สิ่งใดที่ควรกล่าวก็กล่าวไปหมดแล้ว คุณชายรองเจียงจึงเดินตามพ่อบ้านไปพบเหอฮูหยินตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
คล้อยหลังพี่ชายรูปงามของสหายได้ไม่นาน นางก็เริ่มเปิดปากเอ่ยถามเรื่องของเหรินเซียวเหยาทันที
“เมื่อครู่ที่เจ้าสนทนากับพี่ชายในรถม้า เรื่องคุณหนูเหริน แท้จริงนางยังไม่ได้เป็นคนรักของพี่ชายเจ้าหรือ”
“ก็ยังน่ะสิ แม้จะพยายามเข้าหาเพียงใด พี่ชายข้าก็ยังไม่หลวมตัวเสียที ข้าจึงกลัวว่าวันหนึ่งเขาจะพลาดพลั้งให้กับมารยาของเหรินเสี่ยวเหยา”
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยชอบนางนะ”
“ข้าไม่ชอบสตรีที่ทั่วทั้งตัวมีแต่วาจาโกหก ทั้งยังเสแสร้งเช่นสตรีดอกบัวขาว แสร้งทำตนเองงดงามและสูงส่ง แต่แท้จริงก็เป็นเพียงดอกบัวที่แปดเปื้อนเพราะฝีมือตนเอง”
‘น้องสามีกับว่าที่พี่สะใภ้ไม่ถูกกัน’ ในจวนเจียงคงครึกครื้นไม่น้อย
“เล่อเล่อ แต่หากพี่ชายของเจ้าพึงใจนางขึ้นมาจริง ๆ เจ้าก็ต้องยอมรับมันนะ”
“ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางยอมรับสตรีผู้นั้นเข้ามาในตระกูลเจียงเด็ดขาด เจ้าอย่าได้คิดเข้าข้างนางเพียงเพราะจวนอยู่ใกล้กัน” พูดแล้วก็รู้สึกโมโห สตรีผู้นั้นต่อหน้าเอ่ยชมนางอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอนางลุกไปได้ไม่นานก็เอ่ยวาจาหวานหูให้คนอื่นเข้าใจว่านางเป็นตัวปัญหา พี่รองจึงฝากฝังให้ดูแล
ช่างเป็นสตรีที่น่ารังเกียจยิ่ง...
“เล่อเล่อ เจ้าใจเย็น ๆ แล้วฟังข้านะ ที่ข้าเอ่ยนะ ข้าไม่ได้จะเข้าข้างเหรินเสี่ยวเหยา แต่ข้าเพียงอยากให้เจ้าเห็นใจพี่รองของเจ้า หากเขารักใคร่และเลือกนางเป็นฮูหยินแล้ว เจ้าก็ต้องเปิดใจรับ เพราะนางจะเป็นคนที่อยู่กับเขาไปตลอดชีวิต” ตอนนี้ยังไม่รักอีกไม่นานก็คงรัก
“แต่ข้าไม่อยากได้สตรีร้ายกาจเช่นนั้นมาเป็นพี่สะใภ้”
“หากพี่ชายเจ้ารักนาง เจ้าก็ต้องยอมเพื่อความสุขของเขา ลองเปิดใจมองนางเถิดนะเล่อเล่อ” นางกล่าวพลางจับมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมแล้วลูบเบา ๆ คล้ายปลอบประโลมให้อีกฝ่ายใจเย็น “หากเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็จะลองดูก็แล้วกัน เจ้าเอ่ยแทนนางมากขนาดนี้ เหรินเสี่ยวเหยาคงมิใช่สหายในวัยเด็กของเจ้าหรอกนะ เห็นจวนอยู่ใกล้กันด้วย”
“แม้จวนจะอยู่ใกล้กัน แต่วางใจเถิดข้ามิได้เป็นสหายกับนาง มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีเจ้าเป็นสหายเพียงคนเดียวหรอก”
“เจ้าดีเช่นนี้ เหตุใดข้าไม่เจอเจ้าให้เร็วกว่านี้กันนะ”
