หลี่เฉินกลับมาพร้อมหมอวัยกลางคนที่ประจำอยู่ที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน ชายหนุ่มรีบก้าวเข้ามาอย่างร้อนใจ เห็นภรรยายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ตั่ง ใบหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังมีรอยยิ้มละมุน เขารู้ว่าเธอกำลังเจ็บ แต่ไม่อยากให้เขาและบุตรสาวกังวลจึงได้อดทนไว้
หลี่เฉินรีบตรงเข้าไปหา ก้มตัวลงมองสำรวจเธออย่างละเอียดอีกครั้ง พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากมนที่เริ่มผุดซึมออกมา
"อาอิง เจ็บตรงไหนบ้าง บอกหมอเร็วเข้า"
จื่ออิงยิ้มบางๆ
"ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดที่ข้อเท้านิดหน่อยเท่านั้น"
หมอพยักหน้ารับ ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าจื่ออิง แล้วเริ่มตรวจข้อเท้าของเธออย่างละเอียด
"ข้อเท้าได้รับแรงกระแทกค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบ โชคดีที่ไม่ได้หัก แค่ต้องระวังไม่ให้ขยับมากเกินไป เดี๋ยวหมอจะทายาและพันผ้าเอาไว้ให้"
หมอพูดพลางเปิดกล่องพยาบาล
จื่ออิงพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ในใจรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง
"ส่วนที่เหลือก็มีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ทายาวันละสองครั้งก็พอ หมอจะจัดยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบเอาไว้ให้กิน"
หมอกล่าวต่อ ขณะใช้ผ้าพันข้อเท้า จื่ออิงเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บ ทว่าเธอยังคงอดทน ไม่ส่งเสียงร้องออกมา
"ขอบคุณค่ะ คุณหมอ"
จื่ออิงเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่ว
หลี่เฉินที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
"แล้วต้องระวังอะไรเป็นพิเศษไหมครับ"
เขาถามขึ้นทันที
"ระวังอย่าให้ข้อเท้ารับน้ำหนักมากเกินไป อย่าฝืนเดินก่อนเวลา และที่สำคัญ... อย่าดื้อ"
หมอมองไปทางจื่ออิง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง คนไข้ส่วนใหญ่มักจะอยู่ไม่ค่อยนิ่ง รู้ว่าตัวเองเจ็บก็ยังจะฝืนทำนั่นนี่ จนกลายเป็นเจ็บป่วยเรื้อรัง
จื่ออิงหัวเราะแผ่วๆ
"ค่ะ ฉันจะไม่ดื้อ"
แต่หลี่เฉินกลับไม่มั่นใจนัก เขาหันมาจ้องภรรยาด้วยสายตาจับผิด
"ผมไม่แน่ใจว่าควรเชื่อคำนี้หรือไม่"
หลี่เฉินถอนหายใจ ก่อนจะกุมมือภรรยาไว้แน่น
"คราวหลังอย่าปีนขึ้นไปเองอีกนะ ถ้ามีอะไรที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้อีก ให้รอผมก่อน"
จื่ออิงแสร้งทำเป็นเมินสายตานั้น ส่วนเหยียนเหยียนที่นั่งเงียบมาตลอดขยับเข้าไปใกล้ๆ จับมืออีกข้างของมารดา แล้วพยักหน้าเหมือนจะบอกว่า "แม่ต้องเชื่อฟังนะ"
"แล้วฉันจะหายดีเมื่อไหร่หรือคะ"
จื่ออิงเอ่ยถามเสียงเครียด เพราะเธอยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
"ถ้าดูแลดีๆ ไม่ฝืนเดินก่อนเวลา อีกสี่ถึงห้าวันก็น่าจะดีขึ้น"
หลี่เฉินพยักหน้า ก่อนจะหันมามองภรรยาอีกครั้ง ดวงตาคมเข้มเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
"คุณได้ยินแล้วใช่ไหม ห้ามฝืน ห้ามเดินเองเด็ดขาด"
"เข้าใจแล้วค่ะ"
จื่ออิงตอบรับเสียงอ่อน
"แม่คะ เหยียนเหยียนจะดูแลแม่เองค่ะ"
เหยียนเหยียนเอ่ยบอกมารดา สายตาของหนูน้อยดูมุ่งมั่นอย่างยิ่ง
ซึ่งน้ำเสียงเล็กๆ ที่เพิ่งเปล่งออกมานั้น ทำให้จื่ออิงและหลี่เฉินหัวใจอ่อนยวบ เขาก้มลงลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ ขณะที่จื่ออิงเองก็ยกมือลูบแก้มลูกอย่างรักใคร่
