LOGINสำหรับคำพูดของมู่ซ่างเสวี่ย ฉู่จืออี้ไม่ได้ใส่ใจมากนักในสายตาของเขา คนตระกูลมู่ไม่น่าไว้วางใจ รวมถึงมู่ซ่างเสวี่ยด้วยท้ายที่สุดแล้ว ตอนนั้นเซียวเหิงก็จากไปพร้อมกับคนตระกูลมู่ แต่ตอนนี้กลับโยนความผิดทั้งหมดให้แก่องค์ชายสอง เรื่องราวเบื้องหลังทั้งหมดนี้จะมีความลับมากน้อยเพียงใด ยังไม่อาจทราบได้ศพสองร่างในห้องถูกยกออกไปแล้ว คราบเลือดก็ถูกเช็ดจนสะอาด แต่ในอากาศยังคงอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดจางๆทุกหยาดทุกหยด ล้วนกระตุ้นประสาทของฉู่จืออี้อย่างรุนแรงฉู่จืออี้เก็บซ่อนความเย็นชาในดวงตา หันไปทางมู่ซ่างเสวี่ย แล้วเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่พักผ่อนเถิด คืนนี้เหล่านักลอบสังหารคงไม่กลับมาอีกแล้ว”มู่ซ่างเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ขอบคุณฉู่จืออี้อีกครั้ง “เรื่องคืนนี้ ขอบคุณท่านอ๋องมาก”ฉู่จืออี้แย้มยิ้มมุมปาก แล้วหมุนกายกลับเข้าห้องของตนไปรุ่งขึ้นขบวนออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่เห็นได้ชัดว่าภายในแถวมีคนหายไปหลายคน เป็นพวกที่ออกไปตามล่านักลอบสังหารเมื่อคืนคงไปแล้วไปลับสินะ?ดวงตาของฉู่จืออี้มืดครึ้ม แต่เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ขึ้นรถม้าตามเดิมขณะเดียวกัน ที่เมืองอู้ในแคว้นจิ้ง ฝนโปรยปราย
คืนนี้ เกรงว่าจะไม่สงบแล้วยามดึกสงัด สถานีพักม้าทั้งแห่งจมอยู่ในความเงียบงันฉู่จืออี้นอนบนเตียงโดยยังไม่ถอดเสื้อผ้า ข้างมือวางดาบสั้นที่ชักออกจากฝักแล้วแสงจันทร์ลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้ สาดเงาระยับลงบนพื้นทันใดนั้น เสียง "แคร้ก" เบาๆ ดังขึ้นจากบนหลังคา คล้ายกระเบื้องที่ถูกเหยียบฉู่จืออี้ลืมตาขึ้นทันที กลั้นลมหายใจ พลิกตัวลงจากเตียงอย่างไร้เสียงขณะเดียวกัน ห้องของมู่ซ่างเสวี่ยที่อยู่ติดกันดังเสียงทึบขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วตามด้วยเสียงการต่อสู้!ฉู่จืออี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อย พุ่งออกจากห้องถีบประตูห้องมู่ซ่างเสวี่ยเปิดออกทันทีในห้อง มีชายชุดดำสามคนกำลังรุมโจมตีมู่ซ่างเสวี่ย หนึ่งในนั้นฟันดาบยาวเฉียดแขนเสื้อของมู่ซ่างเสวี่ยจนขาด เลือดสดไหลรินลงตามแขนฉู่จืออี้พุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ดั่งสายฟ้าฟาดแทงเข้าหานักลอบสังหารที่อยู่ใกล้ที่สุดนักลอบสังหารคนนั้นตอบสนองไว หมุนตัวขึ้นมาป้องกัน แต่ไม่ทันเห็นว่าดาบของฉู่จืออี้เปลี่ยนทิศกลางคัน แทงทะลุคออีกคนที่แอบจู่โจมอยู่ด้านข้างเลือดพุ่งกระเซ็นเปื้อนกระดาษหน้าต่าง ราวดอกเหมยสีแดงผลิบานมู่ซ่างเสวี่ยฉวยโอกาสตอบโต้ ดาบอ่อนในมือพลิ้วดั่งงู
