แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อนเข้ามา ทาบแสงละมุนแตะผิวแก้มของจื่ออิงราวกับต้องการปลุกเธอให้ตื่นจากการหลับใหล
เปลือกตาบอบบางค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่งามที่ฉายแววอ่อนโยน หญิงสาวพลิกกายขยับตัวเล็กน้อยเอื้อมมือไปยังข้างกายเพื่อปลุกบุตรสาว แต่กลับพบว่าพื้นที่ข้างๆ ว่างเปล่า ความอบอุ่นจางๆ บนที่นอนบ่งบอกว่าบุตรสาวตัวน้อยของเธอคงตื่นก่อนแล้ว
เมื่อคืนนี้กว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ผ่านไปครึ่งค่อนคืน วันนี้จึงทำให้เธอตื่นสายกว่าปกติ แต่เธอกลับรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะเมื่อคืน เธอนอนหลับไปพร้อมกับความสุขที่อ้อยอิ่งอยู่ในใจ
เมื่อคืนนี้จำได้ว่าเธอหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม
เพียงแค่คิดถึงช่วงเวลานั้น ก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นซ่านที่ยังหลงเหลืออยู่ในอก หัวใจของจื่ออิงเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ดวงหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงไม่ต้องมองกระจก เธอก็มั่นใจว่าแก้มของตัวเองคงต้องกำลังแดงก่ำเป็นแน่
จื่ออิงเม้มริมฝีปากแน่น ขัดเขินกับความทรงจำที่ยังคงแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
เธอยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ คล้ายจะสัมผัสร่องรอยของความอบอุ่น วาบหวามที่ยังคงติดอยู่ และคล้ายจะได้ยินเสียงของหลี่เฉินดังก้องอยู่ในหัว
'ฝันดีนะครับ' คำพูดเรียบง่าย เพียงประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกโอบกอดด้วยความอ่อนโยน
จื่ออิงสะบัดศีรษะเบาๆ พยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป แต่ยิ่งพยายาม มันกลับยิ่งชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เธอถอนหายใจยาว ก่อนจะมองไปรอบห้อง บรรยากาศเงียบสงบแต่ไม่ว่างเปล่า เสียงฝีเท้าเล็กๆ และเสียงขยับของบางสิ่งบางอย่างจากด้านนอกดังขึ้น คงเป็นของบุตรสาวตัวน้อยที่คงกำลังวุ่นวายอยู่กับอะไรบางอย่าง
จื่ออิงลุกจากเตียง เมื่อเธอเดินออกจากห้องนอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารก็ลอยมาแตะจมูก เสียงพูดคุยเบาๆ ดังมาจากห้องครัว เธอเดินตรงไปยังต้นเสียง แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้หัวใจของเธออบอุ่นขึ้นอีกครั้ง
เหยียนเหยียนน้อยยืนอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก ข้างๆ หลี่เฉินที่กำลังจัดอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ เด็กหญิงตัวน้อยสวมผ้ากันเปื้อนตัวจิ๋ว มือเล็กๆ กำลังตั้งใจโรยต้นหอมใส่ถ้วยข้าวต้มด้วยสีหน้าจริงจัง
"พ่อขา แบบนี้ใช้ได้ไหมคะ"
หลี่เฉินก้มลงมองลูกสาวแล้วยิ้มก่อนพยักหน้า
"เก่งมากเลยเหยียนเหยียน แม่ต้องชอบมากแน่ๆ เดี๋ยวพ่อไปยกจานแป้งทอด แล้วหนูไปเรียกแม่มากินข้าวกันนะ"
จื่ออิงยืนมองภาพนั้นอย่างเงียบๆ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดวงตาของเธอฉายแววอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความสุข ความรู้สึกอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นมาในใจ
ครั้งหนึ่งเธอเคยโหยหาความรู้สึกและชีวิตแบบนี้ ตอนนั้น เธอเคยคิดว่า 'ครอบครัวอบอุ่น' สำหรับเธอเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้เธอได้รับทั้งความสุขและความรัก มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้า หัวใจของเธอเต้นช้าลงคล้ายจะซึมซับช่วงเวลานี้ให้ลึกที่สุด เธอมีครอบครัว มีคนที่รักและห่วงใยเธออย่างแท้จริง
จื่ออิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปล่อยให้หัวใจของเธอซึมซับความอบอุ่นที่ค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาคนทั้งสองที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