หมอที่เห็นภาพนั้นก็อดยิ้มตามไม่ได้
"เช่นนั้นหมอไม่รบกวนแล้ว หากมีอะไรผิดปกติก็ไปที่สถานีอนามัยได้เลย"
หลี่เฉินรีบลุกขึ้นไปส่งหมอ ขณะที่ภายในบ้านสองแม่ลูกกำลังพูดคุยกันด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแห่งความสุข
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้ว และเท้าของเธอแทบไม่ได้แตะพื้นเลยสักครั้ง เพราะมีหลี่เฉินคอยอุ้มอยู่ตลอด ไม่ว่าเธอต้องการจะไปที่ไหน จะไปห้องครัว ห้องน้ำ หรือออกไปนั่งรับลมหน้าบ้าน ชายหนุ่มก็อุ้มเธอขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอมเสมอ
"ฉันเดินเองได้ค่ะ ตอนนี้ก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แค่ใช้ไม้เท้าพยุงนิดหน่อยก็พอ"
จื่ออิงพยายามค้าน แต่สามีกลับทำหน้านิ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ไม่ได้ หมอบอกว่าห้ามลงน้ำหนัก ผมไม่อยากให้เท้าคุณหายช้า"
พูดจบก็ช้อนตัวเธอขึ้นอย่างง่ายดาย ไม่ปล่อยให้เธอได้โต้แย้งอะไรอีก
จื่ออิงได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ แล้วปล่อยเลยตามเลย แม้เธอจะเขินเล็กน้อยเวลาโดนอุ้ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีคนดูแลดีขนาดนี้มันทำให้รู้สึกอบอุ่นใจจริงๆ
ในวันนี้จื่ออิงพอจะเดินเหินได้บ้างแล้ว หากแต่ยังต้องเดินอย่างช้าๆ จึงเดินออกมานั่งรับลมด้านนอก
"แม่คะ น้ำค่ะ"
เสียงใสๆ ของเหยียนเหยียนดังขึ้น เด็กหญิงตัวน้อยนั่งลงข้างๆ มารดา พร้อมยื่นแก้วน้ำในมือให้ จากนั้นมือเล็กๆ ก็จับพัดขึ้นโบกเบาๆ
"แม่ร้อนไหมคะ ให้เหยียนเหยียนพัดให้นะ"
จื่ออิงหัวเราะเบาๆ แล้วลูบศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู
"แม่ไม่ร้อนจ้ะ แต่ขอบคุณเหยียนเหยียนมากนะลูก"
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เหยียนเหยียนก็แทบจะไม่ห่างจากเธอเลย เด็กหญิงคอยอยู่ข้างๆ อย่างใกล้ชิด พยายามช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าแม่จะต้องการอะไร เหยียนเหยียนก็จะรีบจัดการให้ทันที
ยิ่งไปกว่านั้น แม่หนูตัวน้อยยังกลายเป็นเด็กช่างพูดช่างคุยไปเสียแล้ว คอยเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เธอฟังไม่ขาดปาก ไม่ให้เธอต้องรู้สึกเหงา
หลี่เฉินเดินออกมาพร้อมจานแตงโมที่เขาปอกเองกับมือ เห็นภาพภรรยากับบุตรสาวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
"เหยียนเหยียนดูแลแม่เก่งมาก"
เขาชม ก่อนจะเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ภรรยา จิ้มแตงโมสีแดงฉ่ำจ่อปากเล็กๆ ของเธอ
"วันนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไหมครับ"
หลี่เฉินถามเสียงนุ่ม พลางจิ้มแตงโมอีกชิ้นป้อนให้บุตรสาวที่อ้าปากรอ
เหยียนเหยียนเคี้ยวตุ้ยๆ ดวงตากลมโตเปล่งประกายด้วยความถูกใจในรสหวานฉ่ำนั้น
"ฉันคิดว่า ฉันหายดีแล้วนะคะ"
จื่ออิงตอบพลางขยับข้อเท้าเล็กน้อยให้ดูเป็นหลักฐาน
"หายดีแล้วหรือครับ ไหนขอผมดูหน่อยสิ"
ไม่รอให้เธอได้ปฏิเสธ หลี่เฉินก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ยกมือแตะข้อเท้าของภรรยาอย่างเบามือ ดวงตาคมกริบสำรวจดูราวกับเป็นหมอเองเสียอย่างนั้น
"หายแล้วจริงๆ ด้วย"
"ทีนี้คุณก็กลับไปทำงานได้แล้วนะคะ หยุดงานนานๆ คนอื่นจะตำหนิเอาได้"
จื่ออิงพูดยิ้มๆ พยายามเบี่ยงประเด็นให้เขาหยุดสนใจข้อเท้าของเธอ
แต่แทนที่เขาจะตอบอะไร หลี่เฉินกลับกุมมือของเธอเอาไว้แน่น ฝ่ามือใหญ่ของเขาอบอุ่นจนจื่ออิงเผลอชะงัก
