รวีกานต์ค่อนขอด เวนิสาโบกมือไหวๆ มีรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ไม่ยอมตอบคำถามเพื่อน พอขึ้นรถได้ก็ขับออกไปนอกรั้ว
ศศินมองตามไม่วางตา รู้สึกห่วงใยแม่ตัวแสบ หล่อนจะขับรถดีไหม จะเป็นอะไรไปตอนขับรถหรือเปล่า
มือเรียวของรวีกานต์เลื่อนหลุดจากการคล้องแขนศศิน หญิงสาวมองชายที่ยืนอยู่ข้างตนอย่างปลดปลง ดูเอาเถิด เขายืนอยู่ข้างเธอแท้ๆ แต่ดวงตาแปะติดท้ายรถของเวนิสาไปแล้ว
“อะแฮ่ม! อยากขับรถตามไปไหมคะ” รวีกานต์ประชด
ศศินหันมาหา ทำไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่รวีกานต์เอ่ย “ไปเถอะ สายแล้ว” ทำเป็นตัดบทไม่พูดต่อ แล้วขับรถออกไป ทั้งสองไม่มีใครเอ่ยอะไรจนกระทั่งถึงบริษัท ศศินเป็นฝ่ายเปิดประตูรถให้รวีกานต์ หญิงสาวลงรถมาแล้วยืนนิ่งอยู่ชั่วนาที มีบางประโยคที่เธออยากบอกเขา
“ไม่เข้าไปเหรอ” เขาถามเมื่อรวีกานต์ไม่ก้าวเข้าไปในบริษัท
“ฉัน...กำลังคิดบางอย่างอยู่น่ะ”
“คิด?”
“ทำไมถึงทำแบบนี้ละคะ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ความผิดของบอส”
“มันใช่” เขายืนยัน
“มันใช่เพราะฉันยัดเยียด
ภายในรถยนต์ของศศิน ที่กำลังแล่นบนถนนที่รถรถรายังหนาตา ตอนเที่ยงเขาพาเวนิสาลงมาที่ลานจอดรถก็จริง แต่ไม่ได้ส่งหล่อนขึ้นรถของตัวเอง อย่างน้อยหากหล่อนไปอยู่ที่ไหน เขาก็ควรรู้ไม่ใช่หรือ แต่หล่อนน่ะ...เหมือนอยากหลบเลี่ยงไม่ยอมให้เขารู้ ตั้งท่าจะกลับเอง เขายื้อหล่อนไว้ตลอดบ่าย พาไปหาอะไรกิน พาไปดูหนังฟังเพลงจนตะวันลับขอบฟ้า แต่หล่อนก็ไม่ยอมตกหลุมพราง สุดท้ายก็ให้เขาพาไปส่งยังบ้านที่หล่อนอยู่กับเพื่อน และในระหว่างที่นั่งรถอยู่นั้น รวีกานต์ก็โทรหาหล่อน แล้วเรื่องทั้งหมดก็มาถึงจุดนี้ จุดที่เขากลายเป็นสารถีในขณะที่สองสาวนั่งเป็นคุณนายอยู่ที่เบาะข้างหลังหยดน้ำตายังเปื้อนใบหน้าของรวีกานต์แต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น เวนิสาไม่รู้จะทำอย่างไรดี จำได้ว่าตอนที่มาถึงรวีกานต์กำลังวิ่งหนีนักข่าวอยู่ คนพวกนั้นช่างแล้งน้ำใจ คนกำลังลำบากยังมาหากินแบบนี้ ทุเรศที่สุด“เขาอยู่ที่นั่นเหรอ” เวนิสาเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ รถคันหรูจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง ยังไม่ถึงบ้านของพวกเธอง่ายๆ รวีกานต์เอาแต่นั่งร้องไห้ หันหน้าเข้าหาประตูรถไม่ยอมมองหน้ากัน“อือ...กับผู้หญิงอีกคน ที
