“เมื่อไหร่คุณจะหย่ากับฉันสักที คุณอนุชา!” พลอยไพลินที่แต่งตัวเรียบร้อย เอ่ยถามสามีของเธอ ตอนนี้เธอกำลังนั่งดูรายการทีวี เกี่ยวกับข่าวพวกในวงการบันเทิง และคนดังทั้งหลายที่โดนจับตามองอยู่ตอนนี้ และที่เธอนั่งดูนั่นมีข่าวของคนรู้จัก“คุณก็รู้ว่าผมไม่มีวันหย่าให้ คุณอย่าพยายามดีกว่า” อนุชาบอกเสียงระรื่นอย่างคนมีความสุข...ก็จะไม่ให้เขามีความสุขได้อย่างไร ได้เห็นหน้าภรรยาที่รักตอนเช้าแบบนี้ ผู้ชายที่เป็นสามีคนไหนจะไม่มีความสุขบ้าง“แต่คุณก็รู้ว่าเราสองคนไม่ได้รักกัน ที่ฉันหนีไปเรียนเมืองนอก คุณยังมองไม่ออกอีกหรือว่าเพราะอะไร” พลอยไพลินหันกลับไปคุยกับสามีที่นั่งอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า ทำให้เธอรู้สึกหน้าแดงกับสภาพของเขาไม่ได้ และแทนที่เธอจะเห็นอนุชาทำหน้าไม่พอใจเหมือนทุกครั้ง แต่เธอกลับเห็นเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อตี๋อินเทรนด์นั้น“รู้สิ แต่ผมก็มีความอดทนมากพอ จะรอวันที่คุณรักผม” ...เมื่อก่อนไม่เห็นพูดหรือคิดแบบนี้ พลอยไพลินคิดในใจก่อนจะพูดอีกอย่างกลบเกลือนความรู้สึกของเธอ“...ผู้ชายบ้า หน้าด้าน! ผู้หญิงเค้าไม่รักแล้วยังจะตามตื้ออยู่ได้” เสียงหวานตั้งใจบ่นกับตัวเองดสียงดัง ตั้งใจให้คนที่นั
บทที่ 10 :: แค่ข่าวลือ!“คุณรามค่ะ ไม่ทราบว่าแหวนที่คุณสวมใช่แหวนหมั้นหรือเปล่าค่ะ” นักข่าวสาวคนหนึ่งเอ่ยถามนักธุรกิจหนุ่ม เมื่อชายหนุ่มเปิดโอกาสให้ถามได้“ครับ! แหวนหมั้น”“แล้วจริงหรือเปล่าค่ะ ที่คุณหมั้นเพราะทางผู้ใหญ่อยากให้หมั้น ไม่ใช่เพราะคุณเต็มใจ” นักข่าวสาวคนเดิมยังคงตั้งคำถามที่สอง หลังจากที่ได้คำตอนแรกแล้ว และก็ยังอยู่ในหัวข้อเดิมก่อนหน้านี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปไหน นั้นก็เพราะทุกคนในวงการต่างให้ความสนใจพระรามและ ‘คู่หมั้น’ ของเขาจนต้องให้สำนักงานข่าวตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพื่อตอบปัญหาที่ผู้คนยังมีความค้างคาใจ และสงสัยในตัวของนักธุรกิจหนุ่ม"คำถามนี้ผมขอไม่ตอบเพราะผมอยากให้เกียรติฝ่ายหญิงที่อาจจะเสียหายเพราะผม” เสียงเข้มบอกกับบรรดาสื่อเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อคมตอนนี้มีความจริงจังกับการตอบคำถามของสื่อมาก เหมือนว่าเขากำลังตอบคำถามเกี่ยวกับธุรกิจอย่างไรอย่างนั้น“เอ่อ แล้วคุณจะบอกกับพวกเราได้ไหมคะ ผู้หญิงโชคดีคนนั้นเป็น พอจะบอกใบ้ให้พวกเราได้รู้ได้ไหมคะ” และคำถามนี้ก็ทำให้พระรามเผลอหลุดยิ้มออกมา นั้นทำให้บรรดาสื่อต่างๆพากันถ่ายรูปไปประกอบเนื้อหาข่าวของพวกเขากันเสียยกใหญ่ ก่อนจะมีชายหนึ่
