หลังจากที่จื่ออิงหายดี หลี่เฉินก็กลับไปทำงานตามปกติ ท้องฟ้าของเช้าวันใหม่ดูสดใส แสงแดดส่องกระทบผืนนา แปลงข้าวสีเขียวชอุ่มทอดยาวสุดสายตา เสียงจอบกระทบดินและเสียงน้ำในร่องนาขยับไหลตามแรงดังเป็นจังหวะ หลี่เฉินก้มหน้าก้มตาเดินตรวจงานอย่างตั้งใจ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูผิดแปลกไปจากปกติ
เขารู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเขา บางคู่จับจ้องอย่างลังเล บางคู่มีแววสงสัย และบางคู่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"อ้าว หลี่เฉิน กลับมาทำงานแล้วเหรอ"
เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดบันทึกตรงหน้า เห็นป้าหวั่นที่ทำงานร่วมกันมาเนิ่นนานเดินเข้ามาหา และเป็นที่รู้กันดีว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงปากมาก ปากยื่นปากยาว เรื่องสั้นแค่คืบนางสามารถสร้างเรื่องราวให้ยาวมากกว่าศอก เรื่องราวที่ควรจบลงในไม่กี่คำ นางสามารถเล่าขยายให้ยาวราวกับเป็นนิทานหลายบท ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีประกายของความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มเปี่ยม
"ครับ"
หลี่เฉินตอบสั้นๆ
ป้าหวั่นพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
"ได้ข่าวว่าจื่ออิงเมียของเธอหายดีแล้วหรือ"
คำถามนั้นดูเหมือนปกติ แต่ท่าทางของคนถามและสายตาของคนรอบข้างที่เงี่ยหูฟังทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่กำลังลอบมองมาทางเขา
"ครับ อาอิงหายดีแล้ว"
เขาตอบเรียบๆ แม้ไม่อยากจะสนทนาด้วยมากนัก แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะดูเหมือนคนไม่มีทีท่าว่าจะจากไปโดยง่าย
"อ้อ หายดีแล้วก็ดี"
ป้าหวั่นพยักหน้าว่าเสียงยานคาง แต่แล้วกลับถามต่อด้วยน้ำเสียงแฝงนัยบางอย่าง
"แต่แบบนี้เธอจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ"
หลี่เฉินขมวดคิ้วมุ่น มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
"ทำอย่างไร ผมจะต้องทำอะไร ผมไม่รู้ว่าป้ากำลังพูดถึงอะไร"
ป้าหวั่นยิ้มเจื่อน เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาเริ่มมองเธอตาเขม็ง แต่ปากก็ยังกล่าวต่อว่า
"ก็เรื่องของซินหยาน่ะสิ"
"ป้าต้องการพูดอะไรกันแน่"
คำพูดนั้นทำให้หลี่เฉินจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง ดวงตาคมเข้มของเขาทอประกายแข็งกร้าวขึ้น
"ป้าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก"
ป้าหวั่นยกมือขึ้นโบกไปมา เอ่ยต่อไปว่า
"เพียงแต่อดสงสารซินหยาไม่ได้เท่านั้น"
"เรื่องของผมกับภรรยาไปเกี่ยวอันใดกับเจียงซินหยา"
น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นทันที
"ก็ไม่ใช่ว่าเธอสองคนกำลังคบหาดูใจกันอยู่หรอกหรือ เมียเธอหายป่วยแล้ว แบบนี้ซินหยาจะทำอย่างไร"
ป้าหวั่นยังคงเอ่ยถามอย่างไม่ลดละ มีใครบ้างไม่รู้ว่าหลี่เฉินกับเจียงซินหยาสนิทสนมกันมากแค่ไหน อีกทั้งซินหยายังมีท่าทีเขินอายทุกครั้งยามเมื่อมีใครเอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ของเธอกับหลี่เฉิน เรียกได้ว่าไม่ต้องเอ่ยอันใดก็มองออกทะลุปรุโปร่ง
ที่ผ่านมาเจียงซินหยายังช่วยดูแลหลี่ซูเหยียนบุตรสาวของอีกฝ่าย ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เข้าใจว่าวันหนึ่ง หลี่เฉินกับเจียงซินหยาคงได้แต่งงานกัน ทั้งหลินจื่ออิงยังล้มป่วย ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน ซึ่งมันไม่ผิดอะไรหากหลี่เฉินจะเริ่มต้นใหม่กับเจียงซินหยา
หลี่เฉินชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าของเขามืดครึ้มเย็นเยียบลงทันที
