Masukหญิงรับใช้สามคนคุกเข่ากับพื้นด้วยท่าทีหวาดหวั่น คุณชายเฉิงที่ตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเฉิง
แววตาสีหน้าเยือกเย็น อารมณ์เขาอยู่ในสถานะบอกบุญไม่รับ พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา วันนี้เขาตั้งใจกลับมาที่บ้านเพื่อพูดคุยกับนาง แต่กลายเป็นว่าได้รับรายงานเรื่องน้องสาวของตนหายตัวไป
หญิงรับใช้ตัวสั่นเป็นลูกนกทุกคนรู้ดีว่ายามที่คุณชายโมโหแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถห้ามได้ ที่คุณหนูหายตัวไปเป็นเพราะความสะเพร่าของตัวพวกนางสามคน นางพยายามวิ่งตามแล้ว แต่คุณหนูถานวิ่งเร็วเกินไป
ถานเฉินเหลียนตั้งใจประกาศสถานะของนางอย่างเป็นทางการหลังจากรับตำแหน่งแม่ทัพ และให้นางร่วมเป็นสักขีพยานในวันแต่งงานของเขาและฉีหลิงเซี่ย
ตอนนี้นางเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา เขาจะสูญเสียนางไปไม่ได้ ก่อนหน้าได้สืบทราบมาอีกเรื่องนางถูกคนในหอคณิกาทารุณมาตั้งแต่เด็ก จากที่เคยนึกรังเกียจกลายเป็นห่วงใย
“ข้าน้อยให้คนออกไปตามหาคุณหนูแล้วขอรับ” พ่อบ้านสกุลถานกล่าวกับเจ้านายของตน
“....”
เฉิงเว่ย
อากาศของตงเปี่ยนเวลานี้เริ่มหนาวเย็นขึ้น หิมะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ อากาศและบรรยากาศในเมืองจึงเป็นสีขาวโพลนเต็มไปด้วยหิมะข้าวของมีค่าต่าง ๆ ถูกส่งมาจากเมืองหลวงแทบทุกวันไม่ได้ขาด วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูหนาวส่งมาที่บ้านของนางซู่เฟินหยิบดูพลิกไปพลิกมาอยู่สองสามครั้ง“ของใคร”“เรียนฮูหยินเป็นของจากวังหลวงขอรับ”“งั้นก็เอาแจกคนในเมืองเสีย ที่บ้านข้าไม่มีที่จะวางแล้ว หากชิ้นไหนเป็นของพี่ชายข้าให้นำกลับเข้าไปเก็บในห้อง”พ่อบ้านที่เป็นคนดูแลจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนชินเสียแล้ว ทุก ๆ วันจะมีของล้ำค่าส่งมาจากเมืองหลวง เขาเองก็เป็นผู้ตรวจบัญชีรายการทุกครั้งทุกอย่างล้วนแต่เป็นของมีค่าควรเมือง สิ่งไหนที่เขาคิดว่าไม่ควรนำไปแจกก็แอบนำไปเก็บไว้ในโรงเก็บของ สิ่งไหนที่สามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้เขาก็จัดการให้บ่าวรับใช้นำไปแจกได้ยินว่าเฉิงเว่ยฉีจะขึ้นครองราชย์ในเวลาอีกไม่นาน จักรพรรดิองค์ปัจจุบันชรามากแล้วและยังมีอาการประชวรอีกด้วย ส่วนเรื่องใคร
นางจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาลังเลของเฉิงเว่ยฉี ยิ่งเขาลังเลเท่าไหร่หัวใจของนางก็ยิ่งออกห่างจากเขาเพิ่มขึ้นทุกเวลา ยิ่งเขาตัดสินใจช้าเท่าไหร่ นางยิ่งตัดสินใจอะไร ๆ ได้ง่ายมากขึ้นเฉิงเว่ยฉีลังเล นางให้เขาละทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกอย่างที่นางหมายถึงมันรวมถึงราชบัลลังก์ที่เขาเฝ้าปรารถนามานานหลายปีเหตุใดกันนางจึงต้องกดดันเขาเช่นนี้ ความรู้สึกไม่เหมือนกับตอนที่เขาตัดใจจากฉีหลิงเซี่ย เหตุใดสตรีตัวเล็ก ๆ เช่นนางถึงมีอิทธิพลกับหัวใจเขาเช่นนี้นึกถึงครั้งแรกที่เจอกันตั้งใจเพียงแค่จะเหยียดหยามแก้แค้นถานเฉินเหลียน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ทุกการกระทำของนางถึงมีผลต่อตัวเขาเช่นนี้คนตัวสูงโน้มกายเข้าไปหานางโอบกอดนางอย่างรักใคร่ส่วนตัวซู่เฟินนั้นไม่ยอมรับการกอดจากเขานางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการควบคุม มือของเฉิงเว่ยฉีอยู่ไม่สุข ซุกซนไปทั่วร่างกายของนาง“เฟินเอ๋อ ข้ารักเจ้า” เขาบอกรักนาง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบอกรักเฉิงเว่ยฉีรุกเร้าตะบมจูบไปที่ริมฝีปากอวบอิ่มของนางหลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้แตะต้องหรือสัมผัสร่า
ควบม้าหลายร้อยลี้ตามสองผัวเมียมาจนถึงตงเปี่ยน คนของเฉิงเว่ยฉีรีบรายงานทันทีว่าสองคนนั้นไปสถานที่แห่งใด รัชทายาทหนุ่มรีบตามไปที่ที่คนของตนรายงานทันทีเรือนไม้หลังไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่สุดปลายถนนของเมืองตงเปี่ยน ณ บริเวณนี้อยู่ไม่ห่างจากกลางเมืองเท่าไหร่และผู้คนไม่พลุกพล่านไปมาเดินทางสะดวกนักคนของถานเฉินเหลียนเมื่อเห็นเฉิงเว่ยฉีก็ตกใจตาลีตาเหลือกทำความเคารพกันแทบไม่ทัน เพราะไม่คาดคิดว่าการมาตงเปี่ยนแบบด่วนจี๋ขนาดนี้จะถูกรายงานไปถึงองค์รัชทายาทด้วยเช่นกัน“ถวายบังคมองค์รัชทายาท”เสียงผู้คนด้านนอกทำเอาถานเฉินเหลียนที่อยู่ในห้องพักของซู่เฟินตกใจ เฉิงจื้อหงและฉีหลิงเซี่ยที่คุยกันอยู่หลังบ้านก็รีบออกมาที่ลานด้วยเช่นกันฉีหลิงเซี่ยมองบุรุษที่อยู่ในสภาพคลุกฝุ่น เป็นเฉิงเว่ยฉีบุรุษที่ยืนอยู่ตรงนี้ นางเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าบุรุษผู้นี้จะตามพวกนางสองผัวเมียมา“เสด็จพี่” เฉิงจื้อหงร้องทักทายพี่ชายของตนเขาเองก็ประหลาดใจสตรีตัวเล็ก ๆ อย่างฮูหยินไป๋เหตุใดถึงสามารถพาเอาบุคคลเหล่านี้มาถึง
รอมาจนครบสองวันคอมพิวเตอร์ชุดใหม่ถึงได้เริ่มติดตั้ง ซู่เฟินเดินวนเวียนไปมารอบ ๆ เจ้าหน้าที่ไอทีของมหาวิทยาลัย ไหนพวกเขาจะต้องคอยลงโปรแกรม ไหนจะต้องทำนู่นนี่นั่นจัดสถานที่อีกนาน ซู่เฟินกับซื่อหยุนซวนจึงชวนกันออกไปเดินเล่นนอกมหาวิทยาลัยผ่านมาเกือบปีแล้วที่เธอตายอยากรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเป็นยังไงบ้าง“หยุนซวนเธอตายตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” ซู่เฟินถามผีสาวนักศึกษา ชุดที่เธอสวมใส่ดูเหมือนหลุดมาจากยุค 70s ยังไงยังงั้นซื่อหยุนซวนยิ้มมุมปาก“ถ้าฉันบอกไป เธอจะเชื่อฉันไหมล่ะ”ซู่เฟินพยักหน้าหงึก ๆ“เชื่อสิ” เธอตอบ“ถ้าจำไม่ผิด ฉันว่าฉันตายตอนปี 1975 นะ ปีนี้ปี 2010 ก็น่าจะราว ๆ 35 ปีได้แล้วล่ะ” ผีสาวนักศึกษาตอบ“โห งั้นก็แสดงว่าเธอเป็นรุ่นพี่ฉันน่ะสิ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คงอายุพอ กับพ่อแม่ฉันเลย”ซื่อหยุนซวนแสดงสีหน้าไม่พอใจ เธอไม่ชอบที่ใครมาเรียกตัวเองว่าพี่“เค ๆ ฉันไม่ว่าเธอแล้วเราเป็นเพื่อนกันก็ได้” ซู่เฟินขอโทษขอโพย&ldquo
