หลังจากพูดคุยและวางแผนเรื่องการเปิดร้านอาหารกันอยู่พักใหญ่ หลี่เฉินรู้สึกทึ่งในความคิดของคนเป็นภรรยา เมื่อเธอเสนอแนวคิดต่างๆ ออกมา เขาเองก็ยอมรับว่ามองไม่ออกว่ามันจะเป็นไปในทิศทางไหน เพราะไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน แต่พอได้ฟังเธออธิบายเหตุผล ข้อดีข้อเสีย ต้นทุน กำไร ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบจนเขาไม่มีข้อโต้แย้ง
จะว่าไปตั้งแต่ที่ภรรยาฟื้นตัวและกลับมาเป็นปกติ ชีวิตของเขาก็ดูมีระเบียบและเป็นระบบมากขึ้น ทั้งเรื่องงาน เรื่องบ้าน เรื่องลูก แม้แต่เรื่องการกินอยู่ จื่ออิงก็จัดการทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย
หลังจากทั้งสองช่วยกันคำนวณค่าใช้จ่าย และประเมินเงินทุนที่มีอยู่ หลี่เฉินจึงไม่ลังเลที่จะมอบเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาให้ภรรยาเป็นคนจัดการ
'เชื่อภรรยา...เจริญทุกคน'
หลี่เฉินเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาถือคติข้อนี้อย่างจริงจังจนกระทั่งตอนนี้ และเขาคิดว่ามันเป็นความจริงที่สุดในชีวิตของเขาในตอนนี้
จื่ออิงมองหลี่เฉินอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าเขาจะเชื่อใจเธอถึงขนาดนี้ แต่ก็อดที่จะรู้สึกดีและอบอุ่นหัวใจไม่ได้
ทั้งสองพูดคุยกันไปอีกสักพัก จนจื่ออิงเริ่มรู้สึกง่วง ตาของเธอปรือขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเผลอปิดปากหาวเบาๆ
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เธอเคยชินกับการเข้านอนตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืด จนกลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว พอเวลาล่วงเลยไปเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็เริ่มประท้วงด้วยความง่วงงุนโดยอัตโนมัติ
หลี่เฉินที่สังเกตเห็นท่าทางของเธอ อดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ สายตาที่มองภรรยาเต็มไปด้วยความเอ็นดู ก่อนที่มือใหญ่จะยื่นไปแตะที่แก้มนุ่มของเธอ แล้วลูบเบาๆ อย่างอ่อนโยน
"ง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าไปหาเช่าร้านกันอีก"
เสียงทุ้มของเขาฟังดูนุ่มนวล จื่ออิงพยักหน้าทั้งที่เปลือกตากำลังหนักอึ้ง เธอลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะเดินออกไปพร้อมหาวอีกสองสามครั้ง
พอเดินมาถึงหน้าห้องนอน ยังไม่ทันที่จื่ออิงจะเอื้อมมือไปเปิดประตู เสียงของคนที่เดินตามมาก็ดังขึ้นเสียก่อน
"อาอิง"
"คะ"
เสียงทุ้มของหลี่เฉินที่ฟังดูแผ่วเบาแต่หนักแน่นทำให้เธอหยุดชะงัก ขานรับเสียงแผ่ว ก่อนจะหันกลับไปมอง
โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างสูงก็ก้าวเข้ามาใกล้จนแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างพวกเขา
แขนแข็งแรงของหลี่เฉินยกขึ้นค้ำยันไว้กับบานประตูข้างหลังเธอ โอบล้อมตัวเธอเอาไว้ ทั้งร่างของจื่ออิงจึงเหมือนถูกโอบอยู่ในกรอบอ้อมแขนของหลี่เฉิน
ดวงตาคมของเขาจ้องมองเธอนิ่ง สายตานั้นทั้งลึกซึ้งและอบอุ่นจนหัวใจของจื่ออิงสั่นไหว
พวกเขาอยู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ความเงียบปกคลุมรอบตัว แต่กลับไม่ใช่ความอึดอัด หากเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ชวนให้ใจเต้น
อุณหภูมิรอบตัวของทั้งสองดูเหมือนจะสูงขึ้นทันที จื่ออิงสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างของเขา กลิ่นหอมจางๆ หลังการอาบน้ำ ผสมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเสื้อผ้าสะอาด ทำให้ใจของเธอเต้นแรงขึ้น
ดวงตาคมเข้มของหลี่เฉินจ้องมองเธออยู่ใกล้ๆ แววตานั้นมีทั้งความอ่อนโยน ลึกซึ้ง และบางอย่างที่ทำให้เธอหลบตาไม่กล้าสบกลับ
"คุณเฉิน"
เสียงของเธอเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ ขณะที่มือเล็กของเธอขยับไปจับชายเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว
หลี่เฉินไม่ได้เอ่ยคำใด เขาเพียงโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด ดวงตาคมกริบยังคงแน่วแน่ ราวกับต้องการสะกดเธอเอาไว้ จื่ออิงรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก
"สามี... ผมชอบให้คุณเรียกผมแบบนี้"
เสียงแหบพร่าของหลี่เฉินกระซิบอยู่ใกล้จนจื่ออิงรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ซ่าน ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาค่อยๆ ยกขึ้นเชยปลายคางมนของเธอให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ดวงตาคมกริบจ้องมองลึกลงไปในดวงตาหวานอย่างเว้าวอน
ฝ่ามือหนาอีกข้างเลื่อนเข้ามาโอบกระชับรอบเอวบางของเธอ ดึงเธอเข้ามาแนบชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ทำให้หัวใจของจื่ออิงเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่
"สามี..."
