รุ่งเช้าวันต่อมา
“อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” คีรินที่พึ่งเดินลงมาจากบ้านเห็นน้องชายฝาแฝดนั่งหัวโด่รออยู่ที่โต๊ะทานข้าว เขาก็มองไปที่เจ้าตัวด้วยคิ้วขมวด อนาคินเองก็เหลือบหางตามามองพี่ชายฝาแฝดของเขาเล็กน้อย “ก็เห็นว่าคุณพ่อมีเรื่องด่วนนี้ นี่คินก็รีบมาสุดๆ แล้วนะ” คนพูดยักไหล่ในขณะที่ทำคนฟังส่ายหน้า “นี่ขนาดรีบนะ ปล่อยให้พี่กับพ่อรอกันทั้งคืน” คีรินบ่นเบาๆ พลางหันไปหยิบแก้วกาแฟจากแม่บ้านขึ้นมาจิบ “ทำไมถึงได้ทำตัวเถลไถลแบบนี้ล่ะคิน นายควรจะแยกแยะได้แล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็จะสามสิบแล้ว” อนาคินถอนหายใจยาวให้การบ่นแกมสั่งสอนของพี่ชาย “ก็เพราะรู้ว่าเรื่องอะไรไง คินถึงไม่อยากมา” เขาตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะได้ยินเสียงของพ่อแทรกขึ้น “แต่เพราะยังต้องใช้เงินพ่ออยู่ใช่ไหม ถึงจำเป็นต้องมานะ” สองหนุ่มหันไปมองหน้าพ่อที่เดินมานั่งตรงหัวโต๊ะ คีรินที่ยืนจิบกาแฟอยู่ก็หาที่นั่ง “เมื่อไหร่จะเป็นผู้เป็นคนสักทีอนาคิน ลูกก็ 28-29 แล้วน่ะ ลูกชายของพ่อมีกันสามคนและลูกคือคนที่พ่อเป็นห่วงที่สุด ขนาดน้องสาวลูกพ่อยังไม่เห็นว่าต้องห่วงอะไรขนาดนี้เลย” เสี่ยโอมบ่นความในใจของเขาออกมาพลางจ้องคนที่เขาบ่นให้ ซึ่งกำลังหลบหน้าอยู่ ลูกชายคนโตก็แต่งงานแล้วแถมอีกไม่นานเมียก็จะคลอดลูก พร้อมยังเป็นคนขยันมีธุรกิจหลายอย่างเป็นของตัวเองซึ่งนั่นก็ทำให้เขาหายห่วงแล้ว ส่วนลูกชายคนรองอย่างคีรินก็กำลังไปได้สวยกับการทำงาน แต่พอมาเปรียบที่อนาคินผู้เป็นดั่งลูกชายคนเล็กหากไม่นับน้องสาวที่เป็นเพศตรงข้ามกัน ซึ่งเจ้าตัวดีไม่ยอมเข้าไปเหยียบแม้บริษัทของครอบครัวเลย และตัวเสี่ยนั้นรู้ดีว่าลูกทุกคนของเขาน่ะทำงานที่เขาเคยทำได้หมด แต่อนาคินมักจะหาตู่แต่ว่าตัวเองไม่ชอบเลยไม่ยอมไปทำ มัวแต่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ จนน้องสาวที่อายุห่างกัน ตั้ง 5-6 ปียังมีรายได้ต่อเดือนมากกว่าเขาอีก “คินก็บอกพ่อแล้วไงว่าคินทำผับอยู่ พ่อเลิกบังคับคินให้เข้าบริษัทจะได้ไหม” อนาคินหันมาเจรจากับบิดา เสี่ยจึงสวนกลับในทันที “พ่อเห็นลูกพูดตั้งแต่เรียนจบ นี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วพ่อยังเห็นแต่เสาอยู่เลย” อนาคินถึงกับเถียงไม่ออก ก็เขาเป็นคนชอบเที่ยวเงินที่หามาได้เล็กๆ น้อยๆ เขาก็เอาไปเที่ยวจนหมด แถมมาช่วงหลังนี้พ่อตัดเงินเขาเพราะอยากบีบบังคับให้เข้าไปทำงาน มันเลยทำให้เขาขาดเงินทุน