“ตั้งแต่ตกน้ำตอนสิบหนาว ข้าก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเลยไม่อยากออกจากจวน งานเลี้ยงแรกที่เข้าร่วมก็คืองานเลี้ยงที่ได้เจอกับเจ้า และเราก็ได้เป็นสหายกันจนวันนี้”
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณตนเองที่วันนั้นเดินเข้าไปทักทายเจ้า ข้าจึงได้เป็นสหายกับเจ้า แล้วร่างกายเป็นเช่นไรบ้างดีขึ้นแล้วหรือ ต้องกินยาใดหรือไม่ ข้าจะให้พี่ชายสรรหายาพวกนั้นมาให้เจ้า”
“ไม่แล้ว หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนเหว่ยครานั้นข้าก็ล้มป่วยหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอด ก่อนจะได้นักพรตผู้หนึ่งมาช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งคล้ายไม่เคยป่วยมาก่อน”
“ช่างดีจริง ๆ แต่หากร่างกายยังป่วยอยู่หรือรู้สึกไม่ดียามที่อยู่กับข้า เจ้าสามารถบอกกล่าวข้าได้ทันที”
“ขอบคุณเจ้า เจ้าช่างใจดีกับข้าเสียจริงเล่อเล่อ”
“ข้าก็ต้องขอบคุณตัวเองที่วันนั้นเดินเข้าไปสนทนากับเจ้า” เจียงเซียวเล่อกล่าวก่อนจะยิ้มออกมา
คุณหนูทั้งสองนั่งสนทนากันในสวนเกือบครึ่งชั่วยามกว่าคุณชายรองเจียงจะมาพาน้องสาวกลับจวน
เพราะยามรับสำรับมีสหายของพี่ชายอยู่ด้วย นางจึงไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องที่ประมุขปราสาทเมฆาเอ่ยวาจาแปลก ๆ กับนาง ยามนี้เจียงเซียวเล่อจึงตั้งใจมาหาพี่ชายคนรองที่ห้องทำงาน
“พี่รอง ข้าขอสนทนากับท่านสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
“อืม ว่ามา” เจียงเซวียนตอบก่อนจะปิดบัญชีร้านค้าที่กำลังดูอยู่
“ท่านพึงใจสหายของข้าหรือเจ้าคะ”
“ก่อนที่พี่จะตอบคำถามเจ้า เจ้าควรตอบคำถามของพี่ก่อน”
“เชิญถามมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าชื่นชอบเหอซือซือในฐานะใด สหายหรือคนรัก?” คำถามของพี่ชายคนรองทำให้นางชะงักไปเล็กน้อย
นั่นสิ! นางชื่นชอบซือซือในฐานะใด หากไม่เพราะยามใกล้ชิดเกินพอดีกับเผยหลี่จุนแล้วนางรู้สึกแปลก ๆ นางคงสามารถตอบได้อย่างมั่นใจว่าพึงใจสหายในฐานะคนรัก
“เจ้าชื่นชอบเหอซือซือในฐานะใด สหายหรือคนรัก?” คำถามของพี่ชายคนรองทำให้นางชะงักไปเล็กน้อย นั่นสิ! นางชื่นชอบซือซือในฐานะใด หากไม่เพราะยามใกล้ชิดเกินพอดีกับเผยหลี่จุนแล้วนางรู้สึกแปลก ๆ นางคงสามารถตอบได้อย่างมั่นใจว่าพึงใจสหายในฐานะคนรัก แต่ยามนี้นางกลับไม่มั่นใจในความรู้สึกของตนมากนัก หรือนางจะชื่นชอบเหอซือซือเพราะความน่ารักน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ทั้งยังรู้สึกสบายใจยามได้สนทนาและชอบอีกฝ่ายในฐานะสหายจริง ๆ “เรื่องนั้นท่านจะอยากทราบไปด้วยเหตุใด” ในเมื่อยังไม่มั่นใจนางก็จะไม่กล่าวมันออกไปเด็ดขาด “เจ้าก็อยากจะทราบเรื่องพี่ไปด้วยเหตุใด” “ข้าไม่ถามท่านแล้วก็ได้ แต่พี่รอง! ท่านอย่ามายุ่ง
“ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่เจ้ากับนางเคยยื้อแย่งกับเมื่อตอนเป็นเด็ก จนสุดท้ายมันหล่นแตกไม่มีใครได้ไปสักคนใช่หรือไม่” มุมปากของเผยหลี่จุนยกยิ้ม คงเพราะเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันมากจึงมีความชื่นชอบเหมือนกันกระมัง “แล้วเจ้าจะเกี้ยวพาเซียวเล่อเช่นไร” “ก่อนอื่นข้าจะพักที่จวนเจียงอย่างไม่มีกำหนดกลับเพื่อคอยสอดส่องดูแลนางไม่ให้ทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับคุณหนูเหอ” “งานที่ปราสาทเมฆามิใช่ว่าขาดเจ้าไม่ได้หรือ” “เรื่องนั้นข้ามีหนทางจัดการงาน” ก็แค่หากมีเรื่องใดต้องลงนามก็ให้ไป๋เซ่อกับเฮยเซ่อสลับกันนำมาส่งให้ แล้วทิ้งอีกคนให้ดูแลจัดการปราสาทเมฆา หากไ
5 มันคือตรงกลางระหว่าง หวาดกลัวและเกลียดชัง กว่า
‘ง่วงจริง ๆ นอกจากบรรเลงเพลงพิณ กู่ฉิน เป่าขลุ่ย พวกเจ้าไม่มีความสามารถใดที่น่าตื่นตาตื่นใจหรือ’ เหอซือซือคิดพลางพยายามกลั้นหาวอย่างสุดความสามารถ ครั้นจะหาวออกไปเลยก็จะเป็นการเสียมารยาท ประเดี๋ยวจะถูกต่อว่าไม่ได้รับการสั่งสอนอีก “เจ้าง่วงใช่หรือไม่ ข้าก็ง่วงเช่นกัน” เจียงเซียวเล่อป้องปากกระซิบ “อีกนานหรือไม่จะจบลง” “เห็นว่ามีคุณหนูที่จะแสดงความสามารถทั้งหมดยี่สิบคน ตอนนี้ผ่านไปสิบคนแล้ว” “อีกครึ่งทาง ช่างเป็นเวลาที่ยาวนาน” “หากเจ้าง่วงจะงีบหลับก็ได้ ข้าจะดูต้นทางให้” “ทำเช่นนั้นได้ที่ใดกันเล่าเล่อเ
“นี่เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำให้สหายของข้าล้มลงเช่นนี้” เจียงเซียวเล่อที่ไม่ชอบใจสตรีผู้นี้อยู่แล้ว รีบเข้าประคองสหายแทนก่อนจะเอ่ยปากต่อว่า “คุณหนูเจียงข้าทราบดีว่าก่อนหน้านี้ท่านไม่ชอบข้าอยู่แล้ว แต่ข้าไม่ได้ทำร้ายสหายของท่าน ข้าเพียงอยากทักทายสหายของข้า” “สหายของเจ้า? ซือซือน่ะหรือสหายของเจ้า ช่างเอ่ยวาจาโกหกได้หน้าตาเฉย” “จวนของข้าอยู่ห่างจากจวนนางไม่ไกล ตอนเป็นเด็กข้าเคยไปเล่นกับนางอยู่บ่อยครั้ง มิเชื่อถามนางสิ ใช่หรือไม่ซือซือ” “...” นางไม่ตอบได้หรือไม่ ยามนี้นางจำได้แล้วว่าเหตุใดเหอซือซือถึงได้ไม่อยากให้สตรีผู้นี้แตะตัว มันเป็นสิ่งที่ผสมปนเปกันระหว่างหวาดกลัว เกลียดชัง “ซือซื
