หลายวันแล้วที่เสวียนซือชิงมิสามารถทำทุกสิ่งอย่างได้ตามที่ใจปรารถนา เนื่องจากยามที่หลุดร่วงจากอ้อมกอดของบุรุษที่มีนามว่าเฉินหยาง ข้อมือเล็ก ๆ ของนางกระแทกกับพื้นค่อนข้างแรง โชคดีที่เป็นมือข้างที่ไม่ถนัด นางจึงยังทำความสะอาด ดูแลตำหนักเยว่ฉีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ทว่ายังมิได้ทันซ่อมแซมหรือทำอะไรมาก พ่อค้าหลี่ที่นางคุ้นหน้าคุ้นตาก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู พร้อมทั้งแจ้งว่ามีคำสั่งจากตวนอ๋องให้จัดการซ่อมแซมทุกอย่างตามสมควร เขาดูเป็นคนที่มีความเอาใจใส่ในทุก ๆ เรื่อง มองออกว่านางไม่สะดวกใจให้คนงานที่ล้วนแต่เป็นบุรุษเข้ามายุ่มย่ามในที่พำนัก จึงส่งสาวใช้สองคนมาอยู่เป็นเพื่อน เสวียนซือชิงไม่ปฏิเสธ แม้จะเกรงใจอย่างมาก ด้วยคิดไปว่าติดหนี้บุญคุณหนหนึ่ง ยังดีกว่าอยู่กับบุรุษมากหน้าหลายตาตามลำพัง
“คุณหนูเสวียนจะไปที่ใดหรือ”
หลี่จินหมิงทักทายสาวงามที่กำลังจะก้าวขาออกจากบ้าน วันนี้คือวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะหาข้ออ้างแวะมาเยี่ยมเยียนนางได้ เพราะเหลือแค่เก็บรายละเอียดปลีกย่อยอีกไม่มาก ตำหนักเยว่ฉีก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิม เหมาะแก่การอยู่อาศัยของตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์แล้ว
“ตั้งใจว่าจะเอาผ้าไปส่งที่ร้านในตลาดเจ้าค่ะ”
เสวียนซือชิงสนทนากับบุรุษแทบนับคำได้ ด้วยเกรงว่าจะทำให้พระสวามีเสื่อมเกียรติ อย่างไรเขาก็เป็นถึงตวนอ๋อง นางควรรักษาชื่อเสียงของเขาให้ดี
“ข้าเคยเห็นเจ้าแวะเวียนไปยังร้านเถ้าแก่เนี้ยเจียง ที่นั่นกดราคาสินค้าจนน่ารังเกียจ เหตุใดจึงไม่เปลี่ยนมาส่งงานปักที่ร้านของข้าแทนเล่า”
“ข้าไม่สะดวกใจนัก” เสวียนซือชิงไม่สะดวกใจ เพราะในร้านมีเพียงลูกจ้างบุรุษ จึงเลือกทำการค้ากับเถ้าแก่เนี้ยเจียง เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นสตรี สามารถพูดคุยได้อย่างไม่รู้สึกลำบากใจ
“เหตุใดจึงไม่สะดวกใจ” หลี่จินหมิงยังคงเซ้าซี้ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
“ร้านของคุณชายไม่มีสตรีคอยดูแลรับสินค้า ข้าจึงไม่สะดวกใจเจ้าค่ะ”
“ที่แท้เป็นเช่นนั้น... หากข้าเป็นผู้รับสินค้าเอง คุณหนูสะดวกใจหรือไม่”
“นั่นออกจะเป็นการรบกวนคุณชายมากเกินไปสักหน่อย แม่นมสุ่ยเคยเล่าว่าท่านเป็นเจ้าของร้านในเมืองหลายร้าน ทั้งยังเป็นถึงบุตรชายของท่านเสนาบดี ข้าคงไม่อาจหาญรบกวนเวลาของท่าน แค่เมตตาส่งสาวใช้มาดูแลมิให้ต้องอยู่ตามลำพัง ข้าก็มิรู้จะตอบแทนอย่างไรแล้วเจ้าค่ะ”
เสวียนซือชิงกล่าวอย่างเกรงใจ แค่คุณชายหลี่แวะมาส่งสินค้าด้วยตัวเอง รวมถึงแวะมาอยู่เป็นเพื่อนยามคนงานซ่อมแซมตำหนักในบางวัน นางก็เกรงใจจนแทบจะกัดลิ้นตายอยู่แล้ว
“ไม่รบกวนเลย ที่ข้าทำไปล้วนเป็นเพราะ... เพราะต้องการได้สินค้าที่ดีเอาไว้ประดับร้าน หากเจ้าเกรงใจจริงก็ต้องส่งสินค้าที่ร้านข้าเป็นการตอบแทน ผ้าปักพวกนั้นสวยงามอย่างมาก คงทำกำไรให้ร้านของข้าไม่น้อย”
