ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทเมื่อเหยาอี้เหยาตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่นางเผชิญได้หายไปแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกอ่อนล้าและกระหายน้ำ นอกจากนั้นร่างกายก็ไม่ได้เจ็บปวดที่ตรงไหนอีก
จางลี่คล้ายจะได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงยกศีรษะขึ้นมาจากที่นอนบนพื้นแล้วมองหา ก่อนจะพบว่าเหยาอี้เหยากำลังลุกจากตั่งเตียงด้วยความทุลักทุเลจึงเข้าประคอง “คุณหนูเหยา ท่านตื่นแล้วหรือ” หลายวันมานี้จางลี่ถูกกงจิ้งคาดโทษไว้ ฐานที่ไม่ดูแลคุณหนูเหยาให้ได้ดี นางกลัวจะถูกลงโทษส่งตัวกลับบ้านเกิด จึงได้เริ่มทำตัวเหมือนสาวใช้มากขึ้น “อืม ข้าหิวน้ำ” เหยาอี้เหยานั่งหอบ นางรู้สึกราวกับได้สูญเสียกำลังจำนวนมากไป “รอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปต้มน้ำชามาให้ท่าน” “ไม่เอาน้ำชา ข้าอยากได้น้ำเย็นๆ” เหยาอี้เหยาไม่รู้สึกอยากน้ำชา หรือของร้อน อาจจะเพราะร่างกายภายในยังรู้สึกร้อนผ่าวนางอยากดื่มน้ำเย็นเพื่อดับกระหาย จางลี่จึงไปรินน้ำมาให้นางดื่ม สีหน้าของนางจึงสดชื่นขึ้น “จางลี่ ช่วยเปิดหน้าต่างให้ข้าได้สูดอากาศหน่อย” “หนาวนะเจ้าคะ สองสามวันมานี้อากาศเย็นลงมาก” “ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือ” เหยาอี้เหยามองออกไปยังหน้าต่าง ละอองหิมะปลิดปลิวเข้ามาจากทางหน้าต่างมวลอากาศเย็นแผ่ขยายจนเทียนสั่นไหว “เจ้าค่ะ แม่ทัพกง แม่ทัพซ่าง ราชทูตลู่ต่างก็ร้อนใจมาก เชิญท่านหมอมาตรวจท่านหลายครั้ง” จางลี่เรียกตัวสาวใช้คนอื่นเข้ามาก่อนจะสั่งให้ไปเรียนคนทั้งสามว่าคุณหนูเหยาฟื้นแล้ว “ฉู่ซื่อจื่อลงใต้เป็นอย่างไรบ้าง” นางหลับไปตั้งแต่วันนั้น ไม่รู้สองสามวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง “เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ฉู่ซื่อจื่อควบม้าเร็วไป คาดว่าไม่เกิดครึ่งเดือนคงถึงต้าหย่ง” ขบวนครั้งนี้ของฉู่ซีเย่มีคนจำกัดเพื่อทำเวลา เขาให้ม้าเร็วสิบตัวลากแผ่นน้ำเเข็งเพื่อรักษาพระศพขององค์หญิงจากเหนือลงใต้ หากแผ่นน้ำแข็งละลายก็ใช้น้ำยาแช่ศพเพื่อคงร่างกายของพระองค์ไว้ การเดินทางจึงต้องรวดเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นร่างกายขององค์หญิงจะเสียหายตามกาลเวลา เหยาอี้เหยาได้ยินว่าเขาลงใต้แล้วก็สบายใจจึงวางจอกลง นางมองไปรอบกาย ก่อนจะรู้สึกแปลกใจ “เราย้ายที่อยู่หรือ” นางจำเรือนที่พักของตนเองภายในจวนสกุลฉู่ได้ ทว่าตอนนี้ ห้องของนางไม่ใช่ห้องเดิม แต่เครื่องเรือนพร้อมผ้าม่านบ่งบอกว่านางยังคงอยู่ภายในจวนสกุลฉู่ “เจ้าค่ะ” จางลี่คล้ายไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่เป็นความไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นจากผู้อื่น ไม่ใช่จากเหยาอี้เหยา “เกิดอะไรขึ้น” หาได้ยากที่จางลี่จะไม่พอใจผู้อื่นนอกจากนาง แถมยังทำท่าทางเหมือนอึดอัดคับข้องใจแทนนางด้วย “วันที่ท่านป่วย เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฉู่ซื่อจื่อเดินทางลงใต้ คุณชายฉู่ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองโจวอี้ชั่วคราวจึงเข้ามาพำนักในจวน เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่ยังให้คุณชายหยางและคุณหนูหยางเข้ามาอยู่ด้วย ยัยคุณหนูหยางนั่นบอกว่าเรือนพักของนางหลังคารั่ว จึงขอมาสลับเรือนกับเราเจ้าค่ะ” “อ่อ เช่นนี้นี่เอง” เหยาอี้เหยาไม่ได้รู้สึกแย่ใดๆ เรือนหลังนี้ไม่ได้มีอะไรบกพร่อง เพียงแต่ไม่ได้ดีพร้อมเท่าเรือนที่นางเคยอยู่ “ท่านไม่รู้สึกคับข้องใจหรือเจ้าคะ คุณหนูหยางกล้าวางโตใส่ท่าน อีกหน่อยคงจะไล่ท่านออกไปแน่ ทั้งๆ ที่ฉู่ซื่อจื่อให้ท่านพักในเรือนหลังนั้นแท้ๆ” แรกเริ่มจางลี่ไม่ชอบเหยาอี้เหยา แต่ตอนนี้นางมองเห็นช่องทางเป็นใหญ่ของตนเองจากคุณหนูเหยาเพราะหากคุณหนูเหยาได้เป็นชายาหรือเป็นอนุของฉู่ซื่อจื่อ นางก็จะพลอยได้รับความเมตตา แต่ดูเถิด ตอนนี้เหมือนว่าจะมีมารมาขัดลาภเสียแล้ว จางลี่นึกถึงสาวรับใช้ของคุณหนูหยางแล้วคันมือ อยากตบให้คว่ำตั้งแต่วันนั้นที่มาไล่พวกนาง “นางจะไล่ข้าได้อย่างไร นางไม่ใช่เจ้าบ้านเสียหน่อย” ความทรงจำของนางผุดภาพของเด็กสาวแรกรุ่นวัยสะพรั่ง เหยาอี้เหยาจดจำใบหน้าของหยางซือฉีได้ ดวงตานางงดงามเหมือนเมล็ดซิ่ง เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวนวลเนียน มองได้ไม่รู้จักเบื่อขนาดเหยาอี้เหยาเป็นสตรีด้วยกันยังมองนางว่างดงามถึงเพียงนี้ แล้วบุรุษจะขนาดไหน นางเชื่อเลยว่าไม่มีบุรุษคนใดกล้าปฏิเสธนางอย่างแน่นอน “คุณหนูเหยา ท่านอย่าได้วางใจไป คุณหนูหยางงดงามนัก ข้าว่า ท่านเจ้าเมืองชงคงตั้งใจพานางเข้ามาอยู่ในจวนเพื่อล่อลวงฉู่ซื่อจื่อเป็นแน่” “อย่าใส่ร้ายผู้อื่นส่งเดช คุณหนูหยางจะเสียหายได้” เหยาอี้เหยาเอนตัวลงนอน นางรู้สึกว่าให้จางลี่ไม่แยแสนางเหมือนเดิมดีกว่า เวลานี้นางใส่ใจเกินไป “คุณหนูเหยา ระวังเถิด ถ้าหากท่านถูกนางเขี่ยทิ้งไปจะทำเช่นไร แม้ท่านจะไม่ได้ด้อยกว่านางเลย แต่ท่านยังไม่ถึงวัยดึงดูดใจบุรุษ” คุณหนูเหยาผอมบาง ผิวก็ซีดขาว ยามนี้นางยังคงเยาว์นัก ไม่มีเสน่ห์ของสตรีแม้แต่น้อย “จางลี่ ข้าจะพักผ่อน เจ้าหยุดพูดได้แล้ว” เหยาอี้เหยาตัดบท นางต้องการเวลาเงียบๆ เพื่อคิดทบทวนและหาแผนรับมือในอนาคต