บทที่ 9 ผู้ชายของอลิสา“ไม่ ปล่อยนะ ใครก็ได้ช่วยเฟรชด้วย!” เสียงหวานตะโกนออกมาสุดเสียง ร่างบอบบางกระสับกระส่ายไปมา ใบหน้าหวานตอนนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ“ออกไป ออกไปนะ! อย่าทำเฟรช เฟรชกลัว!” และก็เป็นอีกครั้งที่สาวน้อยร้องออกมาราวกับคนละเมอ ใบหน้าหวานตอนนี้เหยเกราวกับเจ็บปวดกับอะไรบางอย่าง ทำให้สุภิชญากับอาทิตย์ที่เพิ่งกลับมาจากท่องราตรี ตอนนี้ก็เป็นเวลาตีสองเศษๆแล้ว“เจ๊! ยัยเฟรชเป็นอะไรอ่า” อาทิตย์ที่เดินเข้ามาดูอาการเพื่อนรัก เพราะได้ยินเสียงแปลกจากคนที่นอนอยู่นเตียง“ทำไมยัยเฟรชเหงื่อออกเยอะอย่างนี้ล่ะ” ในขณะที่พูดอาทิตย์ก็ใช้มือสัมผัสใบหน้าของเพื่อนสาวตัวน้อยของเขาไปด้วย “ตัวเย็นเหมือนเพิ่งหายป่วยเลย”“ไหนขอเจ๊ดูหน่อย” สุภิชญาที่เพิ่งกลับมาจากเข้าห้องน้ำก็รับวิ่งมาดูสาวน้อยที่ตอนนี้ยังเพ้อไม่หยุด “ต๊ายแล้ว! น้องเฟรชของเจ๊ สงสัยเพิ่งจะหายป่วยแน่เลย ลูกหมีแกไปทำโจ๊กมาให้เจ๊หน่อยสิ”“ได้ๆ รอสักครู่นะเจ๊” ตอบรับแค่นั้นอาทิตย์ก็ตรงไปที่ห้องครัว และจัดการทำโจ๊กตามที่สุภิชญาสั่งทันที“นี่อย่าบอกนะ ตอนที่เรากำลังออกจากห้องน้องเฟรชกำลังป่วย” สุภิชญาพูดออกมาราวกับนึกขึ้นมาได้ มิน่าล่ะตอนนั้
“เชิญนั่งกันตามสบายเลยนะครับ” เสียงเข้มบอกเรียบเรื่อย พระรามเทเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์สีอำพัน ก่อนจะยกขึ้นดื่มราวกับน้ำเปล่า เมื่อหมดแก้วชายหนุ่มจึงวางไว้บนโต๊ะดังเดิม“อ่อค่ะ” สาวประเภทสองเอ่ยตอบชายหนุ่มกลับไปสั้นๆ แต่กลับตอบออกมาพร้อมเพรียงกัน“ผมมีเรื่องให้พวกคุณช่วยหน่อย” ใบหน้าเหล่อเหลาฉายแววกังวลใจ แต่แค่เพียงแวบเดียวก็กลับมาปกติก่อนจะพูดขึ้นมาอีกเมื่อเห็นทั้งสองรอฟังและไม่เอ่ยขัด ผมอยากให้พวกคุณดูแลอลิสาให้มากว่านี้“เอ่อ.. หมายความว่าอย่างไรคะ คุณพระรามรู้จักกับน้องเฟรชของเราด้วยหรือคะ?” สุภิชญาจับต้นชนปลายไม่ถูก โพล่งถามออกไปเสียงตะหนกและรู้สึกไม่เข้าใจ พอๆกับอาทิตย์ที่ในเวลานี้กำลังแสดงสีหน้าประหลาด“ครับ ผมอยากให้พวกคุณคอยรายงานเรื่องอลิสาให้ผม โดยเฉพาะคุณอาทิตย์ คุณพอจะทำได้หรือเปล่า” ในขณะพูดพระรามก็หันหน้ามาทางอาทิตย์เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับอีกฝ่าย“ทำไมต้องเป็นผม เอ๊ย! ฉันด้วยล่ะคะ” อาทิตย์ที่โดนเล็งเป้ามาที่ตนก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกจนเอ่ยพูดติดๆขัด“เพราะคุณอยู่กับอลิสาและสนิทกับเธอมากที่สุด” พระรามบอกแค่นั้น ใบหน้าชายหนุ่มเวลาพูดถึงเรื่องดาราสาวนั้นจะเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์