[18]เพราะฉันคือเพื่อน_____________แสงตะวันลาลับขอบฟ้าแล้ว ในตอนที่รวีกานต์ลุกจากที่เก้าอี้ที่นั่งอยู่ วันนี้เธอก็คงไม่ได้พบเขา มันเป็นเวรกรรมหรือว่าสวรรค์กลั่นแกล้งกันเล่า ตอนที่อยากเจอเธอกลับหลีกหนี มาตอนนี้ที่แค่อยากเจอหน้า แค่ได้คุยกับเขาสักสองสามคำกลับทำได้ยากเย็น เธอเข้าใจความรู้สึกของปลายภูแล้ว เขาคงทรมานในตอนที่เฝ้ารอเธอแล้วไม่ได้เจอ ทำไมเธอถึงใจร้ายนักนะ รู้ทั้งรู้ว่าเขาเฝ้ารออย่างมีหวัง แต่กลับทำลายความหวังของคนคนหนึ่งได้ลงคอปลายเท้ามนก้าวออกมาจากโถงทางเดิน ผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินสวนกันแต่ไม่มีใครหน้าคล้ายปลายภูเลยสักคน บางทีค่ำนี้เขาอาจไม่มาที่นี่ เขาอาจสวนทางกับเธอ ตอนนี้อาจอยู่ที่ร้านกาแฟ หรือไม่ก็...อยู่กับผู้หญิงคนนั้น คนที่ครอบครองโทรศัพท์มือถือเขาตั้งแต่เมื่อวานรวีกานต์เดินออกทางประตูหน้า เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปทางป้ายรถเมล์ ทว่าสองเท้ายังก้าวไม่พ้นชายคาคอนโดฯ ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น เขาเดินผ่านเธอไปเหมือนไม่เห็น หรือบ
เวลา 17:45 ณ คอนโดฯ ที่พักของปลายภูรวีกานต์กวาดตามองไปรอบๆ คอนโดฯ สุดหรู ที่สนนราคาคงสูงเกินกว่าพนักงานออฟฟิศอย่างเธอจะเอื้อมถึง วันนั้นหากเธอไม่เอาแต่จ่อมจมอยู่กับสิ่งที่สูญเสียไป คงได้รู้แล้วว่าฐานะของปลายภูไม่ธรรมดา วันนี้เธอมาหาเขา ไม่ได้มาเพราะรู้ว่าเขาร่ำรวย แต่มาเพราะคนอีกคนที่อยู่ในท้อง หวังว่าเขาจะไม่เข้าใจผิดวินาทีนี้เธอเข้าใจแล้วว่าการเป็นคนที่เห็นแก่เงินทองมากกว่าสิ่งอื่น มันน่ารังเกียจเพียงใด หากก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สารภาพกับเขาว่าชอบคนมีเงิน เธอคงไม่ต้องนึกละอายอยู่อย่างนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นปลายภูไม่ได้ผิด เป็นเธอเอง เป็นเธอที่ผิดมาตั้งแต่ต้น และเธอเอาแต่โทษคนอื่น ไม่กล้าแม้แต่จะโทษตัวเอง“นายจะยอมฟังฉันไหมนะ จะยอมคุยกับฉันไหม ขอโทษที่ให้รอเป็นเดือนนะปลายภู” เอ่ยกับตัวเองอย่างนั้นในตอนที่นั่งอยู่เก้าอี้หน้าล็อบบีอันโอ่โถง แค่ล็อบบียังนึกว่าเดินเข้ามาในโรงแรมห้าดาว ที่นี่...คงจะมีเฉพาะคนมีเงินซื้อหาเข้ามาพักกระมัง เธอตัดสินใจโทรหาปลายภูอีกครั้ง ด้วยอยากให้เขารู้ว่าเธอมารอที่นี่ กดเบอร์โทรออกแล้วรอสายอยู่นานกว่าจะมีคนรับสาย ทว่าก็
เวนิสาย่นจมูกใส่ หันมาแทะฝักมะขามต่อ รสชาติของมันสามารถสลายความขุ่นเคืองทั้งหลายทั้งปวงให้หมดไปได้“ขอโทษนะครับพี่ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าพี่...”“ช่างเถอะน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว นายกลับไปก่อนไป” ศศินไล่กลายๆ“จะรีบไล่ไปไหนเนี่ย” ปลายภูท้วง“แล้วจะอยู่ทำไม ฉันมีเวลาไม่มาก อยากคุยกับ เมีย ฉันหน่อย”“แค่กๆ” เสียงเวนิสาไอค่อกแค่ก“เม็ดมะขามติดคอหรือไง”“คำว่า เมีย ต่างหาก มันติดคอฉัน เลิกล้อเล่นซะทีได้ไหม คนอื่นได้ยินเข้าฉันขายไม่ออกพอดี”“ก็ช่างสิ ไม่มีใครซื้อฉันรับเลี้ยงก็ได้ จะกินสักแค่ไหนกันเชียว”“อา...