“ซือซือนางเป็นสหายในวัยเด็กของข้าเจ้าค่ะ เพียงแค่ข้าทักทาย นางก็ล้มลงแล้วร้องโวยวาย ข้าไม่ได้ทำอันใดนางนะเจ้าคะคุณชายรองเจียง” “เจ้ามีนามว่าเซียวเล่อหรือ” สิ้นเสียงบุรุษรูปงาม เสียงหัวเราะคล้ายจะดังขึ้นในกลุ่มสตรีที่ยืนมองดู “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากอธิบายให้คุณชายรองเจียงฟัง” เหรินเสี่ยวเหยาก้าวเท้าเข้าใกล้คล้ายอยากอธิบายให้บุรุษที่ตนพึงใจฟังแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงร้องหวาดกลัวของสตรีอีกคน “เล่อเล่อข้ากลัวนาง อย่าให้นางเข้าใกล้ข้านะ” “พี่รอง ข้าว่าเราไปสนทนากันที่จวนเถิดเจ้าค่ะ” “อืม...ก็ได้ เช่นนั้นเดี๋ยวพี่อุ้มนางเอง ประคองกันไปเช่นนี้ช้าเกินไป” กล่าวจบเขาก็รวบตัวนางที่
6 สองพี่น้องตระกูลเจียง เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงของราชเลขาธิการคล้ายจะถูกเล่าลือไปใหญ่โตว่าคุณหนูเหรินเสี่ยวเหยาร้ายกาจ รังแกคุณหนูเหอ จากจวนรองเจ้ากรมยุติธรรม แม้อีกฝ่ายพยายามจ้างคนไปแก้ไขข่าวลือแต่ดูเหมือนเสียงเล่าลือจะไปไกลจนยากแก้ไข ทำให้คุณหนูรองเหรินถูกท่านราชครูสั่งลงโทษกักบริเวณเป็นเวลาเจ็ดวัน “พวกเจ้าทำงานได้ดีมาก” เจียงเซวียนเอ่ยหลังจากฟังคำรายงานของลูกน้องจบ “ที่ถูกเล่าลือจนยากกลบเกลื่อนเช่นนี้ เป็นเพราะมีคนอีกกลุ่มช่วยแพร่ข่าวลือเรื่องนี้ขอรับ” จิ้นไฉกล่าว “ใคร?” “คุณชายฮุ่ยขอรับ” “ฮุ่ยหลานซีหรือ เหตุใดคนผู้นั้นถึงทำเช่นนั้น” “ไม่ทราบขอรับ” “หรือจะเป็นเพราะนาง พวกเจ้าไปตามสืบว่าฮุ่ยหลานซีมีความสัมพันธ์กับคุณหนูเหอเช่นไร” “ขอรับคุณชาย” เมื่อสนทนากับลูกน้องเสร็จ คุณชายรองก็เดินกลับไปที่เรือนของน้องสาว เพื่อไปสอบ
“เห็นหรือไม่ ที่ข้ากล่าวผิดที่ใดกัน เหรินเสี่ยวเหยาเป็นแค่สตรีดอกบัวขาว สร้างภาพว่าตนเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แท้จริงเบื้องลึกคงเน่าเฟะ พี่รอง! ท่านคิดดูขนาดคุณชายฮุ่ยที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังตกใจและพยายามช่วยเกลี้ยกล่อมซือซือ ยามนั้นนางน่าสงสารจริง ๆ” “ไม่ต้องห่วง ภาพลักษณ์ที่สตรีผู้นั้นพยายามสร้างกำลังพังทลายยากจะกอบกู้” “จริงหรือเจ้าคะ” เจียงเซียวเล่อรู้สึกยินดียิ่งนัก “เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนราชเลขาธิการถูกเล่าลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว มีแต่คนสงสารและเห็นใจซือซือ ว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะโดนอีกฝ่ายทำร้ายอย่างหนัก และพอทราบเรื่องนี้ก็ไม่มีใครแปลกใจแล้วว่าเหตุใดยามที่ส่งเทียบเชิญตระกูลเหอ ถึงไม่มีเงาของคุณหนูตระกูลนี้เข้าร่วมเลยสักครั้ง” “สมน้ำหน