แต่พอหลับตาลง กงจิ้งก็มาถึงแล้ว ทว่าคนที่ผลักประตูเข้ามาก่อนคือซ่างเจวี๋ย ส่วนลู่หมิงมาถึงเป็นคนสุดท้าย “อี้เหยา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ซ่างเจวี๋ยเอ่ยถาม เหยาอี้เหยาตอบยิ้มๆ สายตาของเขาบ่งบอกว่ารู้แล้วว่านางถูกพิษแมลงคุณไสย “สบายดีเจ้าค่ะ” เมื่อเริ่มดีขึ้น เหยาอี้เหยาได้เข้าเฝ้าไท่จื่อหย่งสวินก่อนที่พระองค์จะเดินทางกลับเมืองเสินหยาง เนื่องจากแผนการที่ได้วางไว้สำเร็จแล้ว ตอนนี้สิ่งที่พระองค์ต้องทำคือการทำให้การลงใต้ครั้งนี้ของฉู่ซีเย่ ต้องประสบเคราะห์ในทุกๆ การเคลื่อนไหว แม้ว่าหย่งสวินจะไม่มีสายไว้คอยรายงานความเป็นไปของฉู่ซีเย่ แต่เขาก็วางแผนดักซุ่มอยู่ก่อนแล้วในเส้นทางที่ฉู่ซีเย่จะผ่านคาดว่าวันพรุ่งนี้ คงเริ่มงานลอบสังหารได้ “ไท่จื่อ ข้าน้อยขอเรียนถามพระองค์สักคำถามได้หรือไม่เพคะ” นางข้องใจว่าถ้าหากพระองค์ได้วางแผนลอบสังหารฉู่ซีเย่ไว้แล้ว เหตุใดต้องพยายามส่งนางเข้ามาใกล้ชิดฉู่ซีเย่อีก “ข้าไม่เชื่อว่าคนอย่างฉู่ซีเย่จะตายง่ายๆ เช่นนี้” แต่ท่านวางแผนลอบสังหารตั้งแต่เมืองเสินหยางลงไปถึงต้าหย่ง ต่อให้เป็นฉู่ซีเย่ก็ไม่น่าจะรอดกระมัง? หย่งสวินพูดราวกับอ่านใจได้ “เจ้าไม่รู้จักฉู่ซีเย่ จะโค่นล้มเขา ต้องวางหลุมไว้ให้มากที่สุดถึงจะวางใจได้” “ถ้าหากแผนของท่านสำเร็จแล้ว ท่านจะทำอย่างไรกับข้า” พิษในร่างกายของนางเป็นพิษที่ถอนไม่ได้ อีกอย่างนางไม่เชื่อว่าคนอำมหิตเช่นไท่จื่อ จะมีเมตตาปล่อยให้นางได้มีโอกาสหายใจต่อไป ความจริงแล้วชีวิตนางเสี่ยงไม่น้อย ทันทีที่ฉู่ซีเย่ตายนางก็หมดประโยชน์ “เจ้ากลัวว่าข้าจะสังหารเจ้าทิ้งทันทีที่ฉู่ซีเย่ตายกระมัง” “ข้าน้อยไม่อยากตาย” “นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เจ้าแปรพักตร์จากข้ารึ” หย่งสวินไม่ใช่คนเขลา เขาย่อมมองออกว่าเมื่อสี่วันก่อน นางทำร้ายตนเองเพื่อฉู่ซีเย่ การกระทำของนางคือการหักหลัง สมควรสังหารเสีย… “ไท่จื่อ ท่านก็รู้ว่าฉู่ซื่อจื่อฉลาดนัก หากข้าน้อยไม่ทำให้เขาคิดว่าข้าน้อยหักหลังพระองค์ เขาจะไว้ชีวิตข้าหรือ” เหยาอี้เหยาได้แต่คุกเข่า ดาบสีเงินวางพาดอยู่บนบ่า แต่นางได้คิดถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้แล้ว จึงรับมือได้ดี “ข้าน้อยต้องทำเช่นนี้เพื่อให้ฉู่ซื่อจื่อไว้ใจ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่พระองค์อยากรู้ ข้าน้อยจะสืบหาได้อย่างไร” ไท่จื่อหย่งสวินเป็นพวกขี้ระแวง พระองค์ไม่มีทางไว้ชีวิตนางแน่หากรู้ว่านางหักหลังพระองค์ เหยาอี้เหยาจึงเตรียมตัวมาแล้วว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร แม้จะต้องหลอกซ้อนหลอกก็ต้องทำ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเล่นละคร หรือหักหลังข้าจริงๆ” หย่งสวินกระชับดาบในมือ เขามองสบตาของเด็กสาว นางช่างอาจหาญ กล้าสบตาเขากลับโดยไม่มีวี่แววของความขลาดกลัวใดๆ “ท่านอยากให้ข้าน้อยล้วงความลับของฉู่ซื่อจื่อ วันนี้ข้าน้อยจึงมีความลับข้อหนึ่งมาเรียนท่าน” หย่งสวินดวงตาส่องประกาย “พูด” “ฉู่ซื่อจื่อลงใต้คราวนี้ เขาตั้งใจเดินทางไปพบคนผู้หนึ่ง” “ใคร” “องค์ชายหย่งหยวนหยวน” หย่งสวินเก็บดาบ แววตาเริ่มมืดลง “พูดมาให้ชัดเจน เจ้ารู้อันใดอีก” “ท่านก็น่าจะทราบว่าสิ่งที่ฉู่ซื่อจื่อต้องการคือการให้แม่ทัพฉู่ได้หวนกลับคืนสู่เมืองโจวอี้ รวมทั้งพาฉู่อ๋องกลับมา เขาถึงกลับยินยอมสมรสกับองค์หญิงเจ็ดเพื่อให้ราชวงศ์วางใจ แต่การสมรสล้มเหลวครอบครัวไม่อาจกลับมาอยู่พร้อมหน้าอีกไม่พอ พระองค์ยังดึงตัวฉู่กวงหลินมารับตำแหน่งเจ้าเมืองโจวอี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ฉู่ซื่อจื่อย่อมต้องหาแผนการใหม่เพื่อมาต่อกรกับพระองค์ ลดอำนาจของพระองค์” เหยาอี้เหยาท่องบทมาอย่างหนัก นางคิดเรื่องนี้มาเป็นประเด็น โดยใส่ความจริงลงไปผสมกับความเท็จ ความจริงคือทั้งสองติดต่อกันจริง แต่เป็นฝ่ายองค์ชายหย่งหยวนหยวนที่ติดต่อมา ฉู่ซีเย่ไม่เคยติดต่อกลับ เขาบอกว่าหย่งหยวนหยวนโง่เขลาไม่อยู่ในสายตา ทว่าหย่งหยวนหยวนเป็นองค์ชายผู้สืบทอดบัลลังก์ลำดับที่สอง ด้วยความที่เป็นองค์ชายที่กำเนิดจากกุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ อีกทั้งองค์ชายยังเป็นองค์ชายพระองค์เดียวที่ได้อยู่ในเมืองหลวง ในใจของไท่จื่อหย่งสวินย่อมอยากกำจัดและมองหย่งหยวนหยวนเป็นศัตรูมากกว่าผู้อื่น “ฉู่ซีเย่คิดจะร่วมมือกับเขาเพื่อต่อกรกับข้ารึ” “พระองค์กับองค์ชายหย่งหยวนหยวนมีสิทธิในบัลลังก์มากกว่าองค์ชายท่านอื่น หากข้าน้อยเป็นฉู่ซื่อจื่อ คงเข้าหาองค์ชายเช่นกัน” เหยาอี้เหยาเพียงเล่นละครตามที่ฉู่ซีเย่ได้วางบทไว้ “ร่วมมือแล้วอย่างไร องค์ชายหย่งหยวนหยวนจะทำอันใดได้” หย่งสวินไม่อยากจะเชื่อว่าคนมีสมองอย่างฉู่ซีเย่จะคิดร่วมมือคนโง่งมอย่างหย่งหยวนหยวน “ไท่จื่อ อย่าลืมว่าพระองค์ได้ทรงทำอะไรไว้ ฉู่ซื่อจื่อเคยพบหน้าองค์หญิง รู้จักมักคุ้นถึงขั้นส่งจดหมายขอความช่วยเหลือกันได้ ท่านคิดว่าเขาจะไม่รู้หรือว่าพระองค์สังหารองค์หญิงเจ็ด” หย่งสวินกุมดาบเเน่น แววตาเริ่มดำมืดจนสนิท มีโอกาสที่เขาจะถูกปลดจากเรื่องในครั้งนี้ได้ แล้วให้หย่งหยวนหยวนขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาทแทน “หากฉู่ซื่อจื่อนำเรื่องนี้ไปบอกองค์ชายหย่งหยวนหยวน แล้วเกิดการสืบสวนขึ้น ท่านคิดว่าจะเกิดอันใดขึ้น” เหยาอี้เหยาพูดต่อ “ฉู่ซื่อจื่ออาสานำร่างขององค์หญิงกลับต้าหย่งด้วยตนเอง ในใจเขาต้องวางแผนอันใดไว้แล้วเป็นแน่ บางทีพอถึงต้าหย่ง อาจจะแนะนำให้องค์ชายทูลขออนุญาตจากฝ่าบาท เชิญท่านหมอมาชันสูตรพลิกศพองค์หญิง ถึงเวลานั้นท่านจะทำอย่างไรกับความจริงที่ปรากฏออกมา” ฉู่ซีเย่บอกว่ามีโอกาสที่องค์หญิงจะถูกไท่จื่อหย่งสวินสังหารด้วยพิษ แม้อาจจะตรวจหาที่มาที่ไปยากเสียหน่อย แต่ศพของคนที่ถูกพิษก็คือถูกพิษ มีร่องรอยให้สืบหาแน่ หย่งสวินจะแน่ใจได้อย่างไรว่าหากได้ชันสูตรพลิกศพแล้ว เรื่องจะไม่สาวมาถึงตัว นี่ยังไม่รวมเรื่องที่องค์หญิงตั้งครรภ์ หากความจริงปรากฏออกมา เรื่องขององค์หญิงจะไม่จบลงอย่างง่ายดายแน่ หย่งสวินเริ่มรู้สึกว่าตนเองพลาดแล้วที่ไม่ทำลายศพนาง เขานึกเพียงว่าคงไม่มีผู้ใดคลางแคลงและกล้าจะชันสูตรพลิกศพหย่งเยี่ยน แต่ก็อย่างที่เหยาอี้เหยาบอก องค์ชายหย่งหยวนหยวนทำได้! ในเมื่อเรื่องนี้สามารถใช้แย่งสิทธิ์ไปจากหย่งสวินได้ ต่อให้ต้องทำอะไร หย่งหยวนหยวนก็คงพร้อมที่จะเสี่ยง ทว่าไม่เป็นไร หย่งสวินยังสามารถแก้ไขได้ สิ่งที่เขาต้องทำคือทำอย่างไรก็ได้ ให้ศพของหย่งเยี่ยน กลับไม่ถึงต้าหย่ง “ข้อมูลของเจ้ามีประโยชน์มาก" หย่งสวินมองนาง ใช้มือลูบพวงแก้มนางทีหนึ่ง "ทำประโยชน์เช่นนี้ต่อไป แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า" เหยาอี้เหยาก้มหน้า นางรู้สึกว่าแก้มของตนมีความร้อนอันระอุพาดผ่านจนอยากเช็ดแรงๆ กลางดึกเหยาอี้เหยาฝนหมึกอยู่ที่เรือน นางจุ่มพู่กันลงไปบนหมึกแล้วเขียนจดหมาย ลงท้ายถึง ‘อิ่นจื่อ’ ซึ่งเป็นชื่อที่ฉู่ซื่อจื่อบอกให้นางใช้เขียนลงในจดหมาย โดยไม่ได้บอกว่าเป็นนามซึ่งมารดาตั้งให้ของเขา นางจึงไม่ได้คิดว่าเป็นชื่อสำคัญ คิดแต่ว่าเป็นนามสมมุติที่เขาคิดขึ้น เหยาอี้เหยาเขียนอักษรลงไปหนึ่งแถว ความรู้ด้านอักษรของนางไม่เทียบเท่าผู้ใหญ่ แต่ก็ดีกว่าเด็กๆ ในวัยเดียวกัน ครั้นนางเขียนเรียบร้อยแล้ว จึงพับเป็นม้วนเล็กๆ สอดเอาไว้ในแขนเสื้อ รอพรุ่งนี้เช้านางจะส่งจดหมายไปให้หาฉู่ซีเย่ผ่านกงซุนหลาง ว่างานที่เขาสั่งให้นางทำสำเร็จแล้ว แม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉู่ซีเย่ต้องอยากให้นางพูดให้ไท่จื่อหย่งสวินอยากทำลายพระศพขององค์หญิง แต่นางไม่ได้ถามอะไร นางคิดเพียงว่าฉู่ซีเย่สติปัญญาซับซ้อนยากจะเข้าใจ เขาคงมีแผนการบางอย่างแล้วเป็นแน่ “ดับเทียนแล้วเจ้าไปนอนเถิด คืนนี้ไม่ต้องนอนที่นี้” เหยาอี้เหยาเอนลงบนตั่งเตียงเพื่อพักผ่อน พรุ่งนี้นางต้องหาโอกาสออกไปข้างนอกเพื่อดูแลคนผู้คน นางเรียกเขาว่า ‘คนลับๆ ของฉู่ซื่อจื่อ’ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”