อยู่ต่อผมต้องเป็นเบาหวานแน่ๆ ไปดีกว่า”แล้วปลายภูก็ลุกจากไป เขาเดินกลับไปทางเดิมเพื่อซื้อมะขามแช่อิ่มกระปุกใหม่ให้น้องสาว อย่างไรเสียวันนี้เขาต้องได้โทรศัพท์คืนมา เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่เขาไม่ได้โทรหารวีกานต์ หล่อนจะโกรธไหม จะคิดมากหรือเปล่า เขากลัวว่าหล่อนจะรออยู่ ยังมีความหวังเล็กๆ เพราะ
“เป็นอะไรเนี่ย เห็นผมหรือเปล่า”เจ้าของเสียงไม่ถามเฉยๆ แต่ยกหลังมืออังหน้าผากมน ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามพี่สาวคนดี ท่ามกลางสายตาคนที่ยืนมองอยู่ไกลๆศศินยืนนิ่งไม่ไหวติง อุตส่าห์เป็นห่วงเลยแวะมาดูเวนิสา เขาไม่น่ามาเลย หล่อนมีน้องชายผู้แสนดีคอยดูแลแล้วนี่“อือ...ปลายภูเหรอ” ถามเสียงเนือยๆ หลับตานิ่งๆ แล้วค่อยลืมขึ้นมาใหม่ ปลายภูนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ หน้ายุ่งเชียว“พี่เป็นอะไร ตัวก็ไม่ร้อน ทำไมเหมือนจะเป็นลมล่ะ นอนน้อยเหรอ”“อือ...คงงั้นมั้ง นายมาได้ไง”ปลายภูชูถุงให้ดู ในนั้นมีมะขามแช่อิ่มกระปุกใหญ่บรรจุอยู่ เปิดถุงอวดเวนิสาเล็กน้อย มะขามฝักยาวสีน้ำตาลอ่อนอัดแน่นอยู่ในนั้น หญิงสาวเห็นแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ“ยัยรพีอยากกิน บังคับให้มาซื้อให้น่ะ เอามือถือผมไปครองตั้งแต่เมื่อวานยังไม่คืนเลย”“น้องนายนี่ร้ายกาจ”“นั่นสิ ยกให้การกุศลดีไหม เบื่อนาง”เวนิสาหัวเราะคิกๆ ยามได้ยินพี่ชายนินทาน้องสาวศศินที่แอบมองอยู่ เริ่มกำหมัดและกัดฟัน
รวีกานต์ค่อนขอด เวนิสาโบกมือไหวๆ มีรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ไม่ยอมตอบคำถามเพื่อน พอขึ้นรถได้ก็ขับออกไปนอกรั้วศศินมองตามไม่วางตา รู้สึกห่วงใยแม่ตัวแสบ หล่อนจะขับรถดีไหม จะเป็นอะไรไปตอนขับรถหรือเปล่ามือเรียวของรวีกานต์เลื่อนหลุดจากการคล้องแขนศศิน หญิงสาวมองชายที่ยืนอยู่ข้างตนอย่างปลดปลง ดูเอาเถิด เขายืนอยู่ข้างเธอแท้ๆ แต่ดวงตาแปะติดท้ายรถของเวนิสาไปแล้ว“อะแฮ่ม! อยากขับรถตามไปไหมคะ” รวีกานต์ประชดศศินหันมาหา ทำไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่รวีกานต์เอ่ย “ไปเถอะ สายแล้ว” ทำเป็นตัดบทไม่พูดต่อ แล้วขับรถออกไป ทั้งสองไม่มีใครเอ่ยอะไรจนกระทั่งถึงบริษัท ศศินเป็นฝ่ายเปิดประตูรถให้รวีกานต์ หญิงสาวลงรถมาแล้วยืนนิ่งอยู่ชั่วนาที มีบางประโยคที่เธออยากบอกเขา“ไม่เข้าไปเหรอ” เขาถามเมื่อรวีกานต์ไม่ก้าวเข้าไปในบริษัท“ฉัน...กำลังคิดบางอย่างอยู่น่ะ”“คิด?”“ทำไมถึงทำแบบนี้ละคะ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ความผิดของบอส”“มันใช่” เขายืนยัน“มันใช่เพราะฉันยัดเยียด