"ป้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร"
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความกดดัน
ป้าหวั่นไหวไหล่น้อยๆ เอ่ยว่า
"ป้าไม่ได้พูดเองหรอกนะ แต่คนในหมู่บ้านต่างก็รู้เห็นกันทั้งนั้น ว่าก่อนหน้านี้ซินหยาคอยช่วยดูแลลูกสาวของเธอ ไม่ว่าใครก็มองออกว่าพวกเธอกำลังคบหากัน"
หลี่เฉินกำหมัดแน่น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นชาวบ้านหลายคนกำลังลอบฟัง บ้างก้มหน้าทำเป็นยุ่งอยู่กับงาน บ้างก็หันไปซุบซิบกันเบา ๆ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับความไม่พอใจที่ก่อตัวขึ้นในใจ
"ผมกับเจียงซินหยาไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน และจะไม่มีวันเป็นไปได้ ผมเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น"
น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดและหนักแน่น เอ่ยออกมาเสียงดังให้คนที่สอดรู้สอดเห็นได้ยินกันถ้วนทั่ว จะได้ไม่เอาไปร่ำลือกันผิดๆ อีก
"ผมมีภรรยาแล้ว จะไปคบหาดูใจกับผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง"
ป้าหวั่นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เฮ้อ อย่างนั้นหรือ แล้วเธอจะบอกซินหยาอย่างไรดีล่ะ"
"ผมไม่จำเป็นต้องบอกอะไร"
หลี่เฉินตอบเสียงเรียบเย็นชา
"เพราะผมกับเจียงซินหยาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วป้าก็อย่าได้พูดจาพร่ำเพรื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด หากยังพูดไม่รู้ฟัง ก็อย่าหาว่าผมไม่เตือน"
หลังจากพูดจบ หลี่เฉินก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ แต่ถึงแม้เขาจะเดินออกมาแล้ว บรรยากาศแปลกๆ รอบตัวก็ยังคงไม่จางหาย
ข่าวลือพวกนี้...มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
หลี่เฉินเดินกลับไปทำงานที่คั่งค้างไว้หลังจากหยุดไปหลายวัน แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
แต่แล้วคนที่เป็นหัวข้อถกเถียงเมื่อครู่ก็ปรากฏตัวขึ้น จนเขาอดที่จะมุ่นคิ้วเข้าหากันไม่ได้ จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานต่ออย่างไม่คิดใส่ใจ
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชาวบ้านถึงได้คิดไปเองว่าเขากับเจียงซินหยามีใจให้กัน ทั้งที่เขาไม่เคยให้ความหวังหรือแสดงออกว่ามีใจให้อีกฝ่ายเลยสักครั้ง
"พี่เฉิน นี่ค่ะ ฉันชงชามาให้ ดื่มสักหน่อยนะคะ จะได้สดชื่น"
เสียงหวานของเจียงซินหยาดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูอ่อนหวาน หญิงสาวเทน้ำชาใส่ถ้วยเล็กแล้วยื่นมาให้เขาอย่างใส่ใจ
หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า เหลือบตามองน้ำชาในถ้วย ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ
"ขอบใจ แต่ฉันมีของตัวเองแล้ว"
เขาหยิบกระบอกน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่มแทน โดยไม่ได้แตะต้องถ้วยชาที่เธอส่งให้
เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้างไปชั่วครู่ แต่ก็ยังพยายามรักษาท่าทีปกติเอาไว้ แล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่องแทน
"พี่หิวแล้วยังคะ ฉันเอาข้าวเที่ยงมาส่งคุณตา แล้วก็ยังเอามาเผื่อพี่ด้วย"
เสียงของเจียงซินหยาฟังดูเป็นธรรมชาติ แต่แฝงไปด้วยความสนิทสนมราวกับเป็นเรื่องปกติที่ต้องดูแลเขา
หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูยุ่งยากใจ
"ไม่เป็นไร เธอเอาไปให้หัวหน้าเถอะ อาอิงทำมาให้ฉันแล้ว"
คำตอบของเขาเรียบง่าย แต่หนักแน่นและชัดเจนพอจะทำให้เจียงซินหยาหน้าถอดสี บรรยากาศรอบตัวเงียบลงชั่วขณะ
"พี่เฉินคะ..."