“หากคุณชายกล่าวเช่นนั้น ข้ามีหรือจะขัดความต้องการของท่านได้ แต่ผ้าผืนนี้ข้าตกลงกับเถ้าแก่เนี้ยไว้ว่าจะส่งให้ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน แต่เพิ่งจะแล้วเสร็จเมื่อวานนี้เอง”
เสวียนซือชิงยิ้มหวาน นางไม่อยากทำการค้ากับสตรีเห็นแก่ได้อย่างเถ้าแก่เนี้ยเจียงอยู่แล้ว หากหาหนทางใหม่ได้ นางก็ควรเลือกทางที่ดีกว่าไม่ใช่หรือ
“เช่นนั้นข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า มีธุระต้องตรวจสอบร้านแถวนั้นพอดี หากไม่รังเกียจ ข้าหลี่จินหมิงขอเชิญคุณหนูร่วมนั่งรถม้าไปด้วยกัน” เขานิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่ออย่างมีมารยาท “ให้เสี่ยวผิงกับเสี่ยวอันนั่งรถม้าไปด้วยดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างเสียยิ่งกว่าเดิม
ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ หลี่จินหมิงก็พาโฉมงามมาถึงในเมือง นางดูผ่อนคลายกว่าทุกวันที่ผ่านมา ยิ้มแย้มจนเห็นแก้มบุ๋มน่าสัมผัสทั้งสองข้าง หากเลือกได้เขาก็อยากเห็นนางเป็นเช่นนี้ไปตลอด แต่ก็ทราบดีว่าหลังจากบุรุษผู้นั้นกลับมา ความหม่นหมองคงประทับอยู่บนดวงหน้าหวานดังเดิม
“ขอบคุณคุณชายมากนะเจ้าคะ”
“ข้ากับสาวใช้จะไปรออยู่หน้าโรงน้ำชาตรงนั้น หากเจ้าเสร็จธุระแล้วจะไปส่ง ดีหรือไม่”
“ข้าคงไม่รบกวนคุณชาย เมื่อครู่สอบถามพี่ชายทั้งหลายดูแล้ว เห็นว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วยามทุกอย่างคงแล้วเสร็จ มิต้องรบกวนคุณชายหรือพี่สาวทั้งสองอีก” เสวียนซือชิงหมายถึงเหล่าคนงานและสาวใช้ที่ตามติดคอยดูแลนางสิบกว่าวันที่ผ่านมา
“คุณหนูเสวียน ให้ข้าส่งเจ้ากลับบ้านเถิด อย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี เดินกลับบ้านตามลำพังหาสมควรไม่”
“อีกหลายชั่วยามกว่าตะวันจะตกดิน ยังมีผู้คนเดินสัญจรไปมาผ่านตำหนัก เอ่อ บ้านที่ข้าอาศัยอยู่ คุณชายมิต้องกังวลหรอกนะเจ้าคะ”
เสวียนซือชิงขอตัวอย่างสุภาพ รีบเข้าไปในร้านของเถ้าแก่เนี้ยเจียงเพื่อส่งสินค้าที่นั่งหลังแข็งทำเป็นเวลานาน และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่นางคาด เถ้าแก่เนี้ยเจียงกดราคาจนไม่พอค่าด้ายปักผ้าเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าส่งงานช้า! ลูกค้าของข้าอาละวาดหนัก ไม่พอใจที่ต้องรองานจากคนไร้ความรับผิดชอบ หากไม่ตกลงตามราคาที่เสนอ เจ้าก็ไปขายให้กับร้านอื่น!”
สตรีรูปร่างอ้วนท้วนเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า ทั้ง ๆ ความจริงนัดลูกค้าไว้ในอีกสองวันให้หลัง หาได้เลยกำหนดดังที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่
“เถ้าแก่เนี้ยให้ราคาสูงกว่านี้มิได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้! หากไม่พอใจก็ไปที่ร้านอื่น! อย่ามาอยู่เกะกะที่นี่!”