"แม่มาแล้ว"
เสียงใสแจ๋วดังขึ้นพร้อมกับที่เด็กน้อยกระโดดลงจากเก้าอี้ตัวเล็กแล้ววิ่งตรงไปหามารดา ดวงตากลมโตของเด็กหญิงเป็นประกาย ริมฝีปากเล็กๆ คลี่ยิ้มกว้าง
จื่ออิงรีบโน้มตัวลงรับบุตรสาวเข้ามาในอ้อมแขน แขนเล็กๆ ของเหยียนเหยียนโอบรอบคอของเธอแน่น กลิ่นแป้งสาลีจางๆ จากตัวเหยียนเหยียนทำให้เธอเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
"ทำอะไรกันอยู่คะ"
เธอถามเสียงนุ่ม
หลี่เฉินเดินเข้ามา มือข้างหนึ่งถือจานแป้งทอดที่เพิ่งยกมาจากเตา เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
"เช้านี้เหยียนเหยียนเข้าครัวมาช่วยทำอาหารให้คุณด้วย คุณต้องกินเยอะๆ นะครับ"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะวางจานแป้งทอดลงบนโต๊ะ
เหยียนเหยียนเงยหน้ามองมารดาด้วยดวงตากลมโตเปล่งประกาย ก่อนจะผละออกจากอ้อมแขนของจื่ออิงแล้วพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความภาคภูมิใจ
"หนูช่วยพ่อนวดแป้งเองเลยนะคะ แล้วก็โรยต้นหอมในข้าวต้มด้วย แม่ต้องลองชิมดูนะ"
จื่ออิงหัวเราะเบาๆ แล้วลูบผมลูกสาวอย่างเอ็นดู
"เหยียนเหยียนตั้งใจขนาดนี้ จะไม่อร่อยได้อย่างไร แม่จะกินให้หมดเลย"
หลี่เฉินมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือไปยกแม่หนูน้อยขึ้นอุ้ม แล้ววางเธอลงบนเก้าอี้ประจำของเธอ จากนั้นเขาก็หันไปเลื่อนเก้าอี้อีกตัวให้ภรรยา นัยน์ตาคมฉายแววอ่อนโยน
"ขอบคุณค่ะ"
จื่ออิงเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆ ดวงตาของเขาสบกับเธออย่างอ่อนโยน ราวกับจะบอกว่า 'เขายินดีทำทุกอย่างให้เธอ'
หลังจากรับประทานอาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา เสียงหัวเราะและบทสนทนาแสนอบอุ่นยังคงดังก้องอยู่ในบรรยากาศของบ้าน เหยียนเหยียนตัวน้อยดูภูมิใจที่ได้ช่วยทำอาหาร แถมยังบอกว่าต่อไปเธอจะเป็นคนทำอาหารให้พ่อกับแม่ทานอีกด้วย
เมื่อมื้อเช้าจบลง สามคนพ่อแม่ลูกก็ช่วยกันเก็บโต๊ะและล้างจาน เสร็จแล้วพวกเขาก็พากันขี่จักรยานไปที่บ้านข้างๆ ที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก ซึ่งเป็นบ้านของป้าโจว หญิงสูงวัยใจดีที่เป็นคนแรกๆ ที่จื่ออิงมาทำความรู้จัก
ป้าโจวไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนบ้านที่ดี แต่ยังผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ระยะหลังมานี้เหยียนเหยียนก็มักจะมาวิ่งเล่นที่บ้านของป้าโจวบ่อยๆ จนสนิทสนมกัน
เมื่อทั้งสามคนมาถึง หลี่เฉินก็เอื้อมมือไปเคาะประตูเบาๆ ไม่นานนัก ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นของเจ้าของบ้าน
"อ้าว เหยียนเหยียนเองหรือ"
ป้าโจวเอ่ยทัก ดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตา
จื่ออิงยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
"ป้าโจวคะ วันนี้ฉันกับหลี่เฉินต้องเข้าไปทำธุระในตัวอำเภอ ไม่สะดวกพาเหยียนเหยียนไปด้วย เลยอยากขอรบกวนฝากเหยียนเหยียนไว้กับป้าได้ไหมคะ"
ป้าโจวโบกมือยิ้มๆ
"ได้สิจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจเลย ป้ายินดีอยู่แล้ว"
แล้วหญิงสูงวัยก็หันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนอยู่
"ว่าแต่เหยียนเหยียน วันนี้เราจะทำอะไรกันดีเอ่ย"
ดวงตากลมโตของเหยียนเหยียนเป็นประกายทันที เด็กหญิงยิ้มกว้างก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
"หนูจะช่วยคุณยายปลูกผักค่ะ"
ป้าโจวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเอ็นดู
"ดีเลยจ้ะ งั้นวันนี้เรามาช่วยกันปลูกผักนะ"
หลี่เฉินย่อตัวลงลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ
"วันนี้พ่อกับแม่มีธุระ เหยียนเหยียนอยู่กับคุณยายห้ามดื้อห้ามซนนะครับ”
เหยียนเหยียนพยักหน้าหงึกๆ อย่างว่าง่าย ไม่มีทีท่างอแงเลยสักนิด เธอเข้าใจดีและคุ้นเคยกับคุณยายโจวอยู่