‘ข้าว่าแล้วแท้จริงสองคนนี้ไม่ถูกกัน มิเช่นนั้นคุณหนูเหอคงไม่แสร้งตกใจจนผลักคุณหนูเหรินล้มเช่นนี้’ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าว ‘ข้าว่าเรื่องนี้ต้องเป็นคุณหนูเหอที่ผิด สตรีดีงามเช่นคุณหนูเหรินหรือจะทำร้ายผู้อื่น วันนั้นข้ายังเห็นนางเอาตัวเข้าบังคุณหนูเติ้งเพื่อช่วยเหลือจากการโดนแส้ฟาด’ เป็นสตรีคนหนึ่งป้องปากสนทนากับสหาย ‘ข้าเห็นด้วยกันเจ้า คุณเหอต้องริษยาที่คุณหนูเหรินงดงามและมีชื่อเสียงดีงามเป็นที่หมายปองของบุรุษมากกว่าตนเป็นแน่’ “นี่พวกเจ้า!” จูเฉ่าเหมยตั้งใจจะหันไปตวาดใส่พวกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็ตัดสินผู้อื่นแล้ว แต่สหายเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะแตะมือเป็นเชิงห้าม “ช่างเถิดอย่าได้สนใจเลย เราไปกันเถิด” นางหมดอารมณ์จะชมสวนแล้ว แต่ในขณะที่นางกำลังหมุนตัวจะพาสหายเดินจากไป
“คุณหนูเจียงหรือ ใช่บุตรสาวแม่ทัพเจียงหรือไม่” มิใช่ว่ามีคุณหนูอยากเข้าหามากมายหรือ เพื่อใช้เป็นสะพานทอดไปหาพี่ชายคนรองที่มีแต่สตรีหมายปอง “ถูกแล้ว เล่อเล่อนางน่ารักและเป็นสหายที่ดีมาก” “หากคุณหนูเจียงไม่รังเกียจข้าที่เป็นบุตรสาวพ่อค้า ข้าย่อมยินดีที่จะเป็นสหายกับนาง” “ดียิ่ง” นางยิ้มก่อนจะรีบวางจอกชาลงทันที เพราะสนทนากันอย่างเพลิดเพลินจึงลืมตัวหยิบจอกชาขึ้นมาและเกือบจะจิบมันเข้าไปแล้ว “ซือซือ ข้ามองหาเจ้าตั้งนานแท้จริงเจ้ามาหลบอยู่ที่นี่เอง” สตรีดีงามผู้มีรอยยิ้มอ่อนหวานเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยปากทักทายนาง ‘ตามหาข้าเช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่’ นางคิดก่อนจะปรายตามองฝั่งบุร
‘เขาดูหลงใหลข้าเช่นนี้ดีไม่น้อย’ แค่นางกอดขาเขาให้แน่น เพียงเท่านี้ทางรอดของนางก็สว่างไสวแล้ว หลังจากคืนนั้นคุณชายรองเจียงก็ไม่ว่างมาปีนเข้าเรือนคุณหนูเหออีก มีเพียงจดหมายถามไถ่และเล่าเรื่องราวที่กำลังทำอยู่ให้นางทราบพร้อมทั้งส่งของปลอมประโลมที่ทำให้นางต้องคิดถึงเขาเป็นเครื่องประดับล้ำค่าและน้ำมันหอมสลับกันไปจนถึงวันที่มีการจัดงานเลี้ยงในวังหลวง ว่าด้วยงานเลี้ยงจิบชาชมดอกไม้ของฮองเฮา ไม่ต่างจากงานเลือกคู่ดูตัวเท่าใดนัก เพราะมีคุณชายคุณหนูวัยออกเรือนเข้าร่วมมากมาย แต่ละคนนั้นแต่ตัวงดงามจนเรียกได้ว่าแย่งชิงความโดดเด่นจากดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ในสวน ‘งานเลี้ยงที่ไม่มีเล่อเล่อช่างน่าเบื่อหน่าย’ เหอซือซือลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เห็นสหายว่าติดพ