เมื่อเห็นว่าฮูหยินไป๋สลบไม่ได้สติ หมอตำแยจึงรีบแจ้งข่าวแก่หมอชรา มาถึงก็เริ่มลงมือรักษาสตรีตัวเล็กนี่ที่นอนหลับไม่ได้สติ ใบหน้าของนางซีดเซียวคนในเหตุการณ์เล่าว่า ฮูหยินไป๋ฝืนตัวเองให้นมลูกอยู่สักพักใหญ่รอจนเจ้าถั่วน้อยหลับไป นางก็หมดสติไปในทันที“เจ้าถั่วน้อย” หมอชรานิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าหมอชราคล้ายจะสงสัย สาวใช้จึงรีบอธิบาย“ก่อนฮูหยินสลบไป นางเรียกคุณชายน้อยว่าเจ้าถั่วน้อยเจ้าค่ะ ข้าเดาว่าคงเพราะคุณชายน้อยตัวเล็กนอนขดเหมือนถั่ว”“อ้อ” หมอชราและลูกศิษย์เข้าใจได้ จากนั้นจึงรีบส่งข่าวไปยังสหายของฮูหยินไป๋ในทันทีเมื่อคนที่ตกเปี่ยนทราบข่าวก็รีบดำเนินการส่งม้าเร็วไปยังเมืองหลวงทันที โชคดีที่ช่วงนี้ไม่มีการศึกทำให้แม่ทัพถานและฮูหยินยังพำนักอยู่เมืองหลวง“คลอดลูกแล้วสลบไม่ได้สติอย่างนั้นหรือ” ถานเฉินเหลียนได้ยินเรื่องที่น้องสาวนอนไม่ได้สติก็ตกใจคำนวณไว้แล้วว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่นางคลอด ตั้งใจเอาไว้ว่าจะอ้อมไปหานางที่ตงเปี่ยนแต่ด
เหงื่อกาฬในร่างกายของซู่เฟินผุดขึ้นราวกับเขื่อนแตก เวลานี้นางปวดท้องจนแทบทนไม่ไหว ราวกับสติสัมปชัญญะของนางจะขาดหายไปให้ได้มันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนวิญญาณจะออกจาก ซู่เฟินไม่รู้ว่าจะบังคับไม่ให้ตัวเองหมดสติหรือหลับไปได้อย่างไร หากนางหมดสติเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้องนางอาจไม่รอด ร้ายไปกว่านั้นถ้าเกิดนางได้วาร์ปกลับไปโลกเดิมล่ะเจ้าถั่วน้อยนี่จะคลอดยังไง? ผีเสี่ยวเหรินทำได้เพียงนั่งให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้รอบกายของซู่เฟินที่เป็นคน มีเพียงบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาจากเมืองหลวงและหมอตำแยถ้าเป็นโลกยุคปัจจุบันมันทรมานขนาดนี้ไหมเนี่ย มารดาจะไม่ไหวแล้ว!!“ท่านหมอ ฮูหยินไป๋ นางเจ็บท้องมาตั้งแต่เช้าแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดเด็กจึงยังไม่คลอดอีก” สาวใช้ถามหมอตำแยนางเลิกผ้าที่ปิดคลุมช่วงล่างของซู่เฟินเอาไว้ ปากมดลูกเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ความจริงนางควรจะคลอดได้แล้ว แต่มันเป็นเรื่องปกติของสตรีที่ตั้งครรภ์ท้องแรก น่าเสียดายที่นางต้องคลอดตามลำพังไม่มีญาติหรือสามีมาเฝ้







