หลังจากกล่อมเหยียนเหยียนจนหลับสนิท จื่ออิงก็เดินออกมาหาหลี่เฉินที่นั่งรอเธออยู่ในห้องโถง ดวงตาคมของเขาจับจ้องเธอตั้งแต่ที่เธอก้าวเท้าออกมาจากห้อง
จื่ออิงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่ม เธอไม่มั่นใจว่าเขาจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอกำลังจะทำหรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เธอก็ไม่ควรถอย
การเปิดร้านอาหารในช่วงปี 1980 ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าจีนจะเริ่มเปิดประเทศ และมีการผ่อนคลายนโยบายเศรษฐกิจมากขึ้น แต่การทำธุรกิจส่วนตัวยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ในหลายพื้นที่ ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยนี้ เธอยังต้องพึ่งพาหลี่เฉิน และในฐานะสามีภรรยา เธอไม่อาจตัดสินใจเพียงลำพังโดยไม่ปรึกษาเขาได้
หลี่เฉินมองภรรยาเงียบๆ แววตาเจือด้วยความสงสัยถึงเรื่องที่เธอต้องการจะคุยกับเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางของเธอ เขาก็เพียงเอื้อมมือไปหยิบกาน้ำชา รินชาอุ่นๆ ลงในถ้วยเล็ก แล้วยื่นให้เธอด้วยท่าทางใส่ใจ ราวกับอยากให้เธอผ่อนคลาย
"ดื่มน้ำชาก่อนครับ"
จื่ออิงรับถ้วยชามาถือไว้ ความอุ่นจากน้ำชาซึมเข้าสู่ฝ่ามือ ทำให้หัวใจที่เต้นแรงเพราะความประหม่าและความคิดที่สับสนวุ่นวาย ค่อยๆ สงบลง
หลังจากรอให้ภรรยาดื่มน้ำชาจนหมดถ้วย หลี่เฉินจึงได้เอ่ยถามขึ้น
"มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ"
น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำนุ่มลึกแฝงไปด้วยความอ่อนโยน แววตาฉายแววสงสัย แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น และรอฟังเธออย่างตั้งใจ
จื่ออิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ฉันอยากเปิดร้านขายอาหารในตัวอำเภอค่ะ"
หลังจากที่คิดใคร่ครวญมาหลายวัน เธอคิดว่าการเปิดร้านอาหารดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบและถนัดที่สุด
หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น สายตาคมกริบทอดมองภรรยาด้วยความสนใจ เขาไม่ได้คัดค้าน แต่ต้องการฟังเหตุผลของเธอให้มากกว่านี้
"ทำไมถึงอยากเปิดร้านล่ะครับ"
น้ำเสียงของเขานุ่มนวล แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ ไม่มีท่าทีคัดค้าน แต่แววตาฉายแววสนใจ
จื่ออิงยิ้มบางเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีขัดขวาง เธอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะตั้งใจอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผล
"ฉันคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่หายป่วยฉันก็อยากหางานทำ ฉันอยากหาเงินให้ได้เยอะๆ วันนั้นที่เราไปตลาดกัน ฉันสังเกตเห็นว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก ดูเหมือนรัฐบาลจะผ่อนปรนกฎเกณฑ์ลง มีร้านค้ามากมายที่ไม่ใช่ของรัฐเกิดขึ้นในตัวอำเภอ"
ในช่วงยุค 80 จีนเริ่มมีการอนุญาตให้ประชาชนทำธุรกิจส่วนตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะร้านอาหารและแผงลอยซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะคนเริ่มมีรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองและอำเภอที่มีผู้คนพลุกพล่าน ต่อไปร้านอาหารขนาดเล็กและแผงลอยจะเริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง
เธอหยุดเล็กน้อยเพื่อเรียบเรียงคำพูด และดูปฏิกิริยาของหลี่เฉิน เมื่อเห็นว่าเขายังตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอพูด จึงเอ่ยต่อไป
"แต่ฉันสังเกตว่าร้านอาหารดีๆ ยังมีไม่มาก อาหารบางอย่างก็ไม่มีขายเลย ฉันคิดว่าถ้าเปิดร้านอาหารที่มีรสชาติอร่อยและราคาสมเหตุสมผล น่าจะมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยค่ะ"
