Masuk<ใส่ชุดนี้ในวันแรกของการทำงานนะ เธอจะได้สดใสราวสีของชุด-คีริน>
เมื่อเจย่าเปิดดูข้อความในซองจดหมาย เธอก็ถึงกับยิ้มกว้าง เธอนึกว่าเขาลืมเธอไปแล้วเสียอีก มือเรียวดึงริบบิ้นออกอย่างรีบร้อน กล่องเปิดออกเผยให้เห็นชุดสีชมพูพาสเทลที่เธอลองใส่แล้วชอบเมื่อเช้า มันแบบเดียวและสีเดียวกันกับตัวนั้นเปะ “นี่พี่คีรินรู้ได้ยังไงน่ะ ว่าเราก็เล็งชุดนี้ไว้เหมือนกัน” เธอกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกเขิน ก่อนรีบหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา “โทรไปขอบคุณหน่อยดีกว่า” ทีแรกเธอก็ว่าจะอดใจไม่โทรหาเขาก่อน แต่เขาอุตส่าห์ส่งของมาให้แบบนี้ เธอก็อดใจไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ “อ้าว” รอยยิ้มบนใบหน้าของเจย่าหุบลงเมื่อเธอกดโทรออกไปที่เบอร์ของคีรินสองสามครั้ง แล้วเขาไม่รับสาย “พี่มัวทำอะไรอยู่นะ” หลับแล้วเหรอ? หรือว่าดูงานค้างอยู่? หญิงสาวเลยได้แต่คิดไปต่างๆ นาๆ ณ กรุงลอนดอนในตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ที่ยังไม่มีแม้แสงแดดสาดส่อง ในบ้านเช่าหลังหนึ่งบนโต๊ะของมุมนั่งเล่นเต็มไปด้วยจานอาหาร ของกินเล่น และขวดเบลีย์หนึ่งขวดพร้อมแก้วสองใบวางกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น เจ้าของผลงานทั้งสองก็กำลังนอนกอดกันกลมอยู่ตรงโซฟาตัวใหญ่ คีรินที่ตอนนี้กำลังเอาหน้าซุกเข้าที่ซอกคอของหญิงสาวตัวเล็กซึ่งกำลังยกแขนคล้องคอเขาเริ่มงัวเงียได้สติ “อือหอมอะไร เฮ้ย!!” เขาดีดตัวลุกนั่ง ก่อนที่หญิงสาวจะตื่นแล้วลุกตามเขาขึ้นมา พลางเกาหัว ด้วยความมึนงง “เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอจ้องหน้าเขา เขาก็มองไปรอบๆ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวาน หลังกลับมาจากโรงพยาบาลหญิงสาวก็ชวนเขามาทานข้าวที่บ้าน โดยบอกว่าเธอจะทำอาหารให้เขาทาน โซเฟียเดินขากะเผลกไปที่ตู้เย็นเพื่อเปิดดูว่าคนของกาเบรียลซื้อของอะไรไว้ให้เธอบ้าง ‘โอ้โห่’เธอเผลออุทานออกมาเบาๆ เพราะตู้เย็นนั้นเต็มไปด้วยของไว้ทำกับข้าวเยอะแยะมากมาย และส่วนใหญ่ก็เป็นของดีที่เธอไม่เคยจะได้กินมาก่อนด้วยซ้ำ หญิงสาวหันไปมองที่ตู้เคาน์เตอร์ข้างๆ ซึ่งแง้มอยู่ ก่อนที่เธอจะตกใจเพราะมันมีขวดเบลีย์และไวน์อยู่ในนั้น นี่กาเบรียลกะจะให้เธอมอมแล้วรวบหัวรวบหางคุณคีรินเลยหรือไง โซเฟียคิดในใจเมื่อนับดูของในตู้ ก่อนรีบปิดมันไว้ตามเดิน พลันกลับไปหยิบของในตู้เย็นออกมา ‘คุณไหวแน่นะครับ ให้ผมทำให้ดีไหม’ คีรินที่นั่งมองแล้วเห็นว่าเธอดูจะเดินไปมาลำบากจึงเป็นห่วง ‘ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรแล้วน่ะไข้ก็ดูเหมือนจะไม่มีแล้วด้วย อีกอย่างฉันก็อยากทำกับข้าวเลี้ยงขอบคุณ คุณด้วย’ เธอเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้มก่อนก้มมองของต่างๆ ที่หยิบมา ชายหนุ่มเลยลุกจากที่นั่งแล้วเข้าไปช่วยเธอ ‘งั้นคุณให้ผมช่วยหยิบจับของให้ดีกว่านะ ถึงคุณจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แต่อย่าลืมว่าหมอสั่งไม่ให้คุณใช้เท้าเยอะนะครับ’ คำพูดของเขามันทำให้โซเฟียหน้าร้อนผ่าว นี่เขาเป็นห่วงเธอเหรอ ‘ได้ค่ะ งั้นคุณช่วยหยิบถุงมันฝรั่งในตู้เย็นออกมาให้หน่อยนะคะ ฉันว่าจะทำไส้กรอกมันบด แล้วก็พายคอทเทจให้ทาน’ คีรินที่กำลังวุ่นหามันฝรั่งในตู้ หันมาจ้องหน้าเธอด้วยรอยยิ้มทันที ‘พายคอทเทจเหรอครับ ผมเคยทานนานมากแล้วนะ เคยคิดว่ากลับมารอบนี้ต้องหาทานอีกให้ได้ ไม่คิดว่าจะมีเพื่อนบ้านคนสวยมาทำให้ทานแบบนี้’ เขาว่าพลางค้นของในตู้ต่อ โดยไม่ได้หันมาสนใจคนที่ยิ้มให้เขาอย่างปิดไม่มิด ‘ค่ะ ให้ฉันทำให้คุณทานทุกวันเลยก็ได้นะ เพราะฉันทำเมนูนี้บ่อยมาก แม่ฉันชอบทานนะคะ’ เธอเอ่ยพร้อมบิดตัวไปมา ทำไมพูดเองถึงเขินเองซะได้ แล้วแบบนี้เธอจะจีบเขายังไงนะ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันทำอาหารและพูดคุยหยอกล้อกันไปมา เมื่อเสร็จจึงเดินเอามานั่งทานกันที่โต๊ะตัวเตี้ยตรงโซฟา ‘ขอโทษทีนะคะที่บ้านฉันยังไม่มีโต๊ะกินข้าวนะ’ เธอบอกกับเขา ‘ไม่เป็นไรหรอกครับ นั่งพื้นพิงโซฟาก็ดีไปอีกแบบ’ ‘อ๋อ งั้นรอแป๊บหนึ่งนะคะ’ หญิงสาวค่อยๆ เดินไปที่ตู้เก็บเบลีย์หยิบขวดหนึ่งออกมาพร้อมกับแก้วสองใบ เธอเอาถาดมารองแล้วกดน้ำแข็งใส่แก้วทั้งสองเท่าๆ กันก่อนเดินมาทางเขา ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นจึงลุกไปช่วยเธอถือ ‘ผมช่วยครับ’ ‘ขอบคุณค่ะ คือฉันได้เจ้านี้มาจากการจับฉลากที่ทำงานนะ แต่ยังหาเพื่อนดื่มไม่ได้ คุณช่วยจิบเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม’ เธอชักชวนด้วยคำโกหกพร้อมด้วยแววตาอ้อนๆ ทำคีรินยืนนิ่งเพราะใจของเขากำลังเต้นแรง ‘นะคะ จิบเพื่อมิตรภาพของเราไง’ ดวงตาคู่โตที่กำลังจ้องมายังชายหนุ่ม แพขนตายาวสวยนั่นมันทำให้เขาไม่สามารถจะเอ่ยปฏิเสธได้ ‘ถ้าแค่จิบๆ กัน ก็ได้อยู่ครับ’ ‘อืม ขอบคุณค่ะ’ ‘ทำไมคุณถึงได้มาอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอคะคุณคีริน’ เมื่อทานข้าวกันไปได้พอประมาณเธอก็หาเรื่องมาถามเขา แม้เธอจะรู้จากประวัติที่กาเบรียลให้มาแล้ว แต่เพื่อจะตีสนิท โซเฟียก็ต้องแกล้งทำเป็นว่าเธอไม่รู้ ‘อ๋อ พอดีผมต้องมาดูแลบริษัทแทนหุ้นส่วนใหญ่ที่เขาไม่สบายน่ะครับ ตอนแรกพ่อผมก็ว่าจะให้ไปอยู่ที่บ้านของหุ้นส่วน แต่ผมเกรงใจเลยขอออกมาหาบ้านเช่าอยู่ดีกว่า’ เขาเอ่ยสายตายังคงจดจ่อกับอาหารในจาน ก่อนที่จะเงยหน้ามองตอนหญิงสาวถามบางอย่างกับเขาอีก ‘แล้วอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ’ คีรินเงยหน้าขึ้นมาทำให้สบตาเข้ากับเธอ ทั้งคู่ชะงักนิ่งไปครู่เดียวแล้วยิ้มออกมาพร้อมกัน ‘ตอนแรกผมก็รู้สึกนะ เพราะว่าตอนอยู่ที่บ้าน เราจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่’ เสียงของเขาดูเศร้าๆ เหงาๆ เล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นติดขำนิดๆ ‘แต่ตอนนี้ผมคงจะไม่เหงาแล้วแหละ ก็มีคุณมานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนแล้วนี่’ คำพูดที่ไม่ค่อยใส่ใจของคีรินกลับทำใจของโซเฟียเต้นแรงแล้วแรงอีกเกือบไม่ได้ผ่อน หญิงสาวหน้าแดงออกมาจนเขารับรู้ได้ ‘คุณนี่เขินง่ายจังนะครับ’ เขาแซวเบาๆ พร้อมตักอาหารใส่ปาก โซเฟียก็อมยิ้มจ้องเขาแววตาอายๆ ‘คุณก็….’ เธอถึงกับพูดไม่ออก เห็นเขาดูนิ่งๆ ไม่คิดว่าจะแอบปากหวานขนาดนี้ ‘งั้นวันหลังเรามาทานข้าวด้วยกันทุกวันเลยดีไหมคะ’ เธอว่าเมื่อละลายความเคอะเขินพวกนั้นออกไปได้แล้ว ‘ได้สิครับ วันนี้คุณเลี้ยงผมแล้วไว้วันหลังผมขอเลี้ยงคุณบ้างนะ’ ‘อือ งั้นเราชนแก้วกันหน่อยดีไหม’เธอหยิบแก้วเบลีย์ของตัวเองขึ้นมา ‘เพื่อเป็นคำสัญญาว่าคุณจะไม่หลอกฉัน เรื่องจะเลี้ยงข้าว’ ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนชนแก้วแล้วยกจิบ คีรินรับรู้ได้ว่าเขาดูจะเข้ากับโซเฟียได้ง่ายเป็นพิเศษอย่างน่าประหลาด ‘แล้วคุณโซเฟียล่ะครับ เป็นผู้หญิงแต่ทำไมถึงได้มาเช่าบ้านอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะ’ หญิงสาวได้ฟังเช่นนั้นเธอก็ชะงักไป พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้เตรียมคำโกหกต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เลย คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ก้มหน้างุดทำเป็นว่าตัวเองกำลังเศร้า ‘คือว่าฉัน…ฉันมาทำงานที่ร้านเสื้อผ้าแถวนี้นะคะ เลยมาเช่าบ้านที่นี่เพราะมันใกล้สามารถเดินเท้าไปถึงรถไฟได้ อีกอย่างครอบครัวฉันก็มีแค่ฉันกับแม่ ตอนนี้แม่ฉันท่านอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะต้องรักษาอาการอัมพาตครึ่งซีกนะ’ เธอบอกเขาไปแค่นั้นพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆ ซึ่งทำให้คีรินรับรู้ได้ว่าเธออาจมีเรื่องอะไรไม่สบายใจอยู่ เขาเลยจับแก้วน้ำสีน้ำตาลครีมนั้นขึ้นมาขอชนกับเธออีกรอบ เมื่อจิบเสร็จก็ได้พูดกับเธอต่อ ‘ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ คุณสามารถระบายกับผมได้ตลอดนะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่’ คำพูดของเขามันทำให้โซเฟียประทับใจเอามากๆ ทำไมเขาถึงได้เป็นคนดีแบบนี้ล่ะ ‘แน่นอนค่ะ คุณเพื่อนบ้าน’ หญิงสาวเผยยิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมยกแก้วขึ้นมาชน จากนั้นบรรยากาศก็เงียบไปราวทั้งคู่มีอะไรที่กำลังก่อเกิดในใจ และต้องคิดตาม พวกเขาจ้องกันเป็นพักๆ พลันหลบสายตาด้วยการหยิบแก้วเบลีย์ขึ้นจิบแก้เขิน ทั้งสองนั่งจิบเบลีย์เพื่อมิตรภาพกันอยู่ไม่นานก็เริ่มไร้สติ เนื่องจากพวกเขาคออ่อนทั้งคู่ จากที่นั่งกันคนละฝั่งของโต๊ะตัวเตี้ย ตอนนี้กลับมานั่งเอาหลังพิงโซฟาอยู่ข้างกัน สีหน้าแววตาดูกึ่งหลับกึ่งตื่น ท่าทีสะลึมสะลือแหงนคอยิ้มมองเพดาน ‘คุณคีรินมีคนรักหรือยังคะ’ หญิงสาวถามกับเขาซึ่งชายหนุ่มก็เอาแต่เงียบ จนเธอหันไปมอง โซเฟียเห็นว่าเขานั้นหลับไปแล้ว หญิงสาวถือโอกาสขยับเข้าไปมองเขาใกล้ๆ ไล่มองตั้งแต่ไรผมตรงหน้าผากลงมาตามสันจมูกโด่ง ก่อนที่เธอจะสะดุดอยู่ตรงริมฝีปากของเขา ‘คนอะไรหล่อจัง’ เธอเอ่ยเสียงแผ่วพลางใช้มือปัดปอยผมของตัวเองที่เกะกะออกไป แล้วค่อยๆ เลื่อนใบหน้าของเธอเข้าไปใกล้ ริมฝีปากอิ่มประกบเบาๆ ลงที่มุมปากของชายหนุ่ม ‘นุ่มนิ่มมากเลย’ คนเมายิ้มอย่างชอบใจที่ได้ขโมยจุ๊บเขา เธอกำลังจะก้มลงไปเพื่อจุ๊บเขาอีกครั้งแต่ภาพก็ตัดสลบเหมือดคาอกเขาไปเสียก่อนกริ่งๆๆๆๆ คีรินที่กำลังจะเข้านอน เหลือบสายตามองมือถือบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะเห็นว่าคนที่แชทหาเขาคือใคร “โซเฟีย” เขาบ่นชื่อหญิงสาวออกมา ทีแรกเขาก็ว่าจะทำเป็นไม่สนใจ แต่พอเห็นเธอส่งรูปมาด้วย เขาเลยเผลอกดเข้าอ่านด้วยความอยากรู้ ข้อความทักทายแรกของเธอ เขามองดูด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะยิ้มให้กับรูปที่เธอส่งมาเพราะมันคือรูปที่เขาและเธอถ่ายด้วยกันในย่านอ็อกซ์ฟอร์ดตอนที่ไปเดินเล่นกัน คนดูหุบยิ้มเมื่อเจอข้อความถัดไป เขาจ้องมือถือแล้วหันมองซ้ายขวา ไม่ใช่ว่าเธอแอบยืนมองอยู่แถวนี้หรอกนะ แต่ความคิดนั้นมันก็ทำให้เขายิ้มไม่หุบ รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางลงเธอบอกว่าจะไปจากที่นี่งั้นเหรอ ข้อความของเธอที่ส่งมามีแค่นั้น คีรินมองมันด้วยใจที่เต้นแรงเขากดพิมพ์บนจอว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน ทำไมถึงจะย้าย แต่เขาก็ไม่มี
ณ คอนโดใจกลางเมืองใหญ่วันนี้หลังเลิกงานเจย่าตามชายหนุ่มมาถึงห้อง เพราะโชคดีที่พ่อกับพี่ชายไปต่างจังหวัด เธอเลยแค่บอกแม่แล้วก็ตามเขามาได้ “ทำไมมองพี่แบบนั้น” อนาคินจ้องตาแฟนสาวที่เอาแต่มองค้อนเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องเมื่อกี้นี้แล้ว เขารู้ว่าเธอคงจะโกรธเขาเรื่องเมื่อเช้า “ยังโกรธพี่อยู่เหรอ” เขาปลดกระเป๋าสะพายออกให้เธอ “ก็พี่ไม่ชอบที่มีคนมาว่า นินทาให้คนที่พี่รักเสียหายนี่” เขาจับสองแก้มเธอพร้อมถูกับมือไปมา เจย่าเบือนหน้าหนี “แต่ตอนโดนนินทาเรื่องพวกนั้นเจยังดูสบายกว่าตอนโดนเซ้าซี้ถามเรื่องคบกันกับถูกแซวเรื่องลืมปิดไมค์เมื่อเช้าอีกนะคะ” เธออธิบายแต่ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจหรอก เขาคงถูกใจด้วยซ้ำที่ได้ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อย่างน้อยมันก็ดีกว่าให้นินทาสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้ อีกอย่างอาทิตย์หน้าพี่ต้องไปเชียงรายตั้งห้าวัน พี่ไม่อยากทิ้งเรื่องไว้ให้บานปลาย” เขาโอบเอวเธอแล้วพานั่งลงที่โซฟา เจย่าจ้องหน้าของเขา “แล้วให้เจไปด้วยไหมคะ พรุ่งนี้เจจะได้เก็บของ” เธอถามด้วยท่าทีตื่นเต้น นึกสนุกจะได้ไปทำงานนอกสถานที่กับเขาอีก “ไม่ต้องหรอกเจ อยู่ทำงานที่บริษัทนั่นแหละ” เขาเอ่ยเ