หญิงอ้วนเหยียดริมฝีปาก ทราบดีว่าอย่างไรแม่นางเสวียนก็ต้องยอมขายให้ในราคาที่ต่ำกว่าปกติ หลายวันที่ผ่านมามีคนเดินเข้าออกตำหนักร้างจำนวนมาก พายุใหญ่ที่ผ่านมาคงสร้างความเสียหายพอสมควร นั่นหมายความว่านางต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วนมิใช่หรือ
สีหน้าของเสวียนซือชิงแสดงออกชัดว่ากำลังไม่สบายใจ นางกลัวลูกค้าจะไม่ได้ของที่ต้องการ แต่หากต้องขาดทุนมันจะคุ้มค่าอยู่หรือ
“ว่าอย่างไร! หากไม่ขายก็ไปให้พ้นทางได้แล้ว!”
“ราคาต่ำจนน่าเกลียด คนโง่เท่านั้นที่ยอมขาย” ทว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นมิใช่เสียงของเสวียนซือชิง
เสียงทุ้มต่ำและเยียบเย็นดังขึ้นจากเบื้องหลัง เสวียนซือชิงมิจำเป็นต้องหันไปมองก็ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่สุดท้ายก็อดหันกลับไปมองไม่ได้อยู่ดี
ริมฝีปากหยักสวยของบุรุษที่มีนามว่าเฉินหยางนั้นเหยียดยิ้มจนแทบเป็นเส้นตรง เขาสวมเสื้อผ้าสีม่วงเข้ม มองดูแล้วเรียบง่ายอย่างมาก ทว่าแม้แต่คนตาบอดก็ทราบว่าเป็นของมีราคา เถ้าแก่เนี้ยเจียงฉลาดหลักแหลมในเรื่องการค้า นางจึงไม่พลาดโอกาสที่จะประจบเอาใจ
“คุณชายสนใจผ้าปักผืนนี้หรือเจ้าคะ”
“ใช่ ในเมื่อเจ้าไม่สนใจ ข้าจะซื้อจากนาง” เฉินฟาหยางหรี่ตามองสตรีที่คิดขายผ้าในราคาที่ต่ำกว่าทุนอย่างไม่พอใจ หากเขามาไม่ทัน นางจะไม่เสียทั้งกำลังกายและใจโดยเปล่าประโยชน์หรือ
“สนใจสิเจ้าคะ ข้ากำลังจะขึ้นราคาให้นางเดี๋ยวนี้เอง”
“แต่ข้าไม่อนุญาตให้นางขาย” เขาเอ่ยตัดบทสนทนา ก่อนหันไปกล่าวกับเสวียนซือชิงด้วยน้ำเสียงเย็นชาปานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย
“ข้าไปที่บ้านแล้วไม่เห็นเจ้า มีเพียงคนงานที่เฝ้าอยู่เพียงสองคน เหตุใดจึงไม่ดูแลบ้านของข้าให้ดี”
“คุณชาย... คือข้า”
“ที่แท้คุณชายคือเจ้าของตำหนักเยว่ฉี หรือว่าท่านคือ ?”
เถ้าแก่เนี้ยไม่กล้ากล่าว ด้วยหากเป็นเช่นนั้นจริง คงหมายความว่านางได้สร้างความไม่พอใจให้กับท่านอ๋องผู้เย็นชาแล้ว
“ข้าเป็นญาติของตวนอ๋อง เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เชิญคุณชายดูสินค้าตามสบาย หากต้องการให้ข้าแนะนำ...”
“หนวกหู!” ตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิสนใจคำเชื้อเชิญของสตรีเห็นแก่ตัว รีบกระชากแขนของเสวียนซือชิงและเดินออกจากร้าน ในขณะที่ทำเช่นนั้นก็รู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจอย่างน่าประหลาด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมิต้องการให้ผู้ใดพูดจาไม่ดีกับบุตรสาวของรองแม่ทัพเสวียน
อย่างไรเสวียนซือชิงก็ได้ชื่อว่าเป็นถึงพระชายา หากมีผู้ใดคิดทำไม่ดีกับนาง คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นตวนอ๋องเฉินฟาหยางเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“คุณชายปล่อยมือข้านะเจ้าคะ”
นางรีบดึงมือออกจากการเกาะกุมก่อนถึงประตูร้าน ตวนอ๋องเลื่องชื่อมิเคยถูกปฏิเสธรุนแรงเช่นนี้มาก่อนก็ให้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ แต่พอสำนึกได้ว่าตนมิได้แสดงฐานะแท้จริง จึงยังพอข่มอารมณ์ร้อนลงได้บ้าง ทั้งยังไม่เอ่ยอันใดเมื่อนางวิ่งกลับเข้าไปหาเถ้าแก่เนี้ยเจียงอีกครั้ง
โง่เง่าเป็นที่สุด!