ร้านอาหารหลักๆ ในตอนนี้เป็นของรัฐ ซึ่งมีเมนูจำกัด และรสชาติค่อนข้างธรรมดา แต่มีราคาถูก เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ส่วนรถเข็นและร้านแผงลอยข้างทางก็เป็นอาหารแบบง่ายๆ ธรรมดาๆ และช่วงนี้เป็นต้นยุค 80 ร้านอาหารเอกชนจึงยังมีไม่มากนัก แต่พอปลายยุค 80 ก็เริ่มมีเพิ่มขึ้น อาหารที่ขายมักเป็นเมนูง่าย ๆ
หลี่เฉินมองภรรยาของเขา แววตาฉายประกายครุ่นคิด
"คุณวางแผนเรื่องนี้มาดีแล้วหรือยังครับ"
จื่ออิงพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น
"ฉันมีสูตรอาหารหลายอย่างที่มั่นใจว่าคนต้องชอบ และถ้าเริ่มจากร้านเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ขยับขยายก็น่าจะไปได้ดีค่ะ"
เธอไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะกลัวว่าเขาจะสงสัยว่าเธอรู้เรื่องเศรษฐกิจและการค้าขายมากเกินไป ทั้งที่เธอเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยไม่นาน
เธอจะเปิดร้านอาหารโดยเริ่มจากร้านขนาดเล็กก่อน ถ้าอาหารอร่อยและบริการดี โอกาสขยายกิจการก็มีสูง โดยเฉพาะถ้าเป็นช่วงปลายยุค 80 ที่เศรษฐกิจเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ถึงตอนนั้นร้านของเธอก็คงจะกลายเป็นที่รู้จักหยั่งรากลึกไปแล้ว
หลี่เฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ
"ถ้านั่นคือสิ่งที่อาอิงอยากทำ ผมก็จะสนับสนุนครับ"
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย หัวใจอบอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอไม่คิดว่าเขาจะเห็นด้วยง่ายขนาดนี้
"จริงเหรอคะ"
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือมากุมมือเธอเอาไว้
"คุณไม่คิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เหรอคะ"
เธอมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เอ่ยถามเขาอีกครั้ง
"ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ"
หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ
"อาอิงของผมเก่งอยู่แล้ว ทำอาหารอร่อยขนาดนี้ ผมเชื่อว่าถ้าคุณเปิดร้าน ต้องขายดีแน่ๆ"
คำพูดของเขาทำให้จื่ออิงคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาคู่งามส่องประกายเจิดจ้า
"ขอบคุณค่ะ คุณเฉ..."
เธอชะงักเมื่อนึกถึงสายตาที่เขามองเธอ การกระทำและคำพูดมากมายก่อนหน้านี้ ก่อนจะเม้มปากเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนคำเรียก
"ขอบคุณนะคะ...สามี"
จื่ออิงอยากเรียกเขาด้วยคำคำนี้ คำที่ไม่มีใครสามารถเรียกเขาได้นอกจากเธอ และเป็นคำเรียกขานที่บ่งบอกว่าตอนนี้เธอยอมรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างเต็มใจ
หลี่เฉินชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาที่มองเธอทอประกายบางอย่าง ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
"พูดแบบนี้ น่ารักมากครับ แบบนี้ต้องให้รางวัล"
เขายกมือเธอขึ้นก่อนจะแนบริมฝีปากร้อนลงมา กดจุมพิตลงบนหลังมือของเธอเบาๆ จื่ออิงใบหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที
"ทำอะไรคะเนี่ย"
เสียงของเธอเต็มไปด้วยความขัดเขิน ขณะที่หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองอบอุ่นเป็นกันเองขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
หลังจากที่ได้พูดคุยกัน หลี่เฉินก็ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ สายตาไม่ละไปจากใบหน้าภรรยา เขายังคงกุมมือของเธอเอาไว้
"อาอิง"
จื่ออิงชะงัก ดวงตากะพริบถี่มองสบตาคนที่กำลังจ้องมองเธออยู่ ขานรับอีกฝ่ายเสียงเบา
"คะ"
"ความจริงผมเองก็มีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกคุณ"