เสียงของเจียงซินหยาอ่อนลง คล้ายจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องกลืนคำพูดลงไป เพราะหลี่เฉินไม่แม้แต่จะมองเธออีก เขาเพียงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้เอ่ยอะไร
เจียงซินหยากำถ้วยชาไว้แน่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลี่เฉินจงใจเว้นระยะห่างจากเธอ
สุดท้ายเมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ เธอก็ต้องกัดฟันกลั้นน้ำตาแล้วหันหลังเดินจากไป
ส่วนหลี่เฉิน เขามองตามแผ่นหลังของเจียงซินหยาเพียงครู่เดียว ก่อนจะก้มหน้าลงยกปลายนิ้วขึ้นคลึงขมับ หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันแน่น พอนึกย้อนกลับไป เขาเริ่มเห็นภาพชัดขึ้น เป็นเจียงซินหยาที่มักจะแสร้งทำเป็นสนิทสนมกับเขาต่อหน้าคนอื่น แสดงท่าทีเหมือนเป็นห่วงเป็นใย ทั้งที่เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้เธอเข้ามาใกล้เกินควร
บางครั้ง ตอนที่เขากำลังขนของหนัก เธอก็จะเข้ามายืนใกล้ๆ แล้วทำท่าจะช่วย ทั้งที่แรงของเธอไม่มีทางช่วยอะไรได้เลย
บางครั้ง เธอก็มักจะหาเรื่องเดินมาหาเขา อ้างว่ามีปัญหากับงาน หรือไม่ก็ทำเป็นขอคำแนะนำ ทั้งที่เรื่องที่ถามมานั้นไม่ได้จำเป็นต้องถามเขาเลย
และสิ่งที่ทำให้หลี่เฉินแน่ใจในความรู้สึกของเจียงซินหยาก็คือ...สายตาของเธอ
ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง ความต้องการ ตัดพ้อ และบางครั้งก็มีแววออดอ้อนแฝงอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะสังเกตเห็น เพราะไม่เคยคิดใส่ใจ แต่ในวันนี้กลับเห็นมันอย่างชัดเจน ไม่คิดว่าคนที่เขาเอ็นดูสงสารจะมีความคิดไม่สมควรเช่นนี้
เมื่อกลับมาถึงบ้าน กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยมาต้อนรับหลี่เฉินตั้งแต่หน้าประตู เขาก้าวเข้าไปในครัว เห็นจื่ออิงกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ไอร้อนจากกระทะลอยขึ้นจางๆ เธอกำลังทำอาหารด้วยท่าทีตั้งอกตั้งใจ ขณะที่เหยียนเหยียนนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเล็ก กำลังเล่นตุ๊กตาอย่างเพลิดเพลิน"พ่อคะ"เสียงใสของบุตรสาวดังขึ้นทันทีที่เธอเห็นเขา ดวงตากลมโตเปล่งประกายด้วยความดีใจ รอยยิ้มไร้เดียงสาทำให้บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นขึ้นจื่ออิงหันมามองเขาตามเสียงของบุตรสาว ดวงตาของเธออ่อนโยนและอบอุ่น ริมฝีปากอิ่มเผยรอยยิ้มหวานส่งมาให้"กลับมาแล้วหรือคะ"เธอเอ่ยถามพลางวางมือจากงานตรงหน้า ก่อนเดินไปตักน้ำเย็นจากโอ่งหินแล้วยื่นส่งให้เขา"น้ำค่ะ"หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาอย่างเช่นทุกวัน ก่อนจะกลับไปจัดการกับอาหารที่เตา"อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว คุณรออีกเดี๋ยวนะคะ"เพียงเท่านั้น ความเหนื่อยล้า อารมณ์โกรธ และความหงุดหงิดไม่พอใจทั้งหมดที่คั่งค้างอยู่ในใจของเขาก็ค่อยๆ คลายลง เขาดื่มน้ำจนหมดแก้ว สัมผัสเย็นชื่นใจช่วยบรรเทาความอ่อนล้า ขณะที่ความอบอุ่นอ่อนโยนของคนตรงหน้าค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในใจ ครอบครัวที่ทำให้หัวใจสงบลงได้เสมอหลี่เฉินทอดถอนหายใจเบาๆ
