LOGINเวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงสาย ทีมงานกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ หลังจากเสร็จสิ้นการสำรวจและประชุมเบื้องต้นเรื่องแผนงานรีแบรนด์ที่ รีสอร์ทบนเกาะล้าน
การเดินทางกลับจากเกาะล้านจำเป็นต้อง นั่งเรือข้ามฟาก กลับมายัง ท่าเรือแหลมบาลีฮาย พัทยา ก่อนจะต่อรถกลับกรุงเทพฯ
รถตู้ของบริษัทจอดรออยู่บริเวณลานจอดรถฝั่งพัทยา ท่ามกลางบรรยากาศเร่งรีบของการขนสัมภาระ ทีมงานบางส่วน เพิ่งเดินทางมาถึงฝั่งหลังข้ามเรือ และกำลังเดินไปที่รถตู้ มีเพียงทีมงานบางส่วนที่ต้องอยู่ที่เกาะล้านต่อเพื่อเก็บรายละเอียด
ขณะที่จารวีกำลังเดินไปที่รถตู้ด้วยท่าทีเงียบขรึม เบียร์ เจ้าของรีสอร์ท ซึ่งเดินทางมาส่งพวกเขาที่ท่าเรือ ก็เดินเข้ามาขวางหน้าเธออย่างมีจังหวะ
"อย่าลืมนะครับคุณจี๊ด..." เบียร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเกินเหตุและรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ "เรียนจบเผื่ออยากมาทำงานที่รีสอร์ท หรือถ้ามีปัญหาอะไร... โทรหาผมได้ตลอด 24 ชั่วโมงนะครับ นามบัตรผมอย่าทำหายนะครับ"
จารวีพยักหน้ารับอย่างอึดอัดและรีบกล่าวขอบคุณสั้น ๆ เพื่อตัดบท "ขอบคุณค่ะคุณเบียร์"
ขณะที่เธอกำลังจะสาวเท้าเดินขึ้นรถตู้เพื่อหนีจากสถานการณ์นั้น เมฆินทร์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด สีหน้าของเขาเคร่งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แววตาคมกริบจ้องมองเบียร์อย่างเก็บอารมณ์ เขากำลังพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดและความไม่พอใจ ที่ปะทุขึ้นเมื่อเห็นท่าทางเบียร์
ก่อนที่จารวีจะก้าวขาขึ้นรถตู้ เมฆินทร์ก็เดินเข้ามายืนซ้อนหลังเธอแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ เต็มไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด จนทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ยิน
"คุณจารวี..." เขาเรียกชื่อจริงของเธออย่างจงใจเพื่อเน้นย้ำ
"กลับพร้อมผม! ผมมีงานให้คุณทำ!"
คำพูดของเขาเป็นคำสั่งที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ เธอหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รีบถอยออกจากรถตู้ทันที ทีมงานที่เหลือต่างมองหน้ากันอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะยอมรับคำสั่งของเจ้านาย
เมฆินทร์ไม่แม้แต่จะมองเบียร์ แต่คำพูดและท่าทีของเขาก็ชัดเจนว่าเขาได้ อ้างสิทธิ์ในตัวเธอต่อหน้าทุกคน
เบียร์ยังคงยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น แต่ดวงตาของเขามีประกายบางอย่างที่บ่งบอกถึงความครุ่นคิดและไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่นอน
ทั้งคู่เดินทางกลับด้วยรถยนต์ส่วนตัวของเมฆินทร์ จหญิงสาวที่อ่อนล้าสะสมจากการทำกิจกรรมสุดโหดตลอดคืน ขึ้นรถมาก็สลบไสลหลับไปทันที เธอหลับสนิท ไร้การรับรู้ตลอดการเดินทางราวสามชั่วโมง
รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงการขยับตัวของเมฆินทร์ที่ กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง
เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง ใช้เวลานับวินาทีปรับโฟกัสกับสิ่งรอบตัวที่ไม่คุ้นเคย... ไม่ใช่ลานจอดรถของบริษัท แต่เป็นอาคารสูงระฟ้าและลานจอดรถส่วนตัวของคอนโดมิเนียมหรู
ใช่แล้ว! เขาพาเธอมาที่คอนโดของเขา!
เมฆินทร์หันมามองเธอที่กำลังงุนงงเต็มที่ เขาส่งยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยของเธอให้ด้วยความใกล้ชิด
หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอพยายามตั้งสติแล้วกล่าวปฏิเสธอย่างหนักแน่น
"พี่เมฆ! พาจี๊ดมาที่นี่ทำไมคะ! จี๊ดจะนั่งแท็กซี่กลับเองค่ะ!" เธอพยายามจะเปิดประตูลงจากรถทันที
"ใจเย็นสิ..." เมฆินทร์คว้าข้อมือเธอไว้เบา ๆ "พี่เห็นเราหลับสลบมาตลอดทาง เลยไม่อยากกวน...ขึ้นไปพักก่อนแป๊ปนึง พี่มีเรื่องงานจะคุยด้วย"
"เรื่องงานที่ไหนคะ! คุยตอนนี้เลยก็ได้!" เธอไม่ค่อยเชื่อข้ออ้างเรื่องงานของเขา
เมฆินทร์โน้มตัวเข้ามาใกล้จนใบหน้าห่างกันเพียงคืบ ลมหายใจอุ่นร้อนและกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ คลุ้งอยู่ในพื้นที่จำกัดของรถยนต์ เขาใช้เสียงกระซิบแหบพร่าข้างใบหูเธออย่างแผ่วเบา
"พี่ไม่มีแรงทำอะไรแล้ว ร่างกายไม่หลงเหลือน้ำ... แล้วตอนนี้...และขาก็ไม่มีแรงจะไปทำ 'งาน' ที่ไหนได้อีก"
เขาเน้นคำว่า 'งาน' ด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
"พี่ใช้พลังงานไปหมดตั้งแต่เมื่อคืน... แค่ขับรถมาถึงนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว... ให้พี่ได้พักเถอะนะ..."
คำพูดนั้นทำให้จารวีเงียบกริบไปทันที เธอเข้าใจดีถึงความหมายของการใช้ "พลังงาน" ที่เขาพูดถึง ร่องรอยและความเมื่อยล้าที่เธอรู้สึกอยู่ก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างดี
เมฆินทร์เดินนำเข้าไปในห้องชุดสุดหรูของเขาที่ตั้งอยู่บนชั้นสูง ภายในห้องตกแต่งด้วยสไตล์หรูหราเน้นความทันสมัยและวัสดุคุณภาพดี หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นทัศนียภาพของเมืองหลวงในมุมกว้าง
หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสำรวจ ทุกมุมดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความเป็นชายชาตรีที่เต็มไปด้วยรสนิยม เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำถามที่คาใจออกมา
"พาผู้หญิงมาบ่อยไหมคะ!..."
เมฆินทร์ปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาแล้วหันมามองเธอ เขายิ้มด้วยมุมปากอย่างสุขุม
"ไม่ครับ ยังไม่เคยพาใครมานอกจากคนในบ้านแล้วก็เพื่อนสนิท"
"เชื่อได้เหรอคะ..." จารวีเลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจ สายตาของเธอมองไปยังเขาอย่างจับผิด "ดูจาก...." เธอหยุดนิ่งและไม่พูดอะไรต่อ แต่ความหมายนั้นชัดเจนอยู่ในดวงตา
เมฆินทร์สาวเท้าเข้ามาประชิดตัวเธอ ใบหน้าคมคายโน้มต่ำลงมาเล็กน้อย สายตาคมกริบของเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"ทำไมครับดูจากอะไร ทำไมไม่พูดต่อล่ะ..." เขาถามยั่ว
"เปล่าค่ะ... ไม่มีอะไร" เธอรีบปฏิเสธและก้มหน้าหนีความเขินอายที่ถูกจับได้
เขารู้ทันทีว่าสิ่งที่เธอจะพูดคืออะไร: 'ดูจากประสบการณ์และความชำนาญบนเตียงของเขา' เธอต้องคิดว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ที่มีประสบการณ์โชกโชนอย่างแน่นอน
เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ
"ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ได้ฉายาว่าเป็นเสือซ่อนลาย แต่เขาก็เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ไม่เคยฝืนใจใคร และไม่เคยเอาใครมานอนค้างที่คอนโดของเขาแม้แต่ครั้งเดียว"
อดีตของเขาเมื่อก่อน อาจจะมีฉายาว่าเป็น 'เสือ' อย่างที่รู้กันในกลุ่มเพื่อน ตอนนี้ เพื่อน ๆ ชอบแซวเขาว่าเขา แขวนนวมลงจากสังเวียนแล้วเป็นที่เรียบร้อย ตั้งแต่ทำงาน ด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบช่วยครอบครัวบริหารงานในบริษัทของพ่อเขาเอง เขาก็พยายามวางตัว ไม่เที่ยวหนักเหมือนช่วงที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยกับจบมาใหม่ ๆ
เมฆินทร์ช้อนคางจารวีขึ้นมาให้สบตากับเขาอีกครั้ง "เธอเป็นคนแรกที่ได้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวที่สุดของพี่นะ จารวี..." เขาจงใจใช้ชื่อจริงของเธออีกครั้ง เพื่อย้ำเตือนบางอย่าง
"และอย่างที่เห็น... พี่ไม่เคยฝืนใจเธอ"
สายตาคมกริบของชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว ความจริงใจในแววตานั้นทำให้ใจเธอเต้นรัว แต่คำพูดสุดท้ายที่ว่า 'ไม่เคยฝืนใจเธอ' กลับทำให้ใบหน้าเธอแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าเธอไม่ได้ถูกฝืน แต่เป็นร่างกายของเธอเองที่ตอบรับเขาอย่างรุนแรงจนไม่อาจควบคุม
เมฆินทร์เห็นประกายไฟในดวงตาของเธอ เห็นริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากันเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้านอ่อน ๆ จากมือที่เขากุมอยู่
เขาไม่พูดอะไรอีกต่อไป ปล่อยให้ภาษากายทำหน้าที่ของมัน
เขาโน้มตัวลงไปช้า ๆ ประกบริมฝีปากดูดซับความหวานจากปากบางของเธออย่างอ่อนโยน ต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่รุนแรงและเร่าร้อน ครั้งนี้เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวล ความเอาใจใส่และความต้องการที่ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่กายสัมผัส
หญิงสาวหลับตาพริ้ม ตอบรับจูบของเขาอย่างเต็มใจ มือเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของเขาอย่างอัตโนมัติ จูบนั้นลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ลิ้นร้อนแทรกผ่านเข้าไปสำรวจโพรงปาก ดูดดึงความหอมหวานอย่างไม่รู้จักพอ
เขาค่อย ๆ ดันร่างของเธอถอยหลังไปช้า ๆ จนแผ่นหลังบางกระทบกับผนังห้องเย็นเฉียบ เขาใช้โอกาสนั้นสอดมือหนาเข้าไปใต้ชายเสื้อของเธอ ไล้ปลายนิ้วไปตามผิวเนื้อเนียนนุ่มที่บอบบาง
"อื้อ..." เธอครางในลำคอ เมื่อปลายนิ้วเย็น ๆ ของเขาสัมผัสกับผิวร้อนผ่าวของเธอ
เมฆินทร์ผละจูบออกเพียงชั่วครู่ ลมหายใจหอบกระเส่าทั้งคู่ ใบหน้าคมคายโน้มลงมาที่ซอกคอขาวเนียน ฝังจมูกลงสูดดมความหอมกรุ่น ก่อนจะไล้ริมฝีปากดูดเม้ม ทิ้งรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ ไว้ทั่วลำคอและหัวไหล่
"พี่เมฆ..." หญิงสาวครางเรียกชื่อเขาอย่างออดอ้อน แผ่นหลังบิดเร่าไปกับผนังเย็นเฉียบ
เขากระซิบชิดริมหูเธอด้วยเสียงแหบพร่า "พี่อยากให้เธอแน่ใจ... ว่าพี่ไม่ได้ฝืน... แต่เธอเองก็ต้องการพี่... ไม่ต่างกัน..."