หลี่เฉินเม้มปากลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา
"คือว่าผม ลาออกจากงานในหมู่บ้านแล้วครับ"
ความจริงเขาคิดเรื่องลาออกมาสักพักแล้ว ตั้งแต่วันที่จื่ออิงฟื้นตัวจากอาการป่วย เขาก็เริ่มทบทวนอนาคตของครอบครัวมากขึ้น งานที่ทำอยู่แม้จะมั่นคงในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่มีโอกาสเติบโต รายได้ที่ได้รับก็เพียงพอแค่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่อาจสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับภรรยาและลูกได้
เขาอยากให้เหยียนเหยียนได้รับการศึกษาที่ดี มีโอกาสเรียนสูงๆ และอยากให้ลูกกับภรรยามีชีวิตที่สุขสบายมากกว่านี้
เขาพอจะมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งตั้งใจเก็บไว้เพื่ออนาคตของบุตรสาว แต่เมื่อคิดถึงทางเลือกอื่นๆ เขากลับรู้สึกว่าการใช้เงินก้อนนี้มาต่อยอดทำธุรกิจอาจเป็นทางออกที่ดีกว่า แทนที่จะปล่อยให้มันอยู่เฉยๆ เขาคิดจะเริ่มต้นจากการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ แบบซื้อมาขายไปก่อน แล้วค่อยขยับขยาย
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังลังเล เพราะกลัวว่าหากพลาดขึ้นมา ครอบครัวจะต้องลำบาก แต่พอเกิดเรื่องของเจียงซินหยาขึ้นมาจึงทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ก่อนกลับบ้านในวันนี้ เขาจึงตัดสินใจแวะไปพบหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อทำเรื่องลาออก แม้จะรู้ว่านี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ แต่เขาก็พร้อมจะเสี่ยง หากมันหมายถึงอนาคตที่ดีขึ้นของครอบครัว
หลี่เฉินอยากบอกจื่ออิงถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ที่กลับมาถึงบ้าน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เขาไม่อยากให้เธอต้องกังวล
จนกระทั่งภรรยาเอ่ยปากว่าอยากจะเปิดร้านอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองกับภรรยาจะมีความคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกันถึงขนาดนี้ ความไม่มั่นใจ ไม่สบายใจที่มีอยู่ก็พลันหายไป ราวกับสิ่งที่เขากำลังมองหาได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว
เมื่อได้เห็นความตั้งใจของภรรยา เขาก็มั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเขาไม่ใช่เรื่องผิดพลาด
จื่ออิงนิ่งค้างไปชั่วขณะ ดวงตากลมโตไหวระริก ขณะที่จ้องมองสามีด้วยความตกใจ
"คุณลาออกจากงานแล้วเหรอคะ"
เธอถามเสียงแผ่ว เบื้องลึกในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หลี่เฉินพยักหน้า สบตาภรรยาด้วยสายตามั่นคง
"ใช่ครับ และผมก็ตัดสินใจดีแล้ว"
เขากุมมือเธอไว้แน่นขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่นและจริงจัง
"ผมคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ผมรู้ว่าถ้ายังทำงานนี้ต่อไป เราคงไม่มีโอกาสก้าวหน้า ยิ่งคิดถึงอนาคตของเหยียนเหยียน ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง"
จื่ออิงเงียบไปครู่หนึ่ง มองใบหน้าของสามีที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
"แล้ว... คุณคิดเอาไว้ว่าจะทำอะไรต่อไปเหรอคะ"
หลี่เฉินคลี่ยิ้มบางๆ ดวงตาฉายแววอบอุ่นปะปนไปกับความคาดหวัง
"ผมตั้งใจจะทำการค้า ตอนแรกกะจะเริ่มจากการซื้อมาขายไปก่อน ใช้เงินเก็บก้อนหนึ่งที่เตรียมไว้ให้เหยียนเหยียนมาลงทุน แต่ก็ยังลังเล เพราะไม่แน่ใจว่าจะไปได้ดีแค่ไหน"
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลูบหลังมือของภรรยาเบาๆ
"แต่พอคุณพูดว่าอยากเปิดร้านอาหาร ผมก็คิดว่าบางที นี่อาจเป็นโอกาสของเรา"
จื่ออิงเบิกตาขึ้นเล็กน้อย หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
"คุณหมายความว่า..."