ครึ่งเดือนต่อมาฤดูหนาวของแคว้นถังมาถึงเร็วกว่าของแคว้นจิ้งเล็กน้อยเมื่อคืนเมืองอวี๋โจวมีหิมะตกโปรยปรายตลอดทั้งคืน ราวกับตั้งใจจะกลบเมืองทั้งเมืองให้จมหายไปใต้หิมะสีขาวนั้นฉู่จืออี้ยืนอยู่ริมหน้าต่างของโรงแรม มือคีบจดหมายที่เพิ่งได้รับจากนกพิราบสื่อสารลายมือบนกระดาษนั้น เขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร เป็นลายมือของเจ้าสิบปลายนิ้วเขาลูบไปตามขอบกระดาษเพื่อยืนยันรอยสัญลักษณ์ลับที่แทบมองไม่เห็นดูท่า เจ้าสิบคงปลอดภัยจริงๆ แล้วด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น มู่ซ่างเสวี่ยในอาภรณ์ไหมสีน้ำเงินเข้มก้าวเข้ามาในห้อง ป้ายเหล็กนิลที่คาดเอวแกว่งเบาๆ ตามจังหวะก้าว “ท่านอ๋องวางใจได้ เดินทางเข้าเมืองหลวงกับข้าเถอะ”ฉู่จืออี้จุดไฟเผาจดหมายในมือ มองมันกลายเป็นขี้เถ้า “คุณชายมู่รักษาคำสัญญาดีจริง”“ตระกูลมู่ของเรามีวาจาเป็นสัญญาเสมอ” มู่ซ่างเสวี่ยยืนอยู่ตรงประตู แสงอาทิตย์สาดจากด้านหลังเขาทอดเงายาวลงบนพื้น “รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว ท่านอ๋องจะออกเดินทางเมื่อใดก็ได้”ฉู่จืออี้ยกห่อสัมภาระที่เก็บไว้เรียบร้อยขึ้น สายตาเข้มขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”นอกโรงแรม เหล่าองครักษ์ชุดหนึ่งยืน
ฉู่จืออี้แววตาสว่างวาบขึ้นมาที่ซ่อนของเจ้าสิบถูกอีกฝ่ายรู้ตำแหน่งอยู่แล้ว!ไม่อาจมองข้ามตระกูลมู่ได้เลยจริงๆ"เช่นนั้นที่คุณชายใหญ่มู่มาวันนี้ มีเรื่องอันใด?" เสียงของฉู่จืออี้อ่อนลงเล็กน้อย แต่ยังคงแฝงด้วยความระแวดระวังมู่ซ่างเสวี่ยเก็บผ้าไหมกลับเข้าแขนเสื้อ "พาท่านอ๋องเข้าสู่เมืองหลวง""อ้อ?" ฉู่จืออี้เลิกคิ้ว "ในฐานะนักโทษงั้นหรือ?""ในฐานะแขก" มู่ซ่างเสวี่ยแก้ "ท่านเจ้าตระกูลอยากพบท่าน"สิ้นเสียงนั้น ก็ได้ยินเจ้าสิบเอ่ยอย่างร้อนรน “พี่ใหญ่ ไปไม่ได้นะขอรับ!”ตระกูลมู่มีอำนาจล้นฟ้าในแคว้นถัง หากฉู่จืออี้ตามมู่ซ่างเสวี่ยเข้าเมืองหลวงไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเดินเข้าสู่ถ้ำเสือ!แต่ฉู่จืออี้ต้องไปในเมื่อพวกพ้องของเขาทุกคนอยู่ในเงื้อมมือตระกูลมู่ เช่นนั้นแม้ในเมืองหลวงของแคว้นถังจะเต็มไปด้วยคมดาบเพลิงไฟรออยู่ เขาก็ต้องไป!ดังนั้น เขาจึงมองมู่ซ่างเสวี่ยแล้วกล่าวเสียงทุ้ม “ข้าต้องแน่ใจว่าเจ้าสิบจะกลับไปถึงเมืองอู้โดยปลอดภัย”“พี่ใหญ่!” เจ้าสิบอุทาน “ข้าไม่ไป!”ฉู่จืออี้ขมวดคิ้ว มองเขา “เจ้าไม่ไป แล้วใครจะส่งข่าวให้ข้า?”องครักษ์พยัคฆ์ไม่อาจพินาศทั้งหมดในแคว้นถังได้เจ้าสิบอ้าปา