เฉินฟาหยางสบถในใจ ยามเห็นว่านางมอบผ้าปักลายนั้นให้กับเถ้าแก่เนี้ยเจียง ซ้ำยังรับเงินกลับคืนมาในจำนวนที่น้อยกว่าที่ตกลงกันไว้เสียอีก
“เหตุใดจึงทำเช่นนั้น เหตุใดจึงยอมให้สตรีนางนั้นเอาเปรียบเจ้า”
เฉินฟาหยางถามเสียงเรียบหลังนางเดินออกมาสมทบที่หน้าร้าน แต่ภายในโทสะกลับคุกรุ่นดั่งเพลิงผลาญ ใกล้จะอดทนมิไหวแล้ว
“ข้าหาได้สนใจเถ้าแก่เนี้ยเจียงไม่ แต่คุณหนูโจวคือลูกค้าที่อยากได้ผ้าปักลายผืนนั้น นางรอข้าปักนานเกือบเดือน หากมาคราวหน้าแล้วยังไม่ได้ของที่ต้องการ ข้าเกรงว่านางจะเสียใจ”
“คิดถึงแต่ผู้อื่น เคยนึกถึงความลำบากของตัวเองบ้างหรือไม่”
“แล้วคุณชายล่ะเจ้าคะ เคยนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่นบ้างหรือไม่”
เสวียนซือชิงตอกกลับเสียงเบา แม้จะเกรงกลัวบุรุษตรงหน้าอย่างมาก แต่ผ้าปักลายผืนนั้นนางเป็นเจ้าของ ย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจมิใช่หรือ
“นี่เจ้ากล้ากล่าววาจายอกย้อน!”
เฉินฟาหยางยังมิทันได้กล่าวโทษนางต่อ เบื้องหน้าก็ปรากฏบุรุษที่มีลักษณะคุ้นตาเดินยิ้มแย้มมาแต่ไกล ทว่าก็หุบยิ้มทันทีที่เห็นหน้าของเขา
“หลี่จินหมิง เห็นหน้าข้าแล้วถึงกับยิ้มไม่ออกเลยหรือนี่!” บุรุษด้วยกันย่อมดูออก ศิษย์น้องพึงใจในตัวของเสวียนซือชิงอย่างมิต้องสงสัยแล้ว
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
หลี่จินหมิงเดิมทีรักใคร่กับศิษย์พี่อย่างมาก ยามเข้าไปในเมืองหลวงมักแวะสังสรรค์กันตามประสาบุรุษรักสนุก นิยมการดื่มสุราเคล้านารี แต่พออีกฝ่ายเดินทางมายังเมืองเล็ก ๆ เพื่อทวงสิทธิ์ของตนโดยชอบธรรม เขากลับปวดใจไม่อยากเห็นหน้า ด้วยกลัวว่าสตรีที่ตนแอบชอบจะต้องเจ็บปวดเพราะบุรุษไร้หัวใจเช่นตวนอ๋องเฉินฟาหยาง
“ไม่นานนัก เมื่อครู่แวะไปที่ตำหนักเห็นคนงานกำลังเก็บกวาดแล้วไม่เห็นนาง ข้าจึงออกมาตามหาดู”
“ท่านทั้งสองรู้จักกันหรือเจ้าคะ”
เสวียนซือชิงอดเสียมารยาทไม่ได้ หากคุณชายเฉินหยางผู้นี้รู้จักมักคุ้นกับพ่อค้าสกุลหลี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์น้องคนสนิทของตวนอ๋อง ไม่แน่ว่าเรื่องที่เขากล่าวมาอาจเป็นความจริง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางยกทุกอย่างในตำหนักเยว่ฉีให้กับเขาแล้วจริง ๆ
“สนิทสนมกันเช่นนี้ย่อมต้องรู้จักกัน เจ้ากลับไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องสนทนากับคุณชายหลี่อีกสักหลายคำ ส่วนเรื่องของเราสองคนเอาไว้สนทนากันยามค่ำ ดีหรือไม่”
เฉินฟาหยางยกยิ้มมุมปาก หยอกเย้าสตรีตรงหน้าโดยไม่สนใจศิษย์น้องที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นไม้ ด้านเสวียนซือชิงได้ฟังดังนั้นก็พลันหน้าแดง รีบกล่าวลา หลี่จินหมิงอย่างสุภาพ ไม่ยอมเอ่ยอันใดต่อบุรุษไร้ยางอายแม้เพียงครึ่งคำ