17 พบเจอสหายคนใหม่ แม้จะมีเวลาเพียงหนึ่งเค่อก่อนจะถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับองค์รัชทายาท เจียงเซวียนก็ยังแวะเวียนมาจวนตระกูลเหอและปีนหน้าต่างเข้าเรือนคุณหนูของจวนหวังจะได้สนทนากันสักสองสามประโยคให้ชื่นใจก็ยังดี “ซือซือ เจ้ามานั่งรอพี่หรือ” วันนี้เขาอารมณ์ดี
ก็อย่างที่เคยบอก มารยาดอกบัวขาวมีแต่บุรุษที่โง่เขลาเท่านั้นแหละที่มองไม่ออก จะมาเทียบมารยาชั้นครูเช่นนางได้อย่างไร ด้านคุณหนูเหรินที่วันนี้ได้รับคำเชิญจากหลวนโหวซื่อจื่อ ให้มาพบที่จวนโหว ได้แต่สะกดกลั้นความไม่พอใจในท่าทางของสตรีที่ตนเคยมองว่าเป็นเบี้ยล่างมาตลอด ก่อนจะยิ้มให้ดูอ่อนหวานที่สุดแล้วเดินเข้าจวนโหว “พี่จิ้นฝานรอข้านานหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามพลางมองอีกฝ่ายอย่างเพ่งพิศ แม้จะรูปงามน้อยกว่าคุณชายรองเจียง แต่ทว่าฮูหยินโหวซื่อจื่อนั้นมีศักดิ์สูงกว่า หรือนางจะเปลี่ยนใจมาล่อลวงบุรุษผู้นี้ดี ในอดีตความสัมพันธ์ก็ดีงาม หากนางต้องการสานสัมพันธ์ใหม่อีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องยาก “เจ้ามาแล้วหรือ” โหวซื่อจื่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อ
“คุณชายฮุ่ย ข้าเข้าใจนะเจ้าคะ ว่าตัวข้านั้นน่ารักน่าเอ็นดูและน่าทะนุถนอมไม่แปลกที่ท่านจะหวั่นไหวและอยากตอบแทนบุญคุณด้วยร่างกาย แต่ข้าอยากให้ท่านเข้าใจว่ายามนี้ตัวข้านั้นมีบุรุษที่พึงใจแล้ว และเขาก็พึงใจข้า อีกไม่นานเราสองตระกูลก็คงจะได้เกี่ยวดองกัน ดังนั้นข้าไม่อาจตอบรับการตอบแทนบุญคุณของท่านได้จริง ๆ เจ้าค่ะ” คำพูดของนางคล้ายของหนักที่กดศีรษะของอีกฝ่ายให้ก้มหัวลงเรื่อย ๆ ในขณะที่นางกอดอกกล่าววาจาด้วยท่าทางมั่นใจ แม้เขาจะมีมัดกล้ามที่แน่นน่าสัมผัสไม่น้อย แต่ก็ชะตาชีวิตเขาก็สู้ลูกรักของสวรรค์อย่างเจียงเซวียนไม่ได้ และต่อให้นางมีโอกาสได้เลือกใหม่อีกครั้งนางก็ยินดีจะเลือกพ่อค้าเช่นพี่ชายของสหายมากกว่าหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรอย่างเขาที่มีหน้าที่จะต้องปกป้องผู้สูงศักดิ์ก่อนปกป้องตนเองและครอบครัว เหตุใดนางถึงรู้น่ะหรือ ว่าฮุ่ยหลานซีคนนี้เป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร ก็นางเห็นหยกพกประจำตำแหน่งของเขาอย่างไรเล่า