หลี่เฉินยังคงมาทำงานตามปกติ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเจียงซินหยากำลังล้ำเส้น พยายามเข้าหาเขามากขึ้นจนเขารู้สึกอึดอัด และยังแสดงท่าทีให้คนอื่นเข้าใจผิด วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการซ่อมคันไถ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้"พี่เฉิน"หลี่เฉินไม่ต้องเงยหน้าขึ้นดูก็รู้ว่าเป็นใคร"มีอะไร" เขาถามเสียงเรียบโดยไม่ละมือจากงานที่ทำเจียงซินหยาลังเลเล็กน้อย สายตาเหลือบมองเหล่าชาวบ้านที่กำลังส่งสายตามาทางนี้ ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา ใบหน้าของเธอดูหม่นเศร้าราวกับถูกรังแก ซึ่งระยะหลังมานี้เธอมักจะแสดงท่าทีเช่นนี้เสมอทุกครั้งที่เข้าหาหลี่เฉิน"ฉันแค่ อยากมาช่วยค่ะ"หลี่เฉินถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเธอเต็มตา"เธอควรกลับไปทำงานในส่วนของเธอนะ"เจียงซินหยากัดริมฝีปากแน่น คล้ายมีเรื่องคับข้องใจ ไม่ยอมถอยกลับง่ายๆ จะอย่างไรวันนี้เธอก็จะต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง ตลอดหลายวันมานี้ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามเว้นระยะห่างจากเธอ และที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ก็คงเป็นเพราะหลินจื่ออิงคนเดียว "พี่เฉิน พี่ไม่รู้จริงๆ หรือคะ ว่าฉันรู้สึกยังไงกับพี่"เสียงของเจียงซินหยาสั่นไหว
หลังจากที่จื่ออิงหายดี หลี่เฉินก็กลับไปทำงานตามปกติ ท้องฟ้าของเช้าวันใหม่ดูสดใส แสงแดดส่องกระทบผืนนา แปลงข้าวสีเขียวชอุ่มทอดยาวสุดสายตา เสียงจอบกระทบดินและเสียงน้ำในร่องนาขยับไหลตามแรงดังเป็นจังหวะ หลี่เฉินก้มหน้าก้มตาเดินตรวจงานอย่างตั้งใจ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูผิดแปลกไปจากปกติเขารู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเขา บางคู่จับจ้องอย่างลังเล บางคู่มีแววสงสัย และบางคู่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น"อ้าว หลี่เฉิน กลับมาทำงานแล้วเหรอ"เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดบันทึกตรงหน้า เห็นป้าหวั่นที่ทำงานร่วมกันมาเนิ่นนานเดินเข้ามาหา และเป็นที่รู้กันดีว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงปากมาก ปากยื่นปากยาว เรื่องสั้นแค่คืบนางสามารถสร้างเรื่องราวให้ยาวมากกว่าศอก เรื่องราวที่ควรจบลงในไม่กี่คำ นางสามารถเล่าขยายให้ยาวราวกับเป็นนิทานหลายบท ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีประกายของความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มเปี่ยม"ครับ" หลี่เฉินตอบสั้นๆป้าหวั่นพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น"ได้ข่าวว่าจื่ออิงเมียของเธอหายดีแล้วหรือ"คำถามนั้นดูเหมือนปกติ แต่ท่าทางของคนถามและสายตาของคนรอบข้า
หลี่เฉินกลับมาพร้อมหมอวัยกลางคนที่ประจำอยู่ที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน ชายหนุ่มรีบก้าวเข้ามาอย่างร้อนใจ เห็นภรรยายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ตั่ง ใบหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังมีรอยยิ้มละมุน เขารู้ว่าเธอกำลังเจ็บ แต่ไม่อยากให้เขาและบุตรสาวกังวลจึงได้อดทนไว้หลี่เฉินรีบตรงเข้าไปหา ก้มตัวลงมองสำรวจเธออย่างละเอียดอีกครั้ง พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากมนที่เริ่มผุดซึมออกมา"อาอิง เจ็บตรงไหนบ้าง บอกหมอเร็วเข้า"จื่ออิงยิ้มบางๆ"ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดที่ข้อเท้านิดหน่อยเท่านั้น"หมอพยักหน้ารับ ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าจื่ออิง แล้วเริ่มตรวจข้อเท้าของเธออย่างละเอียด"ข้อเท้าได้รับแรงกระแทกค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบ โชคดีที่ไม่ได้หัก