ทว่าเฉินฟาหยางกลับมิได้ถือสาเอาความที่นางไร้มารยาท ยามนี้มิยอมพูดจาต่อความก็มิเป็นไร เพราะอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า เขาจะต้องได้ยินเสียงครางหวานปานน้ำผึ้งของเสวียนซือชิงจนฟ้าสางอย่างแน่นอน
เจ็ดปีผ่านไป...น้ำเสียงออดอ้อนของพระชายาคนงามสอบถามบุรุษที่นางรักอย่างเอาใจ ว่าเหตุใดวันนี้จึงไม่ยิ้มแย้มให้อย่างที่เคย ทั้งยังทำหน้าบูดบึ้งมิยอมให้เข้าใกล้ ถามอันใดก็มิค่อยยอมตอบ เดาได้ลำบากว่ามีเรื่องอันใดรบกวนสมองอันชาญฉลาดของเขาอยู่แน่“ท่านพี่...”“พี่ไม่อยากพูด ขอทำใจสักครู่แล้วจึงจะอารมณ์ดีได้”“เกิดเรื่องยุ่งยากที่ค่ายทหารหรือเจ้าคะ”เสวียนซือชิงยังคงไม่ย่อท้อ พยายามหลอกถามเอาความจริงที่ทำให้ตวนอ๋องอารมณ์ดีถึงกับยิ้มไม่ออก เขาเพิ่งกลับจากค่ายทหารนอกเมืองในช่วงสาย เป็นไปได้ว่าอาจอารมณ์เสียมาจากที่นั่น หรือว่าเพราะเห็นนางเพิ่งกลับมาจากร้านค้าสกุลหลี่ที่พี่ชายบุญธรรมยกให้ดูแลไม่สิ ร้านค้านั้นเป็นของนาง เพราะตวนอ๋องเฉินฟาหยางมีนิสัยไม่ชอบติดค้างผู้ใด ที่มิชอบมากกว่านั้นคือให้พระชายาติดค้างผู้ใด เขาจึงยอมเสียเงินเล็กน้อยเพื่อซื้อกิจการของคุณชายหลี่จินหมิงเพื่อตัดปัญหา ในเมื่อนางเป็นเจ้าของแล้วแวะเวียนไปดูร้านบ้างก็นับว่าเหมาะสมมิใช่หรือ“ท่านพี่...”“ที่ค่ายทหารปกติดี อวิ๋นฝูแวะมาดูการฝึกทหารก็กลับไปแล้ว จินหมิงเองก็เช่นกัน เขาฝากขอโทษที่มิได้มาเยี่ยมเจ้าด้วยตนเองเพราะติดธุระเร่งด
สามวันแล้วที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง โดยมีพระชายาคนงามนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง นางค่อย ๆ หยอดน้ำข้าวต้มและป้อนยาบำรุง พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ถูกเนื้อต้องตัวเพราะเขามักปัดมือออกเบา ๆ นิ่วหน้าคล้ายรังเกียจสัมผัสจากนางก็ไม่ผิดนัก‘หนูสกปรก!’‘เหม็น!’‘อย่าถูกตัวเรา!’นอกจากตวนอ๋องจะไม่สบายเพราะต้องทนอยู่ในคุกน้ำนานหลายวัน เขายังสะเทือนใจกับความสกปรกที่ต้องพบเจอ ดูท่าเรื่องที่ฮ่องเต้เหวินจวินเล่าให้ฟังจะมิใช่เรื่องล้อเล่น เห็นได้ชัดจากการปัดป่ายยามมีอะไรถูกตัว รวมถึงเรื่องบ่นพึมพำว่าเหม็นหรือไม่ก็ทำท่าหงุดหงิดทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่บ่อยครั้งเสวียนซือชิงทำอันใดมิได้นอกจากนั่งเฝ้า ในระหว่างนั้นก็หยิบจดหมายที่เขาเคยส่งให้มาอ่านดู ว่ามีเนื้อความสำคัญอันใดที่นางควรรู้บ้าง ปรากฏว่าข้อความที่ได้อ่านทำให้นางปวดร้าวไปทั้งหัวใจมิใช่เสวียนซือชิงคนเดียวที่เสียใจ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางก็ทรมานไม่แพ้กัน‘ชิงชิงยอดรัก ทราบดีว่าเจ้าคงไม่อยากพบหน้า แต่พี่ก็ยังค้นหาราวกับคนเสียสติ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตายก็ตายไม่ได้เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีก ยามนี้พี่อยู่ได้ด้วยความหวังว่าสักวันเจ้าจะแวะมาเยี