‘ขอเพียงท่านตอบตกลง ข้าสามารถทำให้ท่านคู่ควรกับข้าได้’ ‘ข้ามิบังอาจ และหากท่านจำไม่ผิดข้าปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับท่านมาโดยตลอด ดังนั้นเลิกป่าวประกาศว่าข้าเป็นคนรักของท่านได้แล้ว และหยุดระรานผู้อื่นด้วย’ ‘เจียงเซวียนแม้ท่านจะใจร้ายกับข้า แต่ข้าก็ยังรักท่าน พวกเจ้าจงจำเอาไว้ นอกจากข้าไม่มีใครคู่ควรกับเขา หากยังมีสตรีใดกล้ามองเขา ข้าจะควักลูกตามันออกมาให้หมด’ กล่าวจบเหลียงจิ่วเม่ยก็ก้มเก็บแส้แล้วรีบเดินฝ่าวงล้อมออกไปทันที ‘คุณหนูเติ้งท่านปลอดภัยดีหรือไม่’ สตรีผู้งดงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา ‘ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูเหรินที่ช่วยเหลือ’ เติ้งจูหลี่ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าคุณหนูที่แทบ
16 เสี้ยนจู่แห่งแดนเหนือผู้ร้ายกาจ วันนี้ย่านการค้ายังคงคึกคักและมีคนออกมาจับจ่ายซื้อของมากเช่นเดิม อาจเพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีงานเลี้ยงจิบชาชมดอกไม้ที่ถูกจัดขึ้นโดยฮองเฮา จึงมีคุณชายและคุณหนูที่ถูกเชิญเข้าร่วมต่างออกมาซื้ออาภรณ์และเครื่องประดับใหม่ “สือหลิวเจ้านั่งลงเถิด” “จะดีหรือเจ้าคะคุณหนู” “จะให้ข้านั่งกินคนเดียวโดยมีเจ้ายืนมอง ข้าจะกินลงได้อย่างไร มิสู้เจ้านั่งกินด้วยกัน ข้าจะได้เจริญอาหารขึ้น” “แต่ว่ามันไม่เหมาะสม” “หากเจ้าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับข้า เช่นนั้นก็กลับจวนไปก่อน ข้าจะนั่งจิบชากินขนมคนเดียวเงียบ ๆ” “...” “ว่าอย่างไร หากไม่นั่งก็รีบกลับจวนไปซะ” “บ่าวนั่งก็ได้เจ้าค่ะ” สือหลิวบอกเสียงอ่อน “ดีมาก” ต้องให้เอ่ยวาจาร้ายกาจก่อนถึงจะยอมใช่หรือไม่ เมื่อสาวใช้ยอมนั่งร่วมโต๊ะแล้วนางก็หยิบขนมแล
“ข้าเจอท่านครั้งแรกที่ใดกันนะ...” นางแสร้งทำท่าทางครุ่นคิด คนผู้นี้ขี้อิจฉาจริง ๆ ไม่ยอมขาดทุนแม้เพียงเล็กน้อย “นั่นสิ! ที่ใดกันนะ” “ข้าจำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” “ให้นึกดี ๆ อีกครั้ง หากจำไม่ได้ คืนนี้พี่จะช่วยเจ้าทบทวนความจำทั้งคืนดีหรือไม่” จะต้อนสตรีเจ้าเล่ห์ต้องแฝงคำข่มขู่ที่แสนหวาน “อ๋อ! ข้านึกออกแล้วเจ้าค่ะ ท่านแย่งซื้อเสี่ยวหลงเปากับข้า” นางกล่าวพลางส่งยิ้มออดอ้อนเขา “น่าเสียดายจริง ๆ พี่ก็นึกว่าจะได้ช่วยเจ้าทบทวนความทรงจำแล้ว” “ท่านจัดการเรื่องของเสี้ยนจู่เหลียงจิ่วเม่ยให้แล้วเสร็จก่อนเถิดเจ้าค่