<ใส่ชุดนี้ในวันแรกของการทำงานนะ เธอจะได้สดใสราวสีของชุด-คีริน>
เมื่อเจย่าเปิดดูข้อความในซองจดหมาย เธอก็ถึงกับยิ้มกว้าง เธอนึกว่าเขาลืมเธอไปแล้วเสียอีก มือเรียวดึงริบบิ้นออกอย่างรีบร้อน กล่องเปิดออกเผยให้เห็นชุดสีชมพูพาสเทลที่เธอลองใส่แล้วชอบเมื่อเช้า มันแบบเดียวและสีเดียวกันกับตัวนั้นเปะ “นี่พี่คีรินรู้ได้ยังไงน่ะ ว่าเราก็เล็งชุดนี้ไว้เหมือนกัน” เธอกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกเขิน ก่อนรีบหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา “โทรไปขอบคุณหน่อยดีกว่า” ทีแรกเธอก็ว่าจะอดใจไม่โทรหาเขาก่อน แต่เขาอุตส่าห์ส่งของมาให้แบบนี้ เธอก็อดใจไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ “อ้าว” รอยยิ้มบนใบหน้าของเจย่าหุบลงเมื่อเธอกดโทรออกไปที่เบอร์ของคีรินสองสามครั้ง แล้วเขาไม่รับสาย “พี่มัวทำอะไรอยู่นะ” หลับแล้วเหรอ? หรือว่าดูงานค้างอยู่? หญิงสาวเลยได้แต่คิดไปต่างๆ นาๆ ณ กรุงลอนดอนในตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ที่ยังไม่มีแม้แสงแดดสาดส่อง ในบ้านเช่าหลังหนึ่งบนโต๊ะของมุมนั่งเล่นเต็มไปด้วยจานอาหาร ของกินเล่น และขวดเบลีย์หนึ่งขวดพร้อมแก้วสองใบวางกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น เจ้าของผลงานทั้งสองก็กำลังนอนกอดกันกลมอยู่ตรงโซฟาตัวใหญ่ คีรินที่ตอนนี้กำลังเอาหน้าซุกเข้าที่ซอกคอของหญิงสาวตัวเล็กซึ่งกำลังยกแขนคล้องคอเขาเริ่มงัวเงียได้สติ “อือหอมอะไร เฮ้ย!!” เขาดีดตัวลุกนั่ง ก่อนที่หญิงสาวจะตื่นแล้วลุกตามเขาขึ้นมา พลางเกาหัว ด้วยความมึนงง “เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอจ้องหน้าเขา เขาก็มองไปรอบๆ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวาน หลังกลับมาจากโรงพยาบาลหญิงสาวก็ชวนเขามาทานข้าวที่บ้าน โดยบอกว่าเธอจะทำอาหารให้เขาทาน โซเฟียเดินขากะเผลกไปที่ตู้เย็นเพื่อเปิดดูว่าคนของกาเบรียลซื้อของอะไรไว้ให้เธอบ้าง ‘โอ้โห่’เธอเผลออุทานออกมาเบาๆ เพราะตู้เย็นนั้นเต็มไปด้วยของไว้ทำกับข้าวเยอะแยะมากมาย และส่วนใหญ่ก็เป็นของดีที่เธอไม่เคยจะได้กินมาก่อนด้วยซ้ำ หญิงสาวหันไปมองที่ตู้เคาน์เตอร์ข้างๆ ซึ่งแง้มอยู่ ก่อนที่เธอจะตกใจเพราะมันมีขวดเบลีย์และไวน์อยู่ในนั้น นี่กาเบรียลกะจะให้เธอมอมแล้วรวบหัวรวบหางคุณคีรินเลยหรือไง โซเฟียคิดในใจเมื่อนับดูของในตู้ ก่อนรีบปิดมันไว้ตามเดิน พลันกลับไปหยิบของในตู้เย็นออกมา ‘คุณไหวแน่นะครับ ให้ผมทำให้ดีไหม’ คีรินที่นั่งมองแล้วเห็นว่าเธอดูจะเดินไปมาลำบากจึงเป็นห่วง ‘ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรแล้วน่ะไข้ก็ดูเหมือนจะไม่มีแล้วด้วย อีกอย่างฉันก็อยากทำกับข้าวเลี้ยงขอบคุณ คุณด้วย’ เธอเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้มก่อนก้มมองของต่างๆ ที่หยิบมา ชายหนุ่มเลยลุกจากที่นั่งแล้วเข้าไปช่วยเธอ ‘งั้นคุณให้ผมช่วยหยิบจับของให้ดีกว่านะ ถึงคุณจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แต่อย่าลืมว่าหมอสั่งไม่ให้คุณใช้เท้าเยอะนะครับ’ คำพูดของเขามันทำให้โซเฟียหน้าร้อนผ่าว นี่เขาเป็นห่วงเธอเหรอ ‘ได้ค่ะ งั้นคุณช่วยหยิบถุงมันฝรั่งในตู้เย็นออกมาให้หน่อยนะคะ ฉันว่าจะทำไส้กรอกมันบด แล้วก็พายคอทเทจให้ทาน’ คีรินที่กำลังวุ่นหามันฝรั่งในตู้ หันมาจ้องหน้าเธอด้วยรอยยิ้มทันที ‘พายคอทเทจเหรอครับ ผมเคยทานนานมากแล้วนะ เคยคิดว่ากลับมารอบนี้ต้องหาทานอีกให้ได้ ไม่คิดว่าจะมีเพื่อนบ้านคนสวยมาทำให้ทานแบบนี้’ เขาว่าพลางค้นของในตู้ต่อ โดยไม่ได้หันมาสนใจคนที่ยิ้มให้เขาอย่างปิดไม่มิด ‘ค่ะ ให้ฉันทำให้คุณทานทุกวันเลยก็ได้นะ เพราะฉันทำเมนูนี้บ่อยมาก แม่ฉันชอบทานนะคะ’ เธอเอ่ยพร้อมบิดตัวไปมา ทำไมพูดเองถึงเขินเองซะได้ แล้วแบบนี้เธอจะจีบเขายังไงนะ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันทำอาหารและพูดคุยหยอกล้อกันไปมา เมื่อเสร็จจึงเดินเอามานั่งทานกันที่โต๊ะตัวเตี้ยตรงโซฟา ‘ขอโทษทีนะคะที่บ้านฉันยังไม่มีโต๊ะกินข้าวนะ’ เธอบอกกับเขา ‘ไม่เป็นไรหรอกครับ นั่งพื้นพิงโซฟาก็ดีไปอีกแบบ’ ‘อ๋อ งั้นรอแป๊บหนึ่งนะคะ’ หญิงสาวค่อยๆ เดินไปที่ตู้เก็บเบลีย์หยิบขวดหนึ่งออกมาพร้อมกับแก้วสองใบ เธอเอาถาดมารองแล้วกดน้ำแข็งใส่แก้วทั้งสองเท่าๆ กันก่อนเดินมาทางเขา ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นจึงลุกไปช่วยเธอถือ ‘ผมช่วยครับ’ ‘ขอบคุณค่ะ คือฉันได้เจ้านี้มาจากการจับฉลากที่ทำงานนะ แต่ยังหาเพื่อนดื่มไม่ได้ คุณช่วยจิบเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม’ เธอชักชวนด้วยคำโกหกพร้อมด้วยแววตาอ้อนๆ ทำคีรินยืนนิ่งเพราะใจของเขากำลังเต้นแรง ‘นะคะ จิบเพื่อมิตรภาพของเราไง’ ดวงตาคู่โตที่กำลังจ้องมายังชายหนุ่ม แพขนตายาวสวยนั่นมันทำให้เขาไม่สามารถจะเอ่ยปฏิเสธได้ ‘ถ้าแค่จิบๆ กัน ก็ได้อยู่ครับ’ ‘อืม ขอบคุณค่ะ’ ‘ทำไมคุณถึงได้มาอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอคะคุณคีริน’ เมื่อทานข้าวกันไปได้พอประมาณเธอก็หาเรื่องมาถามเขา