เสียงเรียกขานแผ่วเบาของเธอ ราวกับเสียงกระซิบในสายลม หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มโดยไม่รู้ตัว คล้ายคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน
เพียงคำเดียว แต่มันกลับทำให้มุมปากของหลี่เฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ดวงตาของเขาฉายแววพึงพอใจ ก่อนที่เขาจะกระซิบตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"น่ารักมากครับ"
ปลายนิ้วอุ่นลากไล้แผ่วเบาจากปลายคางมน มาหยุดนิ่งอยู่ตรงริมฝีปากอิ่มของเธอ สัมผัสอบอุ่นแผ่วเบาที่แนบชิดทำให้จื่ออิงเผลอกลั้นหายใจ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ขณะที่ทุกสัมผัสของเขากำลังปลุกเร้าความรู้สึกบางอย่างในใจของเธออย่างช้า ๆ
สายตาคมลึกซึ้งจ้องมองเข้ามาราวกับต้องการสื่อความรู้สึกทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้คำพูด และในวินาทีนั้น โลกทั้งใบของจื่ออิงเหมือนจะหยุดหมุน
ริมฝีปากอุ่นของหลี่เฉินค่อยๆ โน้มลงมาสัมผัสริมฝีปากของเธอ จื่ออิงรู้สึกเหมือนลมหายใจสะดุด ใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
สัมผัสนั้นแผ่วเบา ทว่าแนบแน่น ราวกับต้องการจารึกความรู้สึกนี้ไว้ในใจของเธอไปตลอดกาล ความอบอุ่นจากริมฝีปากของเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จื่ออิงหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปกับความรู้สึกวาบหวามที่ยากจะห้ามได้
ฝ่ามือหนาของหลี่เฉินยังคงโอบเอวเธอเอาไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างแตะเบา ๆ ที่แก้มเนียนไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้าอย่างทะนุถนอม ราวกับเธอเป็นสิ่งล้ำค่าที่เขาไม่อาจปล่อยมือ
จูบนั้นไม่ได้เร่งเร้า หากแต่เต็มไปด้วยความลึกซึ้งและอ่อนโยน จื่ออิงรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวในอกของตัวเอง และในชั่วขณะนั้น เวลารอบตัวเหมือนจะหยุดเดินเหลือเพียงเขาและเธอ ท่ามกลางความรู้สึกที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาอธิบายได้
เมื่อริมฝีปากของเขาผละออก จื่ออิงยังคงยืนนิ่ง ราวกับร่างกายไม่ได้เป็นของตัวเอง หัวใจเธอยังคงเต้นแรง รสสัมผัสจากจูบเมื่อครู่ยังคงหลงเหลืออยู่ ปลายนิ้วของเธอเผลอยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว
หลี่เฉินมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกแก้มแดงระเรื่อของเธอออกอย่างแผ่วเบา
"ฝันดีนะครับ"
เขาเอ่ยบอกเสียงนุ่ม
เป็นเพียงคำพูดง่ายๆ แต่กลับทำให้หัวใจของจื่ออิงเต้นแรงยิ่งขึ้น ราวกับจังหวะมันเริ่มผิดเพี้ยนไปหมด เธอเม้มริมฝีปากที่บวมเจ่อนิดๆ ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีอย่างขัดเขิน แล้วพึมพำตอบเสียงเบาหวิว
"ฝะ...ฝันดีค่ะ"
พูดจบ จื่ออิงก็รีบหมุนตัวเข้าไปในห้องทันที ราวกับต้องการซ่อนตัวจากสายตาร้อนแรงของเขา เธอยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์เมื่อครู่เลย ไม่คิดว่าคนมาดนิ่งแบบเขา บทจะรุก ก็เดินหน้าเสียจนเธอตั้งตัวไม่ทัน
บานประตูถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงหลี่เฉินที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองบานประตูที่เพิ่งปิดลงพลางหัวเราะเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู รอยยิ้มบางๆ แต้มขึ้นบนมุมปาก ขณะที่แววตายังคงฉายชัดถึงความพึงพอใจในทุกปฏิกิริยาของเธอ
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื
ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันแววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก"อาอิง"เสียงของเขานุ่มนวล "คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้ม