เหล่าภมรและดอกไม้นานาพรรณที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนยามนี้กลับมิอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้เหวินจวิน เดิมทีเขาก็มิได้ชื่นชอบการออกนอกวังหลวง แต่เพราะต้องการให้ฮองเฮาและบรรดาพระสนม รวมถึงเหล่าองค์ชายได้มีโอกาสใกล้ชิด สร้างความปรองดอง ไม่แตกแยกเหมือนบรรดาพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมบิดา งานน่าเบื่อหน่ายจึงถูกจัดขึ้นในทุก ๆ ปี แต่จะให้มีเพียงเหล่าองค์ชายองค์หญิงก็คงไม่สนุก เหล่าลูกหลานขุนนางชั้นสูงจึงได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานนึกไม่ถึงว่าพระชายาคนงามตวนอ๋องก็มาด้วยหัตถ์หนาโบกไล่ข้าราชบริพารไปให้พ้นจากบริเวณ มิลืมกำชับองค์ชาย รัชทายาทที่เพิ่งจะถูกสตรีร่างเล็กกล่าวโทษให้พาฮองเฮาไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ส่วนบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีหลี่ แม้ได้รับคำสั่งเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังเดินวนเวียนอยู่มิไกลนัก“มินึกว่าจะได้เจอตัวจริงของเจ้า นับว่าฟาหยางเลือกพระชายาได้ดี นอกจากจะงดงามอย่างมากแล้ว วาจายังเชือดเฉือนดุจคมมีด สมแล้วที่ทำให้น้องชายของเราพ่ายแพ้จนสิ้นท่า”“ฝ่าบาท...ท่านอ๋องมิได้เลือกหม่อมฉันนะเพคะ ทุกอย่างล้วนเป็นท่านพ่อที่จัดการ”“เรื่องนั้นเราย่อมรู้ดี จำได้เสียด้วยซ้ำว่าตวนอ๋องทำหน้าตาคล้ายจะอาเจี
นับได้ตั้งแต่รับเถ้ากระดูกของบิดา เสวียนซือชิงก็ตกอยู่สภาวะอารมณ์แปรปรวน พริบตาหนึ่งมีความสุขแทบหุบยิ้มไม่ได้ อยากให้พ่อบ้านชราจัด เตรียมรถม้าเดินทางออกนอกเมือง เลือกหน้าผาสูงชันสักแห่งตามความฝันที่ผู้ให้กำเนิดปรารถนา แต่พอนึกได้ว่าบุรุษที่ทำเรื่องนี้ให้เป็นความจริงยังไม่หวนคืนกลับมา นางกลับทุกข์ใจจนต้องแอบร้องไห้ตามลำพังในยามค่ำคืนเก้าวันแล้วที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่โผล่มาให้เห็นหน้า มิแน่ใจว่าติด ราชกิจในวังหลวงหรือว่าพบเจอเรื่องอันตรายอื่นใด นางร้อนใจจึงขอให้พ่อบ้านชราสอบถามไปทางองค์ชายรัชทายาทเหวินอวิ๋นฝู แต่คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงว่าเสด็จอามีธุระสำคัญต้องจัดการ“เหตุใดการรอคอยจึงทำให้รู้สึกแย่นัก”เสวียนซือชิงตระหนักดีว่าการรอคอยนั้นเป็นเรื่องทรมานอย่างมาก ยามเริ่มรักและรอให้คุณชายเฉินหยางกลับมายังตำหนักเยว่ฉีว่าทุกข์ใจอย่างที่สุดแล้ว แต่กลับเทียบไม่ได้กับการรอคอยให้ตวนอ๋องเฉินฟาหยางกลับออกมาจากวังหลวงที่นางจำได้ดีว่ามิใช่สถานที่ที่เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปโดยง่าย‘...หลังจากสูญเสียสององค์ชาย เขาก็มิได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลวงอีก แม้มิใช่ผู้ที่ตัดสินใจผิดพลาด แต่องค์ฮ่องเต้ปัจจ