แม้เธอจะรู้จากประวัติที่กาเบรียลให้มาแล้ว แต่เพื่อจะตีสนิท โซเฟียก็ต้องแกล้งทำเป็นว่าเธอไม่รู้ ‘อ๋อ พอดีผมต้องมาดูแลบริษัทแทนหุ้นส่วนใหญ่ที่เขาไม่สบายน่ะครับ ตอนแรกพ่อผมก็ว่าจะให้ไปอยู่ที่บ้านของหุ้นส่วน แต่ผมเกรงใจเลยขอออกมาหาบ้านเช่าอยู่ดีกว่า’ เขาเอ่ยสายตายังคงจดจ่อกับอาหารในจาน ก่อนที่จะเงยหน้ามองตอนหญิงสาวถามบางอย่างกับเขาอีก ‘แล้วอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ’ คีรินเงยหน้าขึ้นมาทำให้สบตาเข้ากับเธอ ทั้งคู่ชะงักนิ่งไปครู่เดียวแล้วยิ้มออกมาพร้อมกัน ‘ตอนแรกผมก็รู้สึกนะ เพราะว่าตอนอยู่ที่บ้าน เราจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่’ เสียงของเขาดูเศร้าๆ เหงาๆ เล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นติดขำนิดๆ ‘แต่ตอนนี้ผมคงจะไม่เหงาแล้วแหละ ก็มีคุณมานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนแล้วนี่’ คำพูดที่ไม่ค่อยใส่ใจของคีรินกลับทำใจของโซเฟียเต้นแรงแล้วแรงอีกเกือบไม่ได้ผ่อน หญิงสาวหน้าแดงออกมาจนเขารับรู้ได้ ‘คุณนี่เขินง่ายจังนะครับ’ เขาแซวเบาๆ พร้อมตักอาหารใส่ปาก โซเฟียก็อมยิ้มจ้องเขาแววตาอายๆ ‘คุณก็….’ เธอถึงกับพูดไม่ออก เห็นเขาดูนิ่งๆ ไม่คิดว่าจะแอบปากหวานขนาดนี้ ‘งั้นวันหลังเรามาทานข้าวด้วยกันทุกวันเลยดีไหมคะ’ เธอว่าเมื่อละลายความเคอะเขินพวกนั้นออกไปได้แล้ว ‘ได้สิครับ วันนี้คุณเลี้ยงผมแล้วไว้วันหลังผมขอเลี้ยงคุณบ้างนะ’ ‘อือ งั้นเราชนแก้วกันหน่อยดีไหม’เธอหยิบแก้วเบลีย์ของตัวเองขึ้นมา ‘เพื่อเป็นคำสัญญาว่าคุณจะไม่หลอกฉัน เรื่องจะเลี้ยงข้าว’ ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนชนแก้วแล้วยกจิบ คีรินรับรู้ได้ว่าเขาดูจะเข้ากับโซเฟียได้ง่ายเป็นพิเศษอย่างน่าประหลาด ‘แล้วคุณโซเฟียล่ะครับ เป็นผู้หญิงแต่ทำไมถึงได้มาเช่าบ้านอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะ’ หญิงสาวได้ฟังเช่นนั้นเธอก็ชะงักไป พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้เตรียมคำโกหกต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เลย คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ก้มหน้างุดทำเป็นว่าตัวเองกำลังเศร้า ‘คือว่าฉัน…ฉันมาทำงานที่ร้านเสื้อผ้าแถวนี้นะคะ เลยมาเช่าบ้านที่นี่เพราะมันใกล้สามารถเดินเท้าไปถึงรถไฟได้ อีกอย่างครอบครัวฉันก็มีแค่ฉันกับแม่ ตอนนี้แม่ฉันท่านอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะต้องรักษาอาการอัมพาตครึ่งซีกนะ’ เธอบอกเขาไปแค่นั้นพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆ ซึ่งทำให้คีรินรับรู้ได้ว่าเธออาจมีเรื่องอะไรไม่สบายใจอยู่ เขาเลยจับแก้วน้ำสีน้ำตาลครีมนั้นขึ้นมาขอชนกับเธออีกรอบ เมื่อจิบเสร็จก็ได้พูดกับเธอต่อ ‘ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ คุณสามารถระบายกับผมได้ตลอดนะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่’ คำพูดของเขามันทำให้โซเฟียประทับใจเอามากๆ ทำไมเขาถึงได้เป็นคนดีแบบนี้ล่ะ ‘แน่นอนค่ะ คุณเพื่อนบ้าน’ หญิงสาวเผยยิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมยกแก้วขึ้นมาชน จากนั้นบรรยากาศก็เงียบไปราวทั้งคู่มีอะไรที่กำลังก่อเกิดในใจ และต้องคิดตาม พวกเขาจ้องกันเป็นพักๆ พลันหลบสายตาด้วยการหยิบแก้วเบลีย์ขึ้นจิบแก้เขิน ทั้งสองนั่งจิบเบลีย์เพื่อมิตรภาพกันอยู่ไม่นานก็เริ่มไร้สติ เนื่องจากพวกเขาคออ่อนทั้งคู่ จากที่นั่งกันคนละฝั่งของโต๊ะตัวเตี้ย ตอนนี้กลับมานั่งเอาหลังพิงโซฟาอยู่ข้างกัน สีหน้าแววตาดูกึ่งหลับกึ่งตื่น ท่าทีสะลึมสะลือแหงนคอยิ้มมองเพดาน ‘คุณคีรินมีคนรักหรือยังคะ’ หญิงสาวถามกับเขาซึ่งชายหนุ่มก็เอาแต่เงียบ จนเธอหันไปมอง โซเฟียเห็นว่าเขานั้นหลับไปแล้ว หญิงสาวถือโอกาสขยับเข้าไปมองเขาใกล้ๆ ไล่มองตั้งแต่ไรผมตรงหน้าผากลงมาตามสันจมูกโด่ง ก่อนที่เธอจะสะดุดอยู่ตรงริมฝีปากของเขา ‘คนอะไรหล่อจัง’ เธอเอ่ยเสียงแผ่วพลางใช้มือปัดปอยผมของตัวเองที่เกะกะออกไป แล้วค่อยๆ เลื่อนใบหน้าของเธอเข้าไปใกล้ ริมฝีปากอิ่มประกบเบาๆ ลงที่มุมปากของชายหนุ่ม ‘นุ่มนิ่มมากเลย’ คนเมายิ้มอย่างชอบใจที่ได้ขโมยจุ๊บเขา เธอกำลังจะก้มลงไปเพื่อจุ๊บเขาอีกครั้งแต่ภาพก็ตัดสลบเหมือดคาอกเขาไปเสียก่อนณ บ้านพักที่ลอนดอนในช่วงเย็น หลังจากที่นาตาเลียผ่าตัดเสร็จ โซเฟียก็ขอให้คีรินพากลับบ้าน “คุณโอเคไหม อยู่คนเดียวได้แน่นะ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะยังเห็นว่าเธอน้ำตาคลอและซึมอยู่เลย “ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีไหม” หญิงสาวรีบหันมาส่ายหน้าให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะคิดอะไรเงียบๆ สักพักนะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบแต่ก็ไม่มองหน้าเขา คีรินเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่เป็นสุขใจเลย “ถ้างั้น เย็นนี้ผมจะทำอาหารมาทานที่บ้านคุณนะครับ ได้ไหม? ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทานข้าว” เขาเอ่ยอย่างห่วงใย หญิงสาวจึงพยักหน้า “ถ้าจะมาอย่าลืมโทรบอกก่อนนะคะ เผื่อว่าฉันจะเผลอหลับนะ” “ครับ” เขาทำได้เพียงมองดูเธอเดินเข้าบ้านไป เธอโทรหาใครตอนที่อยู่โรงพยาบาล ใช่ที่บอกว่าคุยกับพ่อไหม? ทำไมสายตาเธอถึงดูมีความลังเลบางอย่างแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด คีรินก็จำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเองไปก่อน ร่างของโซเฟียเข้ามานั่งลงที่มุมโต๊ะตัวเตี้ย เอาหลังพิงกับตัวของโซฟาแววตาของเธอเหม่อลอยเพราะยังคิดไม่ตกกับเรื่องที่จะต้องทำ เธอนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานโข “คุณจะโกรธจะเกลียดฉันไหมคะ” เธอบ่นพลางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มขอ
โรงพยาบาล “ฮัลโหลทำไมคุณพึ่งมารับสายคะ หนูโทรหาคุณทั้งคืนทำไมคุณถึงไม่รับ” โซเฟียเอ่ยกับปลายสายทั้งน้ำตา [“ฉันคงมีเวลาว่างมารอรับโทรศัพท์จากแกยี่สิบสี่ชั่วโมงมั้งโซเฟีย”] แต่เขากลับตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เมื่อคืนแม่ของหนูช็อก หมอทำ CT เพิ่มแล้วบอกว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน... แต่หมอที่ดูแลบอกว่าถ้าจะให้ผ่าเลย ต้องเคลียร์ค่ารักษาของสองเดือนที่แล้วก่อน เพราะเราพาแม่มาอยู่ใน Private Ward ตั้งแต่แรก และคุณก็ยังค้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ เขาบอกว่าจะผ่าให้ทันที ถ้าเราจ่ายเงินที่ติดอยู่ก่อน” เธอพูดไปร้องไห้ไป “ทำไมคุณทำแบบนี้ ไหนคุณบอกหนูว่าจ่ายให้ทุกเดือนไง คุณโกหกหลอกใช้หนูมาตลอดเลยเหรอ” เธอต่อว่าปลายสายอย่างเรียกร้อง เธอทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำพร้อมข้อตกลงเสียดิบดีแต่เขากลับไม่ปฏิบัติตามที่เขาเคยพูด [“แล้วจะทำไม ถ้าแกอยากให้ฉันจ่ายก็รีบรวบหัวรวบหางไอ้อนาวินนั่นให้ฉันสักทีสิ”] โซเฟียปล่อยโฮ ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้มาบีบเธอ “ฮื้อ~ ก็ได้ หนูจะทำให้สาแก่ใจคุณไปเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องทำการจ่ายเงินค่ารักษาให้แม่หนูเดี๋ยวนี้! แล้วหนูจะรีบทำให้” เธอยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นเชิงขู่
เช้าวันรุ่งขึ้น เจย่าตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยความรู้สึกมึนๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังอยู่ “เรามานอนตรงนี้ได้ไง” เธอชะงักมองร่างกายของตัวเอง ที่ตอนนี้ก็ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวาน ไม่ทันจะคิดให้มากความหญิงสาวก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเองสั่นอยู่ในกระเป๋าสะพาย ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เธอรีบเปิดดู ปรากฏเห็นเป็นสายค้างของพ่อกับแม่และพี่ชายที่โทรตามตั้งแต่เมื่อคืน เจย่าตาเหลือกลุกพรวดและวิ่งออกไปจากห้องอย่างไม่ได้หันกลับมาสนใจ ว่าห้องที่ตนนอนอยู่ทั้งคืนเป็นห้องของใครเสียด้วยซ้ำ ร่างเล็กวิ่งจู๊ดออกมานอกตึกแล้วเรียกแท็กซี่ไปเอารถที่บริษัทขับกลับบ้านทันที บ้านฤทธา “เจย่า!!” คนเป็นพ่อและพี่ชายที่รออยู่รีบลุกขึ้นมาสำรวจดูยัยตัวดีที่เดินเข้าบ้านมา “เมื่อคืนไปไหนต่อ ทำไมหายไปทั้งคืนโทรหาก็ไม่รับ” จิรกิตติ์เอ่ยถามกับลูกสาวเสียงดุ เจย่ายิ้มเจื่อนมองหน้าพ่อ “ก็ไปดื่มกับเพื่อนไงค่ะ พอดีเมามากกลับไม่ได้เลยค้างห้องเพื่อนนะคะ” เธอตอบแม้จะยังไม่มั่นใจว่าใช่ห้องเพื่อนจริงหรือเปล่า “แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกกันก่อน” จอนนี่บ่นสายตาเขายังคงสำรวจน้องอย่างจับสังเกต “ก็เมาจะไปส่งมาได้ไ
“ได้ งั้นฉันจะทำให้เธอจำฉันเอง” แผนร้ายผุดขึ้นมาในหัวของเขาพร้อมรอยยิ้มแต้มมุมปาก อนาคินก้มหน้าลงจูบเธออีกครั้งรอบนี้หญิงสาวยอมเปิดปากให้แต่โดยดี เขาจึงว่าจะลองลิ้มรสจูบหยอกกับลิ้นเล็กของเธอสักครู่ ก่อนจะหยุดและทำตามแผนที่คิดไว้ แต่มันดันไม่เป็นดั่งหวังเมื่อเธอพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือเขา หญิงสาวนั่งลงบนตักของคนใต้ล่างพลางรูดซิปเสื้อของเธอออกพร้อมถอดมันทิ้งไป “เจย่า?” เขาเรียกชื่อของเธอเสียงสั่น พลางมองหน้าสวยที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตรงหน้า อนาคินกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อ เธอโชว์ความมหึมาเด้งดึงชูชันต่อหน้าเขา ชายหนุ่มหันหน้าหนีใบหน้าแดงก่ำ ที่เขาคิดไว้ไม่ใช่แบบนี้นะ ในระหว่างที่คิดหน้าของเขาก็ถูกเธอดึงกลับไปพร้อมโอบหัวเขาไว้จนใบหน้าคมเข้าไปซุกอยู่ที่อกอวบ “ไม่ไหวแล้วเว้ย” แล้วเช่นนี้เสือแบบเขาเหตุใดจะทนได้ อนาคินรวบเอวเล็กกอดไว้ในทันทีพลางใช้ปากดูดยอดอกเสียงดังจ๊วบ บวกกับเจ้าของร่างน้อยที่กำลังครางเสียงสั่น “อะ อ่า อือ” เจย่ากัดที่ริมฝีปากตัวเองด้วยความหวาดเสียวแววตาหลับพริ้มราวคนกำลังฝันหวาน กระโปรงตัวยาวของเธอถูกเขาถอดออกอย่างง่าย “ไม่กงไม่แกล้งมันแล้ว เอาจริงกันเล
ณ ผับ× ทุกคนในโต๊ะลุกขึ้นชนแก้วกันพวกเขามีรอยยิ้มและสนุกไปกับเสียงเพลง เจย่าเองก็เช่นกันแม้เธอจะแค่จิบๆ แต่พอดูเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เมากันแล้วลุกดีดเต้นให้ดูก็หัวเราะชอบใจ “เบาๆ ด้วยนะพี่ซูชิอย่าไปเหยียบตีนคนอื่นเข้าล่ะ ยิ่งตัวโตๆ อยู่” วาเนียที่นั่งข้างเจย่าร้องบอกกับพี่ซูชิที่ลุกออกจากโต๊ะไปเต้นกับหนุ่ม “ว่าแต่เจย่าไม่อยากลุกเต้นหน่อยเหรอครับ เพลงกำลังมันเลยนะ” โทนี่ที่ดูจะเป็นคนรักสนุกไม่น้อยเขาถามเธอพลางโยกตัวไปตามเสียงเพลง “ไม่เป็นหรอกค่า ไม่ค่อยชอบนะ” ระหว่างที่คุยอยู่วาเนียก็จับแก้วเหล้าใส่มือให้เพื่อน “ยกๆ หมดแก้วดิวะ มานั่งตั้งนานแกยังไม่หมดแก้วเดียวเลยนะ” วาเนียจับแก้วของเธอขึ้นมาชนด้วย “แกฉันไม่ชอบดื่ม ถ้ากลับบ้านเมาทั้งพ่อทั้งพี่ชายบ่นหูชาแน่” “โอ้ย โตๆ กันแล้วนะน้องเจย่า ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกไหมคะ ชีวิตเราจะได้ใช้คุ้มค่าขึ้นนะ” พี่อ้อมบอก หญิงสาวก็ยิ้มอ่อนให้ เพราะเธอก็แอบคิดจะหาเช่าคอนโดอยู่เหมือนกัน ก็ระยะทางจากบ้านมาที่บริษัทมันก็ไกลกันสมควร “นี่ที่เขาว่ากันว่าท่านรองคนใหม่รักสนุกนี่เป็นเรื่องจริงสินะครับ” โทนี่เอ่ยเป็นเชิงบ่นแต่ทำเอาเพื่อนทั้งโต๊ะเลิ่กลั่กหันมองตาม
[“คุณผู้ช่วยเลขาเจริยา ช่วยเข้ามาหาผมในห้องหน่อย”] เสียงจากโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นทำให้เธอหุบยิ้มทันที กะจะหลบหน้าแล้วจะเรียกหาทำไมเนี้ย ถึงเธอจะคิดแบบนั้นแต่สุดท้ายก็ต้องลุกและเดินเข้าไปหาเขาอยู่ดี “ท่านรอง” เธอเปิดประตูเข้ามาแต่ดันไม่เห็นว่าเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พอหันซ้ายจึงเห็นว่าเขายืนล้วงกระเป๋ามองทอดลงไปดูวิวทิวทัศน์ด้านล่างอยู่ “มานั่งที่โซฟาสิ” เขาบอกทั้งทียังไม่ได้หันมามองเธอ แต่เจย่าก็เลือกที่จะปฏิเสธ “ท่านรองพูดมาเลยก็ได้ค่ะ” เขาหันมาจ้องหน้าทันที ทำให้เจย่ารู้ว่าเขาไม่พอใจให้คำพูดเธอ แต่ก็หาได้แคร์เธอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขา “เรื่องที่จะคุยมันยาวมากนะ บอกให้มานั่งก็มานั่งสิ” เขาเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวก่อนเธอ เอาศอกราบลงกับขอบโซฟาแล้วยกสองมือขึ้นประสานกันไว้ตรงหน้า “จะมานั่งดีๆ หรือจะให้หักคะแนนไม่ให้ผ่านงาน แล้วก็ไม่ต้องเจอคีรินปีหน้า” เขาพูดเป็นเชิงประชดแต่ก็ทำให้คนหัวดื้ออย่างเธอยอมลงมานั่งตรงโซฟาตัวข้างเขาแต่โดยดี “มีอะไรก็ว่ามาสิคะ” เธอเลิ่กลั่กเพราะเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องหน้าจนรู้สึกใจเต้น เจย่าเลยหันหน้าหนีไปมองทางอื่น “เย็นนี้มีนัดไหม” เธอหันกลับมาจ้องเขาอีกรอบ