"เรามาทำมันด้วยกันเถอะครับ"
หลี่เฉินพูดเสียงหนักแน่น ดวงตาฉายแววแน่วแน่
"เรามาร่วมมือกัน สร้างอนาคตของครอบครัวไปพร้อมกันนะครับอาอิง"
จื่ออิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เธอไม่คิดว่าการตัดสินใจของเธอในวันนี้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครอบครัวขนาดนี้ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของสามี เธอกลับรู้สึกอบอุ่นใจ
"ค่ะ เราจะสร้างอนาคตไปด้วยกัน"
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื
ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันแววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก"อาอิง"เสียงของเขานุ่มนวล "คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้ม
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มนั่งพิงไหล่มารดาอย่างอ่อนแรง พอท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก ร่างเล็กๆ ขยับตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ทำเอาจื่ออิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน"หืม ดูสิ คนเก่งของแม่ง่วงนอนแล้วใช่ไหมคะ"เหยียนเหยียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมใสเริ่มปรือด้วยความง่วง แต่ก็ยังฝืนลืมตาไว้ไม่ยอมหลับ"ค่ะ แต่หนูก็อยากฟังนิทานก่อนนอนก่อน" เสียงเล็กๆ พูดเบาๆ เหมือนกระซิบ พร้อมกับซุกตัวเข้าหาแม่เล็กน้อยจื่ออิงยิ้ม พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหยียนเหยียนซบใบหน้ากับอกเธออย่างง่วงงุน เธอกำลังจะลุกขึ้นเพื่อพาลูกเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว อ้อมแขนอบอุ่นของหลี่เฉินก็ยื่นเข้ามารับร่างเล็กของเหยียนเหยียนไปอย่างนุ่มนวลแต่ในจังหวะที่มือของเขาเอื้อมมารับตัวลูกสาว ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มนุ่มของคนเป็นแม่แผ่วเบาสัมผัสนั้นทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที จนสบเข้ากับดวงตาของหลี่เฉินที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยน แววตาของเขาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดใดๆ"เหนื่อยมากไหมครับวันนี้"เขาถามเบาๆ เสียงนุ่มนวลนั้น
ตลอดหลายวันมานี้ หลี่เฉินและจื่ออิงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการปรับปรุงและซ่อมแซมร้านตั้งแต่เช้ายันเย็น ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าตัวอำเภอ กลับบ้านมาก็เกือบค่ำมืด ตั้งแต่วันแรกก็เริ่มต้นด้วยการติดต่อช่างและพาช่างเข้ามาดูหน้างาน พูดคุย ปรึกษา วางแผน และต่อรองราคา จนแทบไม่มีเวลานั่งพัก โชคดีที่ช่างที่หลี่เฉินหามานั้นเป็นคนขยันและมืออาชีพ แต่ถึงอย่างนั้นการปรับปรุงและซ่อมแซมก็ใช่ว่าจะง่าย ตัวอาคารเดิมนั้นแม้โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแรง แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในอาคารกลับทรุดโทรมจนเห็นได้ชัด เพราะผ่านการใช้งานมายาวนาน หลังคากระเบื้องดินเผาหลายแผ่นแตกร้าว บางจุดมีรอยรั่ว หากมีฝนตกคาดว่าคงไหลซึมลงมาเป็นสายผนังด้านนอกลอกเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นปูนเก่า ด้านในแตกร้าวเป็นเส้นตื้นๆ เต็มไปหมด ส่วนภายในยิ่งแล้วใหญ่ พื้นไม้เดิมด้านบนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว และเต็มไปด้วยรอยครูด รอยสึกจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน โต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าโยกเยกคลอนแคลน บางตัวขาเกือบหัก ส่วนเคาน์เตอร์ด้านหน้าก็ผุพัง มีร่องรอยปลวกกินจนบางจุดทะลุ พื้นปูนเดิมก็แตกร้าวเป็นเส้นยาว ดูแล้วไม่สบายตาเอาเสียเล
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เฉินและจื่ออิงเดินออกจากร้านน้ำชาด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ วันนี้พวกเขาได้อาคารแห่งนั้นมาเป็นของตัวเองแล้ว ร้านอาหารในฝันกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงไปอีกก้าว และมันไม่ใช่ก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะต้องใช้เงินก้อนโต แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าคุ้มค่า จื่ออิงมองอาคารไม้ผสมปูนที่เพิ่งกลายเป็นของพวกเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ใจของเธอพองโตด้วยความหวัง นี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เป็นโอกาสที่เธอและหลี่เฉินจะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับครอบครัว หลี่เฉินหันไปมองภรรยา ก่อนจะยื่นมือไปกอบกุมมือของเธอไว้แน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวภรรยา ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำสิ่งใด เขาก็พร้อมจะเดินเคียงข้าง คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับหลี่เฉินแล้ว ตอนนี้จื่ออิงไม่ใช่เพียงแค่ภรรยา แต่เป็นคู่ชีวิตที่เขาอยากก้าวผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตไปด้วยกันทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คน เสียงรถลาที่แล่นผ่านไปมา และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลม พวกเขารู้ดีว่าหน