แค่ต้องระวังไม่ให้ขยับมากเกินไป เดี๋ยวหมอจะทายาและพันผ้าเอาไว้ให้"หมอพูดพลางเปิดกล่องพยาบาล จื่ออิงพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ในใจรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง"ส่วนที่เหลือก็มีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ทายาวันละสองครั้งก็พอ หมอจะจัดยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบเอาไว้ให้กิน"หมอกล่าวต่อ ขณะใช้ผ้าพันข้อเท้า จื่ออิงเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บ ทว่าเธอยังคงอดทน
"แม่"เสียงเล็กๆ ที่กรีดร้องดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก ทำให้จื่ออิงเบิกตากว้าง เธอตกตะลึงจนลืมความเจ็บไปชั่วขณะ หัวใจของเธอสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความเจ็บ แต่เพราะความตกใจและตื้นตันเหยียนเหยียนพูดได้แล้ว เหยียนเหยียนเอ่ยเรียกเธอร่างเล็กๆ ของเหยียนเหยียนสั่นเทา รีบวิ่งเข้ามาหามารดา น้ำตาไหลอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร เธอทั้งรู้สึกหวาดกลัวและตกใจ เมื่อเห็นมารดาพลัดตกลงมาต่อหน้าต่อตา เด็กหญิงรีบทรุดตัวลงข้างๆ มือเล็กๆ จับชายเสื้อของมารดาแน่น "ฮือ...แม่ แม่คะ"เสียงเล็กๆ ร้องเรียกสั่นเครือ"อาอิง"หลี่เฉินที่เพิ่งก้าวเข้ามาในลานบ้าน ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างของจื่ออิงร่วงลงมากระแทกพื้นต่อหน้าต่อตา หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ความตกใจแล่นพล่านไปทั่วร่าง โผเข้าไปหาภรรยาทันที นัยน์ตาคมเข้มฉายแววตื่นตระหนก"คุณเจ็บตรงไหน บอกผมเร็วเข้า"เสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน มือไม้สั่นเทา ไม่กล้าแตะต้องภรรยาเพราะกลัวจะทำให้เธอเจ็บหนักกว่าเดิม ยิ่งเห็นภรรยาหลั่งน้ำตาหัวใจยิ่งเหมือนถูกบีบแน่น เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวลจื่ออิงดวงตาร้อนผ่าว น้ำตานองเต็มหน้า แต่ไม่ใช่เพร
จื่ออิงกำลังจดจ่ออยู่กับการตัดเย็บชุดตัวใหม่ให้เหยียนเหยียน เสียงจักรเย็บผ้าดังกึกกักเป็นจังหวะ สายตาของเธอจับจ้องไปยังฝีเข็มที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามเนื้อผ้าทันใดนั้น เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้น"พี่สาว"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานที่กำลังเดินเข้ามา เจียงซินหยาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที ไม่ใช่ว่าเธอปิดประตูรั้วแล้วหรอกหรือ แล้วอีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างไรจื่ออิงวางผ้าในมือลง ลุกขึ้นยืนมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาราวกับเป็นบ้านตัวเอง"ฉันเห็นรั้วบ้านพี่ปิดไม่สนิท เลยถือวิสาสะเปิดเข้ามา" เจียงซินหยายิ้มบางๆ "ไม่ว่ากันใช่ไหมคะ"คำพูดนั้นทำให้จื่ออิงต้องเม้มริมฝีปาก รั้วปิดไม่สนิทงั้นหรือ เธอมั่นใจว่าปิดสนิทแล้วอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป"มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ" หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยิ่งมองคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกขัดใจกับสถานะนางเอกของอีกฝ่าย นางเอกอะไรกันไร้มารยาทสิ้นดี"เปล่าหรอกค่ะ แค่วันนี้ฉันว่างเลยพาถังถังมาเยี่ยมเหยียนเหยียน" เจียงซินหยาเอ่ยยิ้มๆ พลางหันไปมองด้านนอก "เด็กๆ ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ถังถังแกบ่นคิดถึงเหยียนเหยียนน