"ต่อให้คุณหายแล้ว ผมก็ยังอยากดูแลคุณแบบนี้ทุกวัน"
คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้หัวใจของจื่ออิงเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ เธอรีบเบือนหน้าหนี แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
"พูดอะไรน่ะ"
เธอพึมพำเสียงเบา แต่หัวใจกลับพองโตเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะความอบอุ่นอ่อนโยนที่ได้รับจากเขา
เหยียนเหยียนมองหน้าพ่อสลับกับแม่ ก่อนจะหัวเราะคิกๆ แล้วปีนขึ้นไปนั่งตักมารดาอย่างออดอ้อน
ทุกวันที่ผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลี่เฉินดูเหมือนจะแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ เขาเปิดใจกับเธอมากขึ้น ดูคล้ายสามีภรรยาที่รักใคร่กันมากเข้าไปทุกที
บรรยากาศภายในบ้านจึงอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความสุขที่เรียบง่าย ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ล้วนเป็นช่วงเวลาที่มีค่า
จื่ออิงคิดว่าบางที การที่เธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอได้ตระหนักว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพัง แต่มีครอบครัวที่รักและห่วงใยเธออยู่เสมอ
หัวใจของเธออบอุ่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และยอมรับว่าภายในเวลาไม่นาน หลี่เฉินก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจเธอโดยไม่รู้ตัวแล้วจริงๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยมาต้อนรับหลี่เฉินตั้งแต่หน้าประตู เขาก้าวเข้าไปในครัว เห็นจื่ออิงกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ไอร้อนจากกระทะลอยขึ้นจางๆ เธอกำลังทำอาหารด้วยท่าทีตั้งอกตั้งใจ ขณะที่เหยียนเหยียนนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเล็ก กำลังเล่นตุ๊กตาอย่างเพลิดเพลิน"พ่อคะ"เสียงใสของบุตรสาวดังขึ้นทันทีที่เธอเห็นเขา ดวงตากลมโตเปล่งประกายด้วยความดีใจ รอยยิ้มไร้เดียงสาทำให้บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นขึ้นจื่ออิงหันมามองเขาตามเสียงของบุตรสาว ดวงตาของเธออ่อนโยนและอบอุ่น ริมฝีปากอิ่มเผยรอยยิ้มหวานส่งมาให้"กลับมาแล้วหรือคะ"เธอเอ่ยถามพลางวางมือจากงานตรงหน้า ก่อนเดินไปตักน้ำเย็นจากโอ่งหินแล้วยื่นส่งให้เขา"น้ำค่ะ"หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาอย่างเช่นทุกวัน ก่อนจะกลับไปจัดการกับอาหารที่เตา"อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว คุณรออีกเดี๋ยวนะคะ"เพียงเท่านั้น ความเหนื่อยล้า อารมณ์โกรธ และความหงุดหงิดไม่พอใจทั้งหมดที่คั่งค้างอยู่ในใจของเขาก็ค่อยๆ คลายลง เขาดื่มน้ำจนหมดแก้ว สัมผัสเย็นชื่นใจช่วยบรรเทาความอ่อนล้า ขณะที่ความอบอุ่นอ่อนโยนของคนตรงหน้าค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในใจ ครอบครัวที่ทำให้หัวใจสงบลงได้เสมอหลี่เฉินทอดถอนหายใจเบาๆ