เช้าวันเสาร์ซึ่งวันนี้ก็บรรยากาศดีไม่น้อย เมื่อคืนมีฝนนิดหน่อย พอตื่นมาฝนหยุดตกแล้วบรรยากาศจึงสดชื่น คีรินนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ที่สวนตั้งแต่เช้า พลางนั่งมองคุณเจมส์ทำกายภาพบำบัดอยู่ที่มุมสวนไม่ไกลจากเขา ไม่นานแม่บ้านก็เดินเข้ามาหา “คุณคีรินคะ มีคนมาหาค่ะ” ชายหนุ่มมองแม่บ้านคิ้วขมวด “ใครครับ?” “ฉันถามชื่อเธอไปแล้วเธอบอกว่าไม่บอกค่ะ เธอฝากไว้ว่าถ้าคุณอยากรู้คุณคงจะไปดูเอง ฉันก็เลยไล่เธอกลับแต่เธอค้านว่าไม่กลับค่ะ บอกว่าจะนั่งอยู่ที่หน้าบ้านถ้าคุณคีรินไม่ยอมออกไปหา” คนฟังถอนหายใจยาว “งั้นพี่ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวผมไปไล่เอง” “ค่ะ” คีรินลุกพรวดเดินตรงไปที่ประตูบ้าน เขาเปิดประตูเดินออกไปก็เห็นว่าเธอยืนอยู่ข้างกำแพง “มาทำไมกลับบ้านไปซะ มายืนลับๆ ล่อๆ ตรงนี้เดี๋ยวคนอื่นเขาก็กลัวหมดหรอก” เขากอดอกเอ่ยกับเธออย่างไม่มีเยื่อใย “เห็นหน้าก็ไล่กันเลยเหรอคะ” เธอมองเขาด้วยตาสั่นๆ คีรินมองเธออย่างสำรวจ สาใจแล้วจึงหันหน้าหนีไปทางอื่น “ก็ฉันไม่อยากจะพูดหรือคุยอะไรกับเธอนี่” เขากำลังจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านแต่ต้องชะงักเสียงที่เธอร้องห้ามไว้ “เดี๋ยวสิพี่! ให้ฉันได้คุยแค่ห้านาทีก็ได้” เขาหันกลับไป
หลายวันต่อมา ณ บริษัทศิลาที่ลอนดอน คีรินเดินลงมายังลานจอดรถเตรียมตัวจะกลับบ้าน “พี่คีริน!” เขาสะดุ้งให้เสียงคุ้นหูจนต้องหันไปมอง “เธอเข้ามาได้ยังไง!” เป็นโซเฟียที่ยืนยิ้มให้เขาอยู่ พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยที่วิ่งตามมา “เข้ามาไม่ได้นะครับคุณ ผมขอโทษนะครับท่านประธาน” คีรินยกมือให้การ์ด “ไม่เป็นไร ปล่อยเธอเถอะ” เขาว่าเสียงเรียบนิ่งแต่สายตาแอบสำรวจหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอสบายดีแล้วนี้ “รู้จักกันเหรอครับ?” การ์ดถามเพื่อความแน่ใจ คีรินยักคิ้วให้เป็นเชิงไล่ การ์ดจึงกลับไปทำหน้าที่ต่อ “พี่คีริน!” เธอเตรียมจะกระโจนเข้าไปกอดเขาด้วยความคิดถึง แต่เขาดีดตัวออก “จะทำอะไร!” โซเฟียชะงัก เธอลืมไปว่าเธอยังมีความผิด “ฉันจะมาขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกอย่างค่ะ!” เธอมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกผิด คีรินยังคงทำหน้านิ่งเฉยไม่ยิ้มให้เธอเหมือนเมื่อก่อน “แค่นี้ใช่ไหม” หญิงสาวขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงได้ตอบเธอห่างเหินแบบนี้ล่ะ “ฉันต้องกลับบ้านแล้ว” เขาหมุนตัว เธอรีบวิ่งไปดักหน้า “พี่คีรินย้ายบ้านแล้วเหรอ ฉันยังอยู่บ้านเดิมน่ะ ทำไมตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ฉันถึงยังไม่เห็นพี่สักครั้งเลยล่ะคะ” เธออ้าแขนออกเพราะก