บทที่ 8 แค่เริ่มต้นบนโลกใบนี้มีผู้คนนับล้านอาศัยอยู่ ต่างเดินสวนกันไปมามีทั้งรู้จักและไม่รู้จัก และที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลย ก็คงจะเป็นผู้คนในแต่ละครั้งที่เราพบเจอนั้น มีเนื้อคู่หรือคู่แท้ของเราอยู่หรือเปล่า บางคนอาจใช่...แต่บางคนก็อาจะไม่ใช่คนที่คิดว่าใช่ สุดท้ายก็กลับ ‘ไม่ใช่’ …แต่บางคนที่คิดว่าไม่ใช่ สุดท้ายก็ ‘ใช่’ อย่างไม่มีเหตุผล และแบบนี้จึงทำให้คนเราที่มี ‘ความรัก’ มีทั้งผิดหวัง และสมหวังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แบบไม่มีที่สิ้นสุดและพระรามก็คือหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น ที่มีทั้งผิดหวังและสมหวังในเวลาใกล้เคียงกัน แต่โลกใบนี้ก็สอนให้เขารู้ว่าไม่ว่าจะ ‘ผู้หญิง’ หรือ ‘ผู้ชาย’ ก็ไม่สมควรเล่นกับความรู้สึกกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง“หมายความว่าอย่างไรคะ” อลิสาที่คิดตามคำพูดของชายหนุ่มหันกลับมาถาม “...ที่บอกว่าเป็นมากกว่า ‘คนรู้จัก’ กัน”“ฉันก็หมายความตามที่พูด” พระรามเอ่ยแค่นั้นก็พาร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะเดินไปทางประตูห้องของสาวน้อย ชายหนุ่มหันหน้ากลับไปมองร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียง และกำลังมองมาทางเขาด้วยสายไร้เดียงสา ทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมากับท่าทางน่าเอ็นดูนั้นของสาวน้อยและด้วยกิริ
บทที่ 7มากกว่าคนรู้จักหลังจากที่เดินคุยกับสุภิชญาและอาทิตย์แล้วสาวน้อยก็ขอตัวกลับมาห้องพัก ใช้ข้ออ้างว่าอยากนอนพักสักสองสามชั่วโมงแต่ที่จริงแล้วอยากนอนมากเลยต่างหาก อาจเป็นเพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย ครั่นเนื้อครั่นตัวและปวดศีรษะถึงแม้จะปวดไม่มากแต่เธอก็รู้สึกว่าร่างกายเธอคงไม่ไหวอีกแล้วล่ะมือบางปิดประตูห้องพักลงเสียงเบา ร่างบอบบางเดินผ่านเตียงนอนที่ตอนนี้มีร่างสูงของใครนั่งอยู่บนเตียงของเธอเหมือนกับเป็นเจ้าของ สายตาคมจ้องมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังรินน้ำใส่แก้วด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยอย่างเห็นได้ชัด เหมือนอีกฝ่ายไม่มีแรง"รู้ว่าตัวเองไม่สบายยังจะดื่มน้ำเย็น" เสียงทุ้มของพระรามเอ่ยออกมาเมื่อเห็นสาวน้อยกำลังยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากของเธอ ทำให้คนได้ยินถึงกับชะงักกึกก่อนสายตากลมโตจะมองมาทางต้นเสียง"คุณ!"ด้วยความตกใจอลิสาที่ถือแก้วน้ำอยู่ทำแก้วตกลงพื้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เศษแก้วแตกกระจายเต็มพื้นไปหมด เธอทำท่านจะก้าวถอยหลังเมื่อเห็นร่างหนาของผู้ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้เธอ แต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อโดนอีกฝ่ายพูดกับเธอเสียงเข้ม“ซุ่มซ่าม ทำอะไรไม่รู้จักระวัง” พระรามเอ่ยออกไปแค่นั้นก่อนจะเดินเ