หลี่เฉินยังคงมาทำงานตามปกติ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเจียงซินหยากำลังล้ำเส้น พยายามเข้าหาเขามากขึ้นจนเขารู้สึกอึดอัด และยังแสดงท่าทีให้คนอื่นเข้าใจผิด วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการซ่อมคันไถ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้"พี่เฉิน"หลี่เฉินไม่ต้องเงยหน้าขึ้นดูก็รู้ว่าเป็นใคร"มีอะไร" เขาถามเสียงเรียบโดยไม่ละมือจากงานที่ทำเจียงซินหยาลังเลเล็กน้อย สายตาเหลือบมองเหล่าชาวบ้านที่กำลังส่งสายตามาทางนี้ ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา ใบหน้าของเธอดูหม่นเศร้าราวกับถูกรังแก ซึ่งระยะหลังมานี้เธอมักจะแสดงท่าทีเช่นนี้เสมอทุกครั้งที่เข้าหาหลี่เฉิน"ฉันแค่ อยากมาช่วยค่ะ"หลี่เฉินถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเธอเต็มตา"เธอควรกลับไปทำงานในส่วนของเธอนะ"เจียงซินหยากัดริมฝีปากแน่น คล้ายมีเรื่องคับข้องใจ ไม่ยอมถอยกลับง่ายๆ จะอย่างไรวันนี้เธอก็จะต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง ตลอดหลายวันมานี้ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามเว้นระยะห่างจากเธอ และที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ก็คงเป็นเพราะหลินจื่ออิงคนเดียว "พี่เฉิน พี่ไม่รู้จริงๆ หรือคะ ว่าฉันรู้สึกยังไงกับพี่"เสียงของเจียงซินหยาสั่นไหว
หลังจากที่จื่ออิงหายดี หลี่เฉินก็กลับไปทำงานตามปกติ ท้องฟ้าของเช้าวันใหม่ดูสดใส แสงแดดส่องกระทบผืนนา แปลงข้าวสีเขียวชอุ่มทอดยาวสุดสายตา เสียงจอบกระทบดินและเสียงน้ำในร่องนาขยับไหลตามแรงดังเป็นจังหวะ หลี่เฉินก้มหน้าก้มตาเดินตรวจงานอย่างตั้งใจ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูผิดแปลกไปจากปกติเขารู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเขา บางคู่จับจ้องอย่างลังเล บางคู่มีแววสงสัย และบางคู่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น"อ้าว หลี่เฉิน กลับมาทำงานแล้วเหรอ"เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดบันทึกตรงหน้า เห็นป้าหวั่นที่ทำงานร่วมกันมาเนิ่นนานเดินเข้ามาหา และเป็นที่รู้กันดีว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงปากมาก ปากยื่นปากยาว เรื่องสั้นแค่คืบนางสามารถสร้างเรื่องราวให้ยาวมากกว่าศอก เรื่องราวที่ควรจบลงในไม่กี่คำ นางสามารถเล่าขยายให้ยาวราวกับเป็นนิทานหลายบท ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีประกายของความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มเปี่ยม"ครับ" หลี่เฉินตอบสั้นๆป้าหวั่นพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น"ได้ข่าวว่าจื่ออิงเมียของเธอหายดีแล้วหรือ"คำถามนั้นดูเหมือนปกติ แต่ท่าทางของคนถามและสายตาของคนรอบข้า
หลี่เฉินกลับมาพร้อมหมอวัยกลางคนที่ประจำอยู่ที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน ชายหนุ่มรีบก้าวเข้ามาอย่างร้อนใจ เห็นภรรยายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ตั่ง ใบหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังมีรอยยิ้มละมุน เขารู้ว่าเธอกำลังเจ็บ แต่ไม่อยากให้เขาและบุตรสาวกังวลจึงได้อดทนไว้หลี่เฉินรีบตรงเข้าไปหา ก้มตัวลงมองสำรวจเธออย่างละเอียดอีกครั้ง พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากมนที่เริ่มผุดซึมออกมา"อาอิง เจ็บตรงไหนบ้าง บอกหมอเร็วเข้า"จื่ออิงยิ้มบางๆ"ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดที่ข้อเท้านิดหน่อยเท่านั้น"หมอพยักหน้ารับ ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าจื่ออิง แล้วเริ่มตรวจข้อเท้าของเธออย่างละเอียด"ข้อเท้าได้รับแรงกระแทกค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบ โชคดีที่ไม่ได้หัก แค่ต้องระวังไม่ให้ขยับมากเกินไป เดี๋ยวหมอจะทายาและพันผ้าเอาไว้ให้"หมอพูดพลางเปิดกล่องพยาบาล จื่ออิงพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ในใจรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง"ส่วนที่เหลือก็มีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ทายาวันละสองครั้งก็พอ หมอจะจัดยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบเอาไว้ให้กิน"หมอกล่าวต่อ ขณะใช้ผ้าพันข้อเท้า จื่ออิงเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บ ทว่าเธอยังคงอดทน