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มนั่งพิงไหล่มารดาอย่างอ่อนแรง พอท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก ร่างเล็กๆ ขยับตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ทำเอาจื่ออิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน"หืม ดูสิ คนเก่งของแม่ง่วงนอนแล้วใช่ไหมคะ"เหยียนเหยียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมใสเริ่มปรือด้วยความง่วง แต่ก็ยังฝืนลืมตาไว้ไม่ยอมหลับ"ค่ะ แต่หนูก็อยากฟังนิทานก่อนนอนก่อน" เสียงเล็กๆ พูดเบาๆ เหมือนกระซิบ พร้อมกับซุกตัวเข้าหาแม่เล็กน้อยจื่ออิงยิ้ม พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหยียนเหยียนซบใบหน้ากับอกเธออย่างง่วงงุน เธอกำลังจะลุกขึ้นเพื่อพาลูกเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว อ้อมแขนอบอุ่นของหลี่เฉินก็ยื่นเข้ามารับร่างเล็กของเหยียนเหยียนไปอย่างนุ่มนวลแต่ในจังหวะที่มือของเขาเอื้อมมารับตัวลูกสาว ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มนุ่มของคนเป็นแม่แผ่วเบาสัมผัสนั้นทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที จนสบเข้ากับดวงตาของหลี่เฉินที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยน แววตาของเขาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดใดๆ"เหนื่อยมากไหมครับวันนี้"เขาถามเบาๆ เสียงนุ่มนวลนั้น
ตลอดหลายวันมานี้ หลี่เฉินและจื่ออิงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการปรับปรุงและซ่อมแซมร้านตั้งแต่เช้ายันเย็น ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าตัวอำเภอ กลับบ้านมาก็เกือบค่ำมืด ตั้งแต่วันแรกก็เริ่มต้นด้วยการติดต่อช่างและพาช่างเข้ามาดูหน้างาน พูดคุย ปรึกษา วางแผน และต่อรองราคา จนแทบไม่มีเวลานั่งพัก โชคดีที่ช่างที่หลี่เฉินหามานั้นเป็นคนขยันและมืออาชีพ แต่ถึงอย่างนั้นการปรับปรุงและซ่อมแซมก็ใช่ว่าจะง่าย ตัวอาคารเดิมนั้นแม้โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแรง แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในอาคารกลับทรุดโทรมจนเห็นได้ชัด เพราะผ่านการใช้งานมายาวนาน หลังคากระเบื้องดินเผาหลายแผ่นแตกร้าว บางจุดมีรอยรั่ว หากมีฝนตกคาดว่าคงไหลซึมลงมาเป็นสายผนังด้านนอกลอกเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นปูนเก่า ด้านในแตกร้าวเป็นเส้นตื้นๆ เต็มไปหมด ส่วนภายในยิ่งแล้วใหญ่ พื้นไม้เดิมด้านบนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว และเต็มไปด้วยรอยครูด รอยสึกจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน โต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าโยกเยกคลอนแคลน บางตัวขาเกือบหัก ส่วนเคาน์เตอร์ด้านหน้าก็ผุพัง มีร่องรอยปลวกกินจนบางจุดทะลุ พื้นปูนเดิมก็แตกร้าวเป็นเส้นยาว ดูแล้วไม่สบายตาเอาเสียเล
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เฉินและจื่ออิงเดินออกจากร้านน้ำชาด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ วันนี้พวกเขาได้อาคารแห่งนั้นมาเป็นของตัวเองแล้ว ร้านอาหารในฝันกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงไปอีกก้าว และมันไม่ใช่ก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะต้องใช้เงินก้อนโต แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าคุ้มค่า จื่ออิงมองอาคารไม้ผสมปูนที่เพิ่งกลายเป็นของพวกเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ใจของเธอพองโตด้วยความหวัง นี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เป็นโอกาสที่เธอและหลี่เฉินจะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับครอบครัว หลี่เฉินหันไปมองภรรยา ก่อนจะยื่นมือไปกอบกุมมือของเธอไว้แน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวภรรยา ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำสิ่งใด เขาก็พร้อมจะเดินเคียงข้าง คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับหลี่เฉินแล้ว ตอนนี้จื่ออิงไม่ใช่เพียงแค่ภรรยา แต่เป็นคู่ชีวิตที่เขาอยากก้าวผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตไปด้วยกันทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คน เสียงรถลาที่แล่นผ่านไปมา และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลม พวกเขารู้ดีว่าหน