โรงพยาบาล ณ ใจกลางลอนดอน “แม่~” โซเฟียมีสติตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของโรงพยาบาล คนแรกที่เธอเห็นคือแม่นอนหมอบหน้าอยู่ข้างเตียง “โซเฟีย ลูกตื่นแล้ว เป็นยังไงบ้างลูก เลย์ เลย์!! ไปตามหมอ!!” นาตาเลียหันไปเรียกลูกชายที่หลับอยู่บนโซฟา เลย์ลุกงัวเงียก่อนจะเดินออกไปจากห้อง “เขาล่ะคะแม่?” เมื่อมองไปรอบข้างแล้วไม่เจอใครอีก เธอจึงถามหา “เขาคนไหนลูก ถ้าเป็นซาเวียร์เขาพึ่งจะกลับบ้านไป แต่ถ้าเป็นผู้ชายคนนั้น”คนเป็นแม่เสียงอ่อนลง “เขายังไม่ได้มา เยี่ยมลูกเลยสักครั้งตั้งแต่ที่รู้ความจริง” โซเฟียน้ำตาคลอใบหน้าของเธอสั่นไหวไม่แพ้หัวใจ “เขารู้ความจริงแล้วเหรอคะ อึก” น้ำตาของเธออาบแก้มภายในไม่กี่วิ จนแม่ต้องรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาให้ “ใช่ลูก วันนั้นซาเวียร์เขาโมโหก็เลยหลุดปากบอกไปหมดแล้ว” หญิงสาวมองหน้าแม่ของเธอน้ำตาไหลไม่หยุด “เขาโกรธมากไหม” นาตาเลียส่ายหน้าเบาๆ “แม่ไม่รู้แต่แม่ว่าเขาคงจะไม่โกรธหรอก เขาน่าจะแค่เสียใจ ลูกตั้งใจพักผ่อนให้หายดี แล้วค่อยไปง้อเขาก็คงไม่สายหรอกนะ” แม่ยกมือลูบหัวให้คนบนเตียง โซเฟียยังคงสะอื้นเธออยากจะลุกไปบอกเขาเดี๋ยวนี้ ลุกไปขอโทษเขา แต่ตอนนี้เนื้อตัวเธอ
“คนอื่นเลิกงานออกไปหมดแล้วนี่” เจย่าชะโงกหน้ามองดูพนักงานคนอื่นที่ทยอยกันกลับบ้าน ก่อนที่เธอจะหันมองไปที่ห้องทำงานของรองประธานบริษัทซึ่งตั้งแต่เมื่อกี้เขาก็ยังไม่ยอมออกมาจากห้องเลย หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย เธอลุกเดินไปเปิดประตูหวังเข้าไปหาเขา ประตูที่ถูกแง้มออกเบาๆ นั้นไม่ได้ทำให้คนที่กำลังวุ่นอยู่กับกองเอกสารและจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้ารู้ตัวเลย เจย่าเผยยิ้มจางก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปหา “พี่คินกำลังเครียดอยู่เหรอคะ” เธอเดินเข้าไปยืนข้างๆ เขา พลางก้มลงไปกอดคอเขามองดูสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ “ครับ” เขาตอบแต่ไม่ได้หันมามองหน้า เจย่าขมวดคิ้ว หรือว่าเขาจะโกรธเธอที่ปฏิเสธไม่ไปนอนกับเขาที่คอนโด? “พี่คิน” อนาคินละสายตาจากโต๊ะทำงานและหันมาจ้องหน้าเธออย่างอ่อนโยน “ถ้าวันนี้เจไม่ไปค้างกับพี่ พี่จะขอเคลียร์งานตรงนี้ก่อนนะครับ พี่ว่ามันเยอะไปแล้วน่ะ” เขาบอก เจย่าพยักหน้าเข้าใจแม้จะตีกับความรู้สึกข้างในนิดๆ “เดี๋ยวค่ะ!” เธอจับเก้าอี้หมุนของเขาแล้วดันออกอย่างทุลักทุเล อนาคินมองดูอย่างแปลกใจจึงใช้แรงยันตัวเองเพื่อช่วยเธอก่อนจะเห็นว่าเธอเข้าไปนั่งใต้โต๊ะทำงานพลางดึงเก้าอี้กลับชิดขอบโต๊ะตามเดิม