แต่ก่อนก็พอจะมีพี่ไฟที่เขาสามารถขอเงินทุนเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ช่วงนี้ชายหนุ่มต้องงดขอก่อน เพราะพี่ชายเองก็ไม่ค่อยได้ทำงานหนักเนื่องจากต้องดูแลภรรยาที่ใกล้คลอด อนาคินเงยหน้าขึ้นมามองพ่อ “ก็พ่อไม่สนับสนุนคินนี่ ให้คินหาทุนเองมันก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ” เขาตัดพ้อกับพ่ออย่างน้อยใจ “งั้นก็มาทำงานให้พ่อขอแค่ปีเดียว เพื่อให้คีรินไปดูงานที่อังกฤษแทนคุณเจมส์ที่เขาลาป่วย พอคุณเจมส์ทำกายภาพหายดีเขากลับไปดูแลบริษัททางนั้นให้ได้ คีรินกลับมาลูกก็ค่อยหยุด ส่วนผับของลูก ก็ก่อสร้างต่อให้เสร็จในปีเดียวกัน จะเอาให้ใหญ่โตแค่ไหนพ่อก็จะไม่ว่าแล้วก็จะลงทุนให้ทุกบาทด้วย” คนเป็นพ่อเสนอด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและจริงจัง ทำอนาคินคิ้วขมวดเพราะคิดไม่ตก “แต่คินไม่เคยทำงานมาก่อนนะพ่อ จะให้คินไปทำตำแหน่งของคีรินเลย พ่อกล้าฝากความเสี่ยงไว้กับคินเหรอ” เขาตู่ว่า เสี่ยที่คิดไว้แล้วก็ยิ้มมุมปาก “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ไม่ใช่ว่าพ่อจะทิ้งแกให้ทำคนเดียว พ่อเองก็จะช่วยดูๆ ให้ รู้ไหม…” เสี่ยเว้นช่วงแล้วมองหน้าลูกทั้งสอง “ที่พ่อพยายามจะให้พวกลูกได้ลงมือทำ ทั้งๆ ที่พ่อจะกลับไปทำเองก็ย่อมได้ แต่พ่อกลับเลือกฝากความเสี่ยงไว้กับพวกลูก ก็เพราะว่าพ่อยังสามารถทำและช่วยแก้ปัญหาให้พวกลูกได้หากพวกลูกทำพลาด แต่ถ้าวันนี้พ่อกลับไปทำงานเองแล้วค่อยให้พวกลูกทำตอนที่พ่อไม่ไหวแล้ว พวกลูกจะมีประสบการ์ณเหรอ แล้วถ้าเกิดอะไรผิดพลาดมาใครจะคอยช่วยพวกลูกล่ะ” คีรินพยักหน้ายิ้มอ่อนให้คำสอนของพ่อทันที ในขณะเดียวกันที่อนาคินกำลังหน้ายุ่ง “นั่นสิคิน ลองๆ ดูไม่เสียหายหรอก ปีเดียวก็แค่แป๊บเดียวเอง อีกอย่างคุณธีรัชเลขาของเราเขาเก่งจะตาย มีอะไรนายก็แค่ถามเขา ตอนที่พี่เข้าไปทำใหม่ๆ ก็มีคุณธีรัชนี่แหละที่คอยช่วยสอน” คีรินบอกเพื่อให้น้องชายไม่ต้องเป็นกังวล แต่อนาคินก็ยังคงก้มหน้าไม่พูดจา “อือ อีกอย่างดูเหมือนว่าหนูเจย่าจะเข้าไปเป็นผู้ช่วยเลขาอาทิตย์หน้าด้วยนี้” คุณพ่อที่พึ่งนึกได้หันไปพูดกับคีริน ซึ่งชายหนุ่มก็ตาโตทันทีเมื่อได้ฟังไม่แพ้น้องชายฝาแฝดที่กำลังหูผึ่ง “จริงเหรอครับ เสียดายจังผมคงไม่ได้อยู่เจอน้อง” คีรินตัดพ้อแต่มีรอยยิ้มจาง “ไม่เป็นไรหรอก อีกประมาณสี่ห้าเดือนหากเจย่าเป็นงานคล่อง คุณธีรัชเขาก็จะลาออกแล้ว ต่อไปเจย่าก็จะได้เป็นเลขาของท่านรองเต็มตัว” สองพ่อลูกพูดคุยกันพลางพยักหน้าไปมา