หากมีเช้าใดที่หม่นหมองที่สุดในชีวิตของเสวียนซือชิง มันคงหนีไม่พ้นเช้านี้ที่ต้องตอบคำถามเจ้าก้อนแป้งว่าเหตุใดจึงต้องตระเตรียมข้าวของเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง ทั้งยังตอบไม่ได้ว่าบิดาของนางจะร่วมเดินทางไปด้วยหรือไม่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มีหรือที่เสียงร้องไห้อย่างเอาแต่ใจจะไม่ดังลั่นจวน“เช่นนั้นรอหนิงเอ๋อร์คุยกับท่านอ๋องให้เข้าใจก่อน แล้วค่อยเก็บของต่อในภายหลังเถิด”เสวียนซือชิงออกคำสั่งต่อสาวใช้ให้พาเจ้าตัวน้อยไปเล่นในสวนอย่างที่นางชอบทำเป็นประจำ ส่วนตนเองก็นั่งรออย่างใจเย็นเพราะเห็นว่ายังเช้าอยู่มาก ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเพิ่งได้รับมอบหมายงานใหม่ เรื่องนอนดึกตื่นสายจึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเขาเหนื่อยอย่างมากเรื่องนั้นนางย่อมรู้ดีที่สุด แม้ไม่เชี่ยวชาญในเรื่องการใช้ชีวิตคู่จนทุกอย่างพังทลาย แต่ปฏิเสธมิได้ว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางเป็นบุรุษที่มีความสามารถ เรื่องสำคัญที่ต้องใช้งบประมาณ ย่อมเป็นเขาที่ต้องคอยตรวจดูเพื่อมิให้มีข้อผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นในภายหลังแน่นอนว่ามีคนไม่มากที่ทราบเรื่อง เรียกได้ว่าตวนอ๋องคือที่ปรึกษาลับขององค์ฮ่องเต้เหวินจวินก็มิผิดนัก หากจะมีเรื่องอันใดที่มองดูแล้วขัดตาไปบ้
เหตุใดเขาจึงหลอกลวงเก่งยิ่งนัก…เสวียนซือชิงหมดแรงแทบทรุด กว่าจะพาตนเองกลับขึ้นรถม้าได้ไหวก็ต้องใช้เวลาพอสมควร โชคยังดีที่เจ้าตัวน้อยผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของคุณชายหลี่ได้สักพักแล้ว นางจึงมีเวลาได้พิจารณาทุกอย่างเงียบ ๆ ตามลำพัง‘เรื่องนี้เหล่าหมอหลวงล้วนทราบกันดี อาการแพ้ถั่วเหลืองของท่านอ๋องร้ายแรงมากก็จริง แต่ก็หายได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นฝังเข็มหรือดื่มยา...’แม้ในใจนึกยินดีที่เสวียนหนิงอันมิต้องทรมานกับการรักษา แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางขบคิดอย่างไรก็มิเข้าใจ เพราะเหตุผลอันใดเขาจึงไม่พูดความจริง“ไม่ได้ส่งท่านพี่หลี่ ซือชิงเสียมารยาทแล้ว”“ซือชิงอย่าลืมใจเย็นให้มาก เขารักเจ้านั้นเป็นเรื่องจริงที่สุด แม้แต่สวรรค์ก็ปฏิเสธไม่ได้ ส่วนเรื่อง…”“ท่านพี่หลี่ไม่ต้องพูดแทนหรอกนะเจ้าคะ ข้าจะไปคุยกับเขาเอง”นางออกคำสั่งให้สองสาวใช้ดูแลเสวียนหนิงอันให้ดี ก่อนหนีไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ในสวนพักใหญ่ห้ามตะคอก...อย่างไรเขาก็เป็นถึงตวนอ๋องเลื่องชื่อ ย่อมต้องระมัดระวังกิริยาให้มาก หากฟังคำอธิบายแล้วยังพอยอมรับได้ นางก็จะก้มหน้ายอมรับและไม่โกรธเคืองเขาให้เสียเวลาขอเพียงคำอธิบายที่สมเหตุสมผล นางขอเพียงเ