"แม่"เสียงเล็กๆ ที่กรีดร้องดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก ทำให้จื่ออิงเบิกตากว้าง เธอตกตะลึงจนลืมความเจ็บไปชั่วขณะ หัวใจของเธอสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความเจ็บ แต่เพราะความตกใจและตื้นตันเหยียนเหยียนพูดได้แล้ว เหยียนเหยียนเอ่ยเรียกเธอร่างเล็กๆ ของเหยียนเหยียนสั่นเทา รีบวิ่งเข้ามาหามารดา น้ำตาไหลอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร เธอทั้งรู้สึกหวาดกลัวและตกใจ เมื่อเห็นมารดาพลัดตกลงมาต่อหน้าต่อตา เด็กหญิงรีบทรุดตัวลงข้างๆ มือเล็กๆ จับชายเสื้อของมารดาแน่น "ฮือ...แม่ แม่คะ"เสียงเล็กๆ ร้องเรียกสั่นเครือ"อาอิง"หลี่เฉินที่เพิ่งก้าวเข้ามาในลานบ้าน ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างของจื่ออิงร่วงลงมากระแทกพื้นต่อหน้าต่อตา หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ความตกใจแล่นพล่านไปทั่วร่าง โผเข้าไปหาภรรยาทันที นัยน์ตาคมเข้มฉายแววตื่นตระหนก"คุณเจ็บตรงไหน บอกผมเร็วเข้า"เสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน มือไม้สั่นเทา ไม่กล้าแตะต้องภรรยาเพราะกลัวจะทำให้เธอเจ็บหนักกว่าเดิม ยิ่งเห็นภรรยาหลั่งน้ำตาหัวใจยิ่งเหมือนถูกบีบแน่น เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวลจื่ออิงดวงตาร้อนผ่าว น้ำตานองเต็มหน้า แต่ไม่ใช่เพร
จื่ออิงกำลังจดจ่ออยู่กับการตัดเย็บชุดตัวใหม่ให้เหยียนเหยียน เสียงจักรเย็บผ้าดังกึกกักเป็นจังหวะ สายตาของเธอจับจ้องไปยังฝีเข็มที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามเนื้อผ้าทันใดนั้น เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้น"พี่สาว"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานที่กำลังเดินเข้ามา เจียงซินหยาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที ไม่ใช่ว่าเธอปิดประตูรั้วแล้วหรอกหรือ แล้วอีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างไรจื่ออิงวางผ้าในมือลง ลุกขึ้นยืนมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาราวกับเป็นบ้านตัวเอง"ฉันเห็นรั้วบ้านพี่ปิดไม่สนิท เลยถือวิสาสะเปิดเข้ามา" เจียงซินหยายิ้มบางๆ "ไม่ว่ากันใช่ไหมคะ"คำพูดนั้นทำให้จื่ออิงต้องเม้มริมฝีปาก รั้วปิดไม่สนิทงั้นหรือ เธอมั่นใจว่าปิดสนิทแล้วอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป"มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ" หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยิ่งมองคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกขัดใจกับสถานะนางเอกของอีกฝ่าย นางเอกอะไรกันไร้มารยาทสิ้นดี"เปล่าหรอกค่ะ แค่วันนี้ฉันว่างเลยพาถังถังมาเยี่ยมเหยียนเหยียน" เจียงซินหยาเอ่ยยิ้มๆ พลางหันไปมองด้านนอก "เด็กๆ ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ถังถังแกบ่นคิดถึงเหยียนเหยียนน