนตายแน่ แต่จี๋เฉวียนปล่อยนางในที่สุด “สมกับเป็นองค์หญิง คำตอบของเจ้าถูกใจข้ายิ่งนัก” จี๋เฉวียนตัดเชือก “เอาองค์หญิงไปขัง ดูแลให้นางกินอิ่มนอนหลับ รอให้นางหายดีแล้ว ข้าจะถามนางใหม่ด้วยตัวเอง” เหยาอี้เหยากลับมาอยู่ที่ห้องขัง ครู่ต่อมานางอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง กิ่งไม้ไหวเมื่อลู่หมิงโดดข้ามกำแพงลงมาบนพื้นหิมะ ร่างสูงเคลื่อนไหวอยู่ข้างซอกกำแพงในยามรุ่งสาง ซ่างเจวี๋ยชักกระบี่ออกมา เสื้อคลุมตัวยาวสะบัดไปด้านหลัง ลู่หมิงเบี่ยงกายหลบ อาการบาดเจ็บยังผลให้เขาถูกซ่างเจวี๋ยควบคุมได้โดยง่าย “แม่ทัพซ่าง ท่านเกลียดชังข้าหรือไร” ปลายกระบี่คมวาววางพาดอยู่บนลำคอ สายตาซ่างเจวี๋ยหวานแต่เฉียบคมนัก เขามองเห็นรอยหมึกที่เปื้อนนิ้วมือของราชทูตลู่เป็นอันดับแรก บ่งบอกว่าคนผู้นี้พึ่งเขียนจดหมายและส่งจดหมายให้ใครบางคน ซ่างเจวี๋ย “มีอะไรที่เจ้าปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่” “เจ้าแอบสอดแนมข้ารึ” ลู่หมิงเอ่ยถาม ไม่ได้หวั่นเกรงต่อความเย็นที่อาจบั่นคอเขาได้ในชั่วพริบตา “คงคล้ายกับที่เจ้าสอดแนมแม่ทัพกงจิ้งกระมัง” เดิมลู่หมิงบาดเจ็บจากเมื่อครู่อย่างมาก ทว่าเขาเพียงรักษาตัวลวกๆ แล้วมาเตร็ดเตร่ในซอกกำแพงเช่นนี้ ซ่างเจวี๋ยไม่สงสัยเขาได้หรือ “บอกข้ามาว่าเจ้ามาทำอันใดที่นี้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องลงมือหนักแล้ว” “เจ้าอยากรู้ว่าข้ามาทำอันใดตรงนี้ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้ามาทำอันใดที่นี่” ลู่หมิงใช้ปลายนิ้วดันปลายกระบี่ออกไป เป็นเวลาเดียวกันกับที่แม่ทัพกงจิ้งควบม้าผ่านไป ซ่างเจวี๋ยที่อยู่สูงกว่ามองเห็นได้ในทันที เนื่องจากเขาตามแม่ทัพกงจิ้งมาตลอดทาง แปลกยิ่ง แม่ทัพกงทิ้งคำสั่งห้ามเคลื่อนไหวส่งเดชแล้วบอกจะไปเมืองเสินหยางเพื่อขอความช่วยเหลือจากไท่จื่อ แต่ที่ซ่างเจวี๋ยเห็น คือแม่ทัพกงกำลังไปจิงหลิง “ลู่หมิง เจ้ารู้อันใดกันแน่ บอกข้ามา” “องค์หญิงหายไป” “ข้ารู้ ถูกพวกโจรจับไปพร้อมอี้เหยาอย่างไรล่ะ ข้าละอยากเอากองทัพไปถล่มพวกโจรให้สิ้น” ลู่หมิงส่ายหน้าว่าไม่ได้ “ไม่ได้ ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ องค์หญิงจะเสื่อมเสียเกียรติยศ” “ไม่จริง องค์หญิงจะเสื่อมเสียแน่หากเรายังไม่ทำอันใดสักอย่าง ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดต้องรอ ในเมื่อเราไปช่วยองค์หญิงและอี้เหยาได้ทันที” “ไม่มีองค์หญิงให้เจ้าช่วย” “เจ้าว่าอะไรนะ” “พระองค์หายตัวไปนานแล้ว” “เจ้ารู้ได้อย่างไร ลู่หมิง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากเจ้าพูดส่งเดช ระวังหัวจะหลุดจากบ่า” “ซ่างเจวี๋ย ข้าจะเปิดใจคุยกับเจ้า ความจริงข้าเป็นสายของไท่จื่อ พระองค์ทรงทราบว่าองค์หญิงเจ็ดจะทรงสร้างปัญหาแน่ จึงส่งข้ามา แต่องค์หญิงร้ายกาจนัก ทรงหนีไปเองคนเดียวในระหว่างทาง เพราะมั่นใจว่ากงจิ้งกับฉู่ซื่อจื่อต้องไม่กล้าปริปาก ข้าเองก็ต้องปิดปากเงียบไว้ เกรงว่าถ้าความจริงถูกเปิดเผย จะฉีกหน้าราชวงศ์เป็นชิ้นๆ รวมทั้งการเจริญสัมพันธไมตรีในครานี้ คงจบสิ้นแน่” “เหลวไหล ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งเหลวไหล เจ้ากำลังบอกว่าเราต้องปล่อยให้อี้เหยารับเคราะห์เพื่อปกป้องเกียรติขององค์หญิงงั้นรึ!” “จะมีคนตายเรือนหมื่นซ่างเจวี๋ย เจ้าเข้าใจไหมว่าเรื่องนี้เป็นเหตุก่อสงครามระหว่างราชวงศ์กับชาวแดนเหนือได้” จิงหลิงอยู่ห่างจากเมืองโจวอี้นับพันลี้ ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นสัปดาห์ หากควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักจะถึงภายในสองสามวันแต่นั้นนานเกินไป กงจิ้งจึงทิ้งม้าเมื่อมาถึงทะเลสาบ เขาจะล่องแพไปเมืองจิงหลิงเพื่อพาองค์หญิงหย่งเยี่ยนกลับมา แต่กงจิ้งพบคนผู้หนึ่งที่นั้น ร่างสูงในชุดสีอ่อนยืนอยู่บนแพ กงจิ้งคุกเข่าปลดดาบออกมาวางข้างหน้า สำนึกดีในความผิดที่ตนได้ทำและปกปิด “คารวะไท่จื่อ! กระหม่อมไม่ได้ความ ตายหมื่นครั้งก็ไม่พอชดใช้ ขอพระองค์ทรงโปรดลงโทษ!” หย่งสวินเก็บจดหมายหลังเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง ก่อนจะเอ่ยให้แม่ทัพกงลุกขึ้น “แม่ทัพกง ความผิดของเจ้าที่ปล่อยให้อาเยี่ยนหายไปค่อยสะสาง ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาก่อนว่านางอยู่ที่ใด” “เรียนไท่จื่อ ฉู่ซื่อจื่อสืบได้ความว่าองค์หญิงเจ็ดทรงอยู่ที่เมืองจิงหลิงพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นไปตามนางกลับมา”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”