ในที่สุดฉู่จืออี้ก็เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากยกยิ้มอย่างมีนัยยะ "เจ้าแค่ไปเคาะประตูเสีย"เด็กรับใช้เดินออกไปด้วยความงุนงงเจ้าสิบทำหน้าฉงน "พี่ใหญ่ ข้างห้องคือ?"ฉู่จืออี้ไม่ตอบ รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก เหล้าในจอกกระเพื่อมเป็นระลอกสะท้อนดวงตาลึกล้ำของเขาบริเวณบันไดมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น หากไม่ตั้งใจฟังก็แทบจะถูกเสียงเอะอะด้านล่างกลบจนหมดปลายนิ้วของฉู่จืออี้หยุดอยู่ตรงขอบจอกชั่วขณะ แล้วก็เคาะต่อไปอย่างมีจังหวะเสียง "เอี๊ยด" ดังขึ้น ประตูห้องส่วนตัวถูกผลักเปิดออกร่างหนึ่งในเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวยืนอยู่หน้าประตู ยืนต้านแสงจนมองไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงเหรียญเหล็กนิลที่เอวสะท้อนแสงเย็นวาบในแสงโคม"ท่านอ๋อง" น้ำเสียงของผู้มาเยือนเย็นเยียบดุจน้ำแข็งแตกกระทบกัน "ไม่ได้พบกันเสียนานเลยขอรับ"ฉู่จืออี้เหลือบตามองออกไป ก็เห็นว่าเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลมู่ มู่ซ่างเสวี่ยทันใดนั้นจึงผายมือเชิญให้นั่ง "คุณชายใหญ่มู่มาด้วยตนเอง ข้าน้อยฉู่รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"มู่ซ่างเสวี่ยยังไม่ได้นั่งลงทันที แต่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ มองฉู่จืออี้จากที่สูง "เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไร?""ตั้งแต่ข้ากับเจ้าสิบก้าวเข้
ลมกรรโชกนอกห้องแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบกับขอบหน้าต่างอันบางเบาฉู่จืออี้ทอดสายตาลงยังแผงอกของเจ้าสิบ “ข้าดูแผลเจ้าหน่อย”เจ้าสิบหน้าซีดลงเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะคลายเสื้อออก เผยให้เห็นผ้าพันแผลสีขาวที่ถูกเลือดสดซึมจนแดงไปทั้งผืน“หนึ่งเดือนก่อน ข้าถูกลอบโจมตีตอนสืบหาที่ที่เจ้าสามปรากฏตัวครั้งสุดท้าย” เจ้าสิบกัดฟันแกะผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นบาดแผลอันเหี้ยมโหดที่ลากจากกระดูกไหปลาร้าถึงซี่โครง เนื้อหนังแหวกแยกยังไม่สมานดี “อีกฝ่ายลงมืออำมหิตนัก ทุกกระบวนท่าล้วนหมายเอาชีวิต หากมิใช่เพราะคืนนั้นฝนตกถนนลื่น ข้าคงไม่พลัดตกน้ำจนรอดมาได้...”ฉู่จืออี้จ้องมองบาดแผลนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเริ่มเย็นชา “แนวคมดาบเฉียงขึ้น เป็นคนถนัดซ้าย เจ้าพอมองเห็นหน้ามันหรือไม่?”“ไม่เห็นขอรับ” เจ้าสิบขมวดคิ้ว “ฟ้ามืด พวกมันสวมชุดพรางยามราตรี มีกันอย่างน้อยสิบคน ฝึกฝนมาดี ทำงานสอดประสานกัน ไม่ใช่โจรภูเขาธรรมดา”ฉู่จืออี้หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วเอ่ยต่อ “ทางเซียวเหิงเป็นเช่นไร?”“ข่าวคราวสุดท้ายจากเซียวเหิงก็เมื่อห้าเดือนก่อน เขาบอกว่าจะติดตามองค์ชายสองแห่งแคว้นถังไปล่าสัตว์ที่แดนเหนือ” เจ้าสิบ