ไม่รอให้เธอตอบ เมฆินทร์ก็ช้อนร่างของจารวีขึ้นมาในอ้อมแขน พยุงให้เธอหันหน้าเข้าหาเขา ขาเรียวของเธอเกี่ยวรอบเอวสอบของเขาทันทีอย่างเคยชิน ใบหน้าของเธอซบลงกับซอกคอของเขาอย่างอ่อนแรง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและบทรักที่ผ่านมาถูกกลบด้วยความต้องการที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
เขาอุ้มเธอเดินตรงไปยังห้องนอนอย่างไม่รีบร้อน แต่ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคงและเร่งเร้า เขาบรรจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล
เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไปตามทาง เมฆินทร์ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ก่อนจะโน้มตัวลงมาทาบทับร่างของเธออีกครั้ง
"เธอเสพติดพี่แล้วใช่ไหม... จารวี..." เขาถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์พร้อมกับจูบลงบนกลีบปากที่บอบช้ำเล็กน้อยของเธอ
เธอไม่ตอบได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเขินอาย เมื่อเขาใช้แก่นกายร้อนผ่าวที่แข็งขืนแล้ว บดเบียดคลึงเคล้าไปตามร่องกลีบเนื้ออ่อนไหวที่ชุ่มฉ่ำ เขาไม่ได้สอดใส่ในทันที แต่ทรมานเธอด้วยการเล่นรอบๆ อย่างจงใจ
"อ๊าาา... พี่เมฆ..." เธอครางอย่างทรมาน
ปริศนาชายชุดดำตัดภาพกลับมายังในรถขณะที่เมย์และเมฆินทร์ ภายในรถ เมย์ยังคงคาใจเรื่องเหตุการณ์ที่คอนโดของจารวี"พี่เมฆ... เรื่องชายชุดดำวันนั้น ตกลงพี่ว่ามันเป็นใครกันแน่" เมย์เริ่มถาม น้ำเสียงจริงจังขึ้นทันทีที่ไม่มีจารวีอยู่ด้วยเมฆินทร์ขมวดคิ้ว มือหนากำพวงมาลัยแน่น เขามองกระจกข้างด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ "พี่ก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่มันมีบางอย่างที่พี่รู้สึก แปลก""แปลกยังไงคะ?""คำพูดของมันไง ที่พูดกับจี๊ดว่า 'จำฉันไม่ได้เหรอ' ถ้าเป็นสตอล์กเกอร์ที่คลั่งไคล้ผลงานการถ่ายแบบ มันควรจะพูดอะไรที่บ่งบอกถึงการชื่นชม หรือต้องการครอบครอง ไม่ใช่คำถามที่เหมือนเป็นการ ทวงความจำ แบบนั้น"เมย์พยายามคิดตาม "หรือว่าจะเป็นศัตรูของจี๊ดตอนสมัยเรียน? หรือตอนที่เธอเป็นนักกีฬา?""พี่ก็คิดอยู่ แต่นั่นมันเรื่องนานมาแล้ว แถมจี๊ดก็บอกว่าเธอไม่มีปัญหากับใครเลย" เมฆินทร์ถอนหายใจ "แต่ที่สำคัญคือ... ปฏิกิริยาของมันตอนที่เห็นพี่""ปฏิกิริยาอะไรคะ?""มันเหมือน ตกใจ มากกว่าที่จะกลัว หรือโกรธที่ขัดขวางการทำร้ายจี๊ด พอพี่ถีบมันออกไป มันพยายามจะดึงหมวกคลุมหน้ากลับมากกว่าจะคว้ามีด มันอยากจะปิดบังตัวตนมากจริง ๆ"เมย์ชั่งใจ
อากาศบนภูยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บเสียจนต้องขดตัว แต่ความหนาวนี้ก็มิอาจเทียบได้กับความเร่าร้อนที่กำลังปะทุขึ้นในเต็นท์...ในเต็นท์ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แสงไฟดวงน้อยส่องให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเร่งเร้า ริสา ถูกรุกเร้าจนเสียงหอบหายใจขาดห้วง มือเล็กจิกลงบนแผ่นหลังกว้างของธนาอย่างลืมตัวเพื่อยึดเหนี่ยวตัวเองไว้กับความรู้สึกที่พุ่งทะยานธนาจูบเธอหนักหน่วงและดูดดื่มราวกับจะกลืนกินทุกอณูของร่างกาย เสียงกระซิบพร่าๆ คลอไปกับเสียงผ้าปูที่นอนเสียดสี... เป็นภาพที่ใครเห็นก็รู้ว่าคนข้างในกำลังใช้ความหนาวเป็นข้ออ้างในการมอบความอบอุ่นให้กันและกันอย่างไร้ขีดจำกัด!"ไอธนา มึงดับไฟด้วย!" เสียงตะโกนของเมฆินทร์ ดังข้ามมาพรึ่บ! ไฟในเต็นท์ก็ดับลง เหลือเพียงความมืดมิดที่ช่วยปกปิดความเร่าร้อนที่ดำเนินต่อไป...(...!...)เมฆินทร์ดึงจารวีเข้ามากอดไว้แน่นจนร่างบางแทบจะจมหาย ซบใบหน้าลงกับกลุ่มผมหอมๆ ของเธอ กลิ่นหอมหวานของเธอปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบให้ตื่นขึ้นทันที อ้อมกอดนี้ช่างอบอุ่นจนความหนาวที่มีอยู่มลายหายไปสิ้น"หนาวจัง... ขอกอดหน่อยนะ" เสียงทุ้มนุ่มกระซิบที่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจร้อนผ่าว รดริน
เมย์กลับมาหาจารวีที่คอนโดในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เมย์ก็โวยวายด้วยความตกใจ"อะไรนะ! นี่ฉันทิ้งแกไว้คนเดียวแป๊บเดียว เกิดเรื่องเลยเหรอ! แบบนี้ที่แกรู้สึกว่าเหมือนมีคนตามแกมองแกอยู่ มันก็เรื่องจริงสิ! สต๊อกเกอร์ไหม? พวกที่ชื่นชมผลงานแกผ่านที่แกถ่ายแบบกับพี่จีน่าหรือเปล่า? ไม่สิ... ถ้าเป็นพวกคลั่งไคล้ ถึงขนาดต้องเอามีดจี้คอกันเลยเหรอ! แต่แกก็ไม่มีศัตรูที่ไหนนี่" เมย์รัวใส่ด้วยความสงสัย"ฉันคุ้นเสียงนะ เหมือนเคยได้ยินเสียงที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก... มันพูดว่าจำฉันไม่ได้เหรอ ... ใคร? ฉันต้องจำใครได้?" จารวีพึมพำเมย์รีบสรุป "เท่ากับว่ามันตามแกอยู่ตลอด คิดดูสิ ไม่งั้นมันจะรู้ได้ยังไง ว่าแกอยู่คนเดียวได้ถูกจังหวะแบบนี้ เพราะปกติเราจะอยู่ด้วยกันตลอด""อือ... ก็จริงของแกนะเมย์""ดีนะที่ตอนนั้นพี่เมฆอยู่ด้วย" เมย์เผลอหลุดปาก"เดี๋ยวก่อนยัยเมย์! แกหมายความว่ายังไง นี่เป็นแผนของแกเหรอ""แฮ่ ๆ ๆ ... ขอโทษที ฉันอยากให้แกกับพี่เมฆได้เจอกัน ได้คุยกันบ้างอ่ะ""อย่าไปว่าเมย์เลยครับ พี่เป็นคนขอให้เมย์ช่วยเอง ก็พี่เป็นห่วงเรานี่" เมฆินทร์รีบสวนขึ้นจารวีสบตาเมฆินทร์อย่างอ่อนใจ แต่ในใ
บทสนทนาทางโทรศัพย์เมฆินทร์กับเมย์"ฮัลโหลเมย์ พี่มีเรื่องจะถามหน่อย" เสียงทุ้มกรอกลงไปในโทรศัพท์"พี่โทรมาพอดีเลย เมย์ก็มีเรื่องจะบอก" ปลายสายตอบกลับทันที "คือพี่จีน่ามาชวนจี๊ดไปถ่ายแบบ แต่พี่ไม่ต้องตกใจนะ ยังไม่ได้ออกจากงาน แค่ชวนให้ลองดูเฉยๆ""แล้วจี๊ดว่าไง? ตกลงไหม?" เขารีบถามด้วยความสนใจ"ดูเหมือนจะสนใจนะ" เธอตอบเสียงอ้อมแอ้ม "พี่จีน่าพูดถูก ถ้าจี๊ดยังอยู่กับความกลัวแบบนี้เมื่อไหร่จะกลับมาเป็นปกติ? ให้ลองดูก็ดีเหมือนกัน""พี่ไม่มีสิทธิ์ห้ามอะไรเขาอยู่แล้ว ฝากเมย์ดูแลด้วยนะ" เขาเน้นย้ำ"เมื่อกี้พี่กำลังจะถามอะไรเมย์นะ?" เธอถามย้อนขึ้น"อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ไว้เจอกันพี่ค่อยถามก็ได้ วันหยุดนี้พี่จะกลับกรุงเทพฯ เมย์ช่วยพี่หน่อยได้ไหม?ทำยังไงก็ได้ให้พี่ได้เจอจี๊ดสักครั้ง" เขาขอร้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง"จะโอเคเหรอพี่? เดี๋ยวแม่จะว่าไหม?" เมย์กังวล"แค่ครั้งเดียวนะเมย์ ช่วยพี่หน่อยเถอะ พี่มีเรื่องจะคุยกับจี๊ด และก็อยากเจอหน้า ขอแค่ครั้งเดียวจริงๆ""ก็ได้ค่ะ เมย์จะพยายาม" เธอยอมรับปากบทสนทนาของเมฆินทร์กับเพื่อนหลังวางสายจากเมย์ เมฆินทร์กดโทรศัพท์หาวายุทันที"วายุ ช่วงนี้มึงว่างไหม? ช่วยกูคิ
6 เดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้าทรมาน สำหรับเมฆินทร์ที่ถูกย้ายไปเชียงใหม่ และจารวีที่ทำงานที่กรุงเทพฯ มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเหมือนขาดใจ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ดูแลเธอ ส่วนจารวี... แม้จะยังรัก... แต่ความหวาดกลัวก็ยังคงฝังลึกและเจ็บปวดจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจารวีทำงานในบริษัทของครอบครัวเมฆินทร์ภายใต้การคุ้มครองอย่างเข้มงวดของ นภา รองประธานบริษัทผู้มีอำนาจล้นเหลือ ครอบครัวของเมฆินทร์ประกาศชัดเจนว่าห้ามใครมายุ่งหรือทำอันตรายเธอโดยเด็ดขาดนภาจัดการไล่พนักงานที่เคยซุบซิบนินทาว่าเธอเป็นเด็กเลี้ยงหรือพูดในทางไม่ดีออกไปทั้งหมด และกำชับห้ามใครคิดร้ายอีกต่อไปการปฏิบัติของทุกคนในบริษัทต่อจารวีเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่งในครอบครัว ซึ่งตัวเธอเองก็รู้สึกอึดอัดใจกับสถานะที่ได้รับ แต่นภาต้องการชดใช้ความผิดที่ลูก ๆ ของเธอเคยทำพลาด ไม่ว่าจะในอดีตของเมย์ หรือในปัจจุบันของเมฆินทร์ การดูแลเธอในระดับนี้จึงยังน้อยไปด้วยซ้ำในความรู้สึกของผู้เป็นแม่วันเวลาที่ผ่านไปได้ช่วยเยียวยาจิตใจของจารวีให้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีเงื่อนปมบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจของเธอเสมอมา วันนี้ ความคับข้องใจนั้นกำลังจะถูกคลี่คลายลง เมื่อมีหญิงสา
ล็อบบี้และสติของเมย์เมฆินทร์อุ้มร่างที่ไร้สติของจารวีวิ่งออกมาจากลิฟต์ไปยังล็อบบี้อย่างบ้าคลั่ง สภาพเขาตอนนี้มีแต่ร่องรอยการต่อสู้ เหงื่อท่วมกาย ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตระหนก เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอย่างไรต่อบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ใครก็ได้! เรียกรถ! เรียกรถพยาบาล!พนักงานที่เคาน์เตอร์ต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับภาพชายคลั่งที่อุ้มหญิงสาวตัวซีดเซียวเมย์วิ่งตามมาติด ๆ คว้ากระเป๋าจี๊ดไว้แน่น เธอเห็นความตกตะลึงจนสติแตกของพี่ชาย จึงพุ่งเข้าใส่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทันทีเมย์เสียงเฉียบขาดและเร่งรีบ ตอนนี้ต้องการรถไปส่งที่ท่าเรือข้ามเกาะด่วนที่สุด! เร็วเข้า! ตอนนี้!เธอชี้ไปที่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเมฆินทร์ พยายามใช้ไพ่ตายที่สร้างขึ้นมาผู้หญิงคนนี้... เธอได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง... ฉันกลัวว่าเธอจะ แท้งลูก! ให้รีบไปส่งที่ท่าเรือข้ามฝั่ง! ตอนนี้! เครื่องมือการแพทย์และสถานพยาบาลบนเกาะนี้มันไม่พอแน่ ๆ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก... รีสอร์ทของคุณจะรับผิดชอบไม่ไหว!พนักงานรีบประสานงานกันอย่างตื่นตระหนกโดยทันที เมื่อได้ยินคำว่า 'แท้งลูก' และ 'รับผิดชอบไม่ไหว'เมฆินทร์หันไปมองน้องสาว ใบ