ไม่ทันได้สังเกตอนาคินที่กำลังตาลุกวาว แต่คีรินกลับรับรู้ได้ว่าน้องชายจะตอบพ่อว่าเช่นไรโดยไม่ต้องหันไปมองหน้า “เมื่อกี้คุณพ่อบอกว่าใครจะมาเป็นผู้ช่วยเลขานะครับ” อนาคินที่ตอนแรกนั่งนิ่งเฉยถึงกับกระตุกคิ้วเอ่ยปากถามย้ำ หูของเขารับรู้ชื่อ ‘เจย่า’ ได้ดีกว่าคำพูดของพ่อเสียอีก จนคีรินยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน ทางพ่อก็จ้องหน้าคนถามด้วยฉงนและแปลกใจ “ก็เจย่าลูกสาวน้าเจนไง” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอนาคินในทันที เขาปรายตามองพ่อเล็กน้อย “งั้นคินลองดูก็ได้” “อะไรนะ!!” พ่อถึงกับถามใหม่ด้วยความไม่แน่ใจ อนาคินกลืนน้ำลายลงคอไปกลืนใหญ่ก่อนตอบกลับอย่างเน้นคำ “คินจะยอมไปเป็นรองประธานจำเป็นให้คุณพ่อเองครับ” พ่อกับพี่หันหน้าไปยิ้มให้กัน ก่อนคีรินจะจ้องเขม็งไปที่น้อง “คงจะไปทำงานจริงๆ ไม่ใช่ไปแกล้งผู้ช่วยเลขาหรอกนะ” คนฟังชะงักนิ่ง “นั่นสิ พ่อให้ลูกไปทำงานนะ ไม่ได้ให้ไปแกล้งใคร อีกอย่างน้องก็โตเป็นสาวแล้วด้วย จะทำอะไรก็ให้มันมีขอบเขต” อนาคินถอนหายใจยาว “อะไรกัน พอคินจะไปก็มาพูดอะไรแบบนี้อีก คินจะไปทำงานให้ไงครับ แต่…” คนพูดเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ “การแกล้งยัยนั่น ก็ถือว่าเป็นโบนัสให้คินไง” “โอ้ย” พ่อกับพี่ชายอุทานออกมาพร้อมเพรียง “ระวังตัวเถอะคิน แกล้งอะไรก็ให้อยู่ในเหตุในผลนะ ไม่งั้นลุงเจตเอาปืนมายิงทิ้งพี่ไม่รู้ด้วย” คีรินปราม แต่อนาคินก็เหมือนหูทวนลม เขายักไหล่ให้ หลังทานข้าวเสร็จ อนาคินโดนพี่ชายจูงออกมาส่งที่รถ “อย่าลืมที่คุยกันไว้นะคินว่าอย่าแกล้งเจย่าแรงเกินไปนะ”เขาย้ำถึงเรื่องที่คุยกันไว้ตอนกินข้าว ซึ่งน้องชายก็รับปากไปแล้ว แต่คีรินกลับรู้ดีว่ายังไงน้องก็ต้องผิดคำพูดแน่นอน จนรู้สึกสงสารหญิงสาวที่คุ้นเคยเหลือเกิน “เอ้อน่า ไม่ทำอะไรหรอก ตอนพูดที่โต๊ะกับพ่อก็แค่พูดหยอก เดินทางไปทำงานให้สบายใจเถอะ” อนาคินเอ่ยแบบปัดๆ จนพี่ชายส่ายหน้า “งั้นฝากบอกเจย่าเรื่องพี่ด้วย แล้วก็ฝากขอโทษที่พี่ไปโดยไม่ได้บอกด้วยนะ” “โอ้ย ฝากเยอะขนาดนี้ ไม่โทรไปพูดเองล่ะ” ชายหนุ่มเท้าเอวมองค้อนพี่ชายฝาแฝด “งั้นไปแล้วนะ” คีรินขึ้นรถเพื่อจะมุ่งตรงไปที่สนามบิน ส่วนอนาคินก็มองตามพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไปคิดแผนแกล้งยัยนั่นดีกว่า”พูดจบเขาก็วิ่งเข้าบ้านไปด้วยหน้าระรื่นในเวลาเดียวกันเจย่าก็กำลังเดินห้างกับพี่สาวก่อนที่คนเป็นพี่จะต้องพาลูกและสามีกลับบ้านต่างจังหวัด “เจน้องดูเสื้อผ้าร้านนี้สิสวยๆ ทั้งนั้นเลยพี่ว่าเราเข้าไปเลือกดูหน่อยดีไหม เดี๋ยวพี่จะซื้อให้สักสองสามชุด” หญิงสาวมองหน้าพี่ของเธอก่อนรีบส่ายหน้า “ไม่เอา พี่จะมาซื้อให้เจทำไมล่ะ” “ต้องซื้อสิ อาทิตย์หน้าน้องเจของพี่ต้องไปเป็นเลขาคนสวยของคีรินแล้วไม่ใช่เหรอ” เมื่อได้ยินคำถามแกมชมเช่นนั้นคนฟังก็เผยยิ้ม ตั้งแต่มาถึงเธอก็ยังไม่ได้เจอพี่คีรินเลยนี้น่า ถ้าจะไปเจอกันครั้งแรกที่บริษัทเลยในรอบหลายปี เธอก็อยากจะดูดีที่สุดในสายตาเขาเช่นกัน “งั้นก็ได้ค่ะ พี่ช่วยดูให้เจด้วยนะว่าชุดไหนสวยชุดไหนเจใส่แล้วออร่าจับนะ” “ได้แน่นอน” พี่สาวเอ่ยพลางรีบพากันเข้าไปในร้าน แจมมี่จับชุดที่คิดว่าจะเข้ากับน้องสาวของเธอมาสี่ห้าชุด แล้วให้เจย่าเข้าไปเปลี่ยนทีละชุดออกมาให้เธอดู “พี่คินขาเนเน่หิวข้าวแล้วน่ะ พี่คินพาเนเน่ไปกินข้าวหน่อยสิ” ซึ่งทางด้านนอกอนาคินได้พาสาวคู่นอนของเขามาเดินห้างแก้เบื่อ สายตาคมเหลือบไปเห็นสาวสวยคุ้นตาแวบๆ จากที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อกี้ก็เผยยิ้ม เขารีบหันมาบอกผู้หญิงข้างกาย “แล้วเธออยาก
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ในอาณาเขตเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษลาวาเลนเต้ “คุณพ่อเรียกหนูเหรอคะ?” หญิงสาวตัวเล็กผอมเจ้าของเรือนผมบลอนด์ทองยาวสวยโดยกำเนิดแบบหาได้ยาก เดินเข้ามาหาผู้เป็นบิดาในห้องทำงานด้วยท่าทีตื่นเต้น นี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาโทรหาลูกสาวแบบเธอให้มาพบ “ฉันได้ยินข่าวมาว่านายเจมส์ผู้บริหารของบริษัทศิลาที่นาย อศิร ศิลาหัตร์ทัยเป็นเจ้าของ มันประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลทำกายภาพบำบัด….” กาเบรียลหัวหน้าแก๊งลาวาเลนเต้เอ่ย ทั้งที่ยังไม่ได้หันไปมองคนมาใหม่ ทำโซเฟียบุตรสาวที่ยืนฟังอยู่เกิดความฉงนสงสัย“คุณพ่อหมายถึงอะไรคะ?” กาเบรียลหันมาจ้องหน้าเธอพร้อมตอบกลับเสียงเข้ม“ฉันอนุญาตให้แกเรียกฉันว่าพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่” โซเฟียก้มหน้างุดในทันที เธอก็แค่ลูกนอกสมรสที่เขาไม่ต้องการ“เอาล่ะ แต่ฉันจะยอมรับแกเป็นลูกก็ได้หากแกทำงานนี้ให้ฉันสำเร็จ” โซเฟียเงยหน้าขึ้นมาจ้องบิดาทันที“นายอศิรส่งลูกชายของเขาที่อายุไล่เลี่ยกับแกมาบริหารงานแทนไอ้เจมส์ที่ต้องรักษาตัว” เขาพูดพร้อมเว้นช่วงเพื่อพิสูจน์ความหัวไวของคนตรงหน้า“คุณท่านจะให้หนูไปตีสนิทกับเขางั้นเหรอคะ” กาเบรียลเผยยิ้มอย่างชอบใจ“ไม่ใช่
รุ่งเช้าวันต่อมา “อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” คีรินที่พึ่งเดินลงมาจากบ้านเห็นน้องชายฝาแฝดนั่งหัวโด่รออยู่ที่โต๊ะทานข้าว เขาก็มองไปที่เจ้าตัวด้วยคิ้วขมวด อนาคินเองก็เหลือบหางตามามองพี่ชายฝาแฝดของเขาเล็กน้อย “ก็เห็นว่าคุณพ่อมีเรื่องด่วนนี้ นี่คินก็รีบมาสุดๆ แล้วนะ” คนพูดยักไหล่ในขณะที่ทำคนฟังส่ายหน้า “นี่ขนาดรีบนะ ปล่อยให้พี่กับพ่อรอกันทั้งคืน” คีรินบ่นเบาๆ พลางหันไปหยิบแก้วกาแฟจากแม่บ้านขึ้นมาจิบ “ทำไมถึงได้ทำตัวเถลไถลแบบนี้ล่ะคิน นายควรจะแยกแยะได้แล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็จะสามสิบแล้ว” อนาคินถอนหายใจยาวให้การบ่นแกมสั่งสอนของพี่ชาย “ก็เพราะรู้ว่าเรื่องอะไรไง คินถึงไม่อยากมา” เขาตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะได้ยินเสียงของพ่อแทรกขึ้น “แต่เพราะยังต้องใช้เงินพ่ออยู่ใช่ไหม ถึงจำเป็นต้องมานะ” สองหนุ่มหันไปมองหน้าพ่อที่เดินมานั่งตรงหัวโต๊ะ คีรินที่ยืนจิบกาแฟอยู่ก็หาที่นั่ง “เมื่อไหร่จะเป็นผู้เป็นคนสักทีอนาคิน ลูกก็ 28-29 แล้วน่ะ ลูกชายของพ่อมีกันสามคนและลูกคือคนที่พ่อเป็นห่วงที่สุด ขนาดน้องสาวลูกพ่อยังไม่เห็นว่าต้องห่วงอะไรขนาดนี้เลย” เสี่ยโอมบ่นความในใจของเขาออกมาพลางจ้องคนที่เขาบ่นใ
‘ฮื้อๆ เจเจ็บ ฮื้อ พี่คินนิสัยไม่ดี แง’มือเล็กๆ ของยัยเด็กน้อยยกขึ้นถูที่ดวงตาของตัวเองเพราะถูกคนที่โตกว่านั้นผลักจนล้ม ‘สำออยน่า ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นางผีเสื้อสมุทรมาให้อุลตร้าแมนเคนจิจัดการซะดีๆ’ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้เลย แถมยังพยายามทำให้น้องลุกขึ้นมาเล่นกับตัวเองให้ได้ ‘ไม่เอา พี่คินเล่นแรง เจไม่เล่นด้วยหรอก อึก’ ‘โอ้ย ถ้าเธอจะไม่เล่นกับฉัน แล้วจะมาบ้านฉันทำไมทุกวันหะ’ อนาคินวัยเก้าขวบยกมือขึ้นเท้าเอวอย่างไม่พอใจ ‘คิน นี้ทำอะไรให้น้องเจนะ’คีรินพี่พึ่งช่วยพ่อพาน้องสาวของเขาเข้านอนกลางวันเดินเข้ามานั่งลงข้างเด็กหญิงก่อนจะพาน้องลุกขึ้น ‘ไม่ร้องนะ เดี๋ยวเราไปนอนกลางวันกันดีกว่า’ คีรินลูบหัวน้องอย่างอ่อนโยนโดยมีอนาคินยืนมองอยู่อย่างขัดใจ ‘พี่คินไม่ดีเลย’เด็กหญิงฟ้องพลางชี้นิ้วไปที่คนต้นเรื่อง ‘งั้นคนดีไปกับพี่คีรินนะครับ’คีรินรีบจูงมือเด็กหญิงออกไป ‘ยัยตัวดี’ส่วนหนุ่มน้อยอีกคนก็ทำได้เพียงมองตาขวางใส่ทั้งคู่ ‘จะไปไหนยัยแว่น’ อนาคินวัยมหาลัยได้พาเพื่อมาดักรอเจย่าที่โรงเรียนมัธยมซึ่งพึ่งเลิกเรียนและกำลังจะกลับบ้าน ‘หลีกไปนะพี่คิน เจจะกลับบ้าน’ หญิงสาวถอยไปหนึ
รถหรูคันหนึ่งแล่นมาจอดในรั้วบ้านศิลาแดง อนาคินกำลังจะกดรีโมตปิดประตูรั้ว แต่เผลอทำกุญแจหล่นเพราะฤทธิ์เมาที่พึ่งดื่มมากับสาว “โอ๊ย มืดก็มืด แล้วกุญแจจะตกไปทำไมเนี้ย” เขาก้มลงหาแถวหน้ารถ และไม่ทันสังเกตว่ามีรถอีกคันขับเข้ามาจอดที่ข้างรั้วบ้านเช่นกัน “อ้าว ประตูเปิดอยู่นี่ ให้พี่ขับเข้าไปเลยไหม?” จอนนี่ถาม เจย่าหันมาปฏิเสธทันที “อย่าเลยค่ะ ตอนนี้เขาคงหลับกันหมดแล้ว แต่เมื่อกี้เจเห็นพี่คีรินแวบๆ ขอเจไปทักทายแป๊บเดียว แล้วเราค่อยกลับนะ พี่รออยู่ตรงนี้แหละ” พูดจบเธอก็รีบเปิดประตูรถวิ่งไปทันที ทิ้งให้พี่ชายนั่งงงๆ กับความไวของน้อง ที่เขาจะเอ่ยห้ามก็ไม่ทัน “พี่คีริน!” หญิงสาวรีบวิ่งเข้ากอดชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้อยู่ เธอกอดเขาแน่นอย่างไม่เขินอายเพราะด้วยแรงคิดถึงที่มีมากโข ในขณะเดียวกันที่คนเมายืนชะงักนิ่งอย่างแปลกใจ “พี่คีรินเจคิดถึงพี่ที่สุดเลยค่ะ” ชายหนุ่มเริ่มคุ้นกับน้ำเสียงพลางรู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกตอนที่เขาคิดว่าอ้อมกอดนี้คงเป็นของเธอแน่ๆ เจย่า อนาคินรีบหันหน้ามามองเจ้าของเรียวแขนสวย มุมปากของเขากระตุกยิ้มตอนที่เธอเงยขึ้นมาจ้องหน้า “อะ! พี่คิน!!” เมื่อได้สบตากันเจย่าก็รีบดั
ศิลาแดง ร่างใหญ่สองร่างนั่งอยู่ที่โซฟาตรงมุมทางเข้าบ้าน พวกเขาหันจ้องหน้ากันซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับรอใครบางคนที่กำลังจะผิดนัด “อ้าว สองพ่อลูกคู่นี้ยังไม่ไปเตรียมตัวเข้านอนกันอีกเหรอ?” คุณหญิงครีมหอมที่ลงมาหาน้ำดื่ม เอ่ยทักเมื่อเห็นทั้งสองนั่งเงียบอยู่ข้างล่าง “ก็เจ้าคินน่ะสิคุณ ผมอุตส่าห์โทรนัดให้กลับมาคุยกันที่บ้านวันนี้ แถมมันยังรับปากผมซะดิบดี แต่สุดท้ายเวลานี้แล้วยังไม่ยอมโผล่หน้ามาเลย!” เสี่ยโอมถอนหายใจหนักมองเข็มนาฬิกาบนผนังอย่างไม่สบอารมณ์ “แบบนี้คงไม่กลับมาแล้วมั้งคะ สงสัยคงไปเมาอยู่ที่ไหนสักที่" ครีมหอมตอบ ขณะเดินเข้าไปลูบไหล่คีรินที่นั่งไม่ห่างจากตรงที่เธอยืน “อืม ผมว่าคุณแม่คงพูดถูกแล้วแหละครับ” คีรินพึมพำ “เราไปอาบน้ำเข้านอนกันเถอะครับคุณพ่อ” เขาหันไปบอกกับบิดาเนื่องจากเห็นว่าวันนี้ทำงานหนัก คนเป็นพ่อก็คงจะเหนื่อยมากแล้ว “แล้วเรื่องงานล่ะลูก?” เสี่ยโอมที่เรียกลูกชายอีกคนกลับมาเพราะมีเรื่องด่วนที่ต้องสะสางให้เสร็จภายในวันนี้ เขาเอ่ยถามออกมาอย่างหัวเสีย ก็คนที่นั่งข้างกันดันไปหน้าเหมือนกับคนที่ผิดนัดอีก “ไว้วันหลังค่อยคุยเถอะครับคุณพ่อ ที่คินไม่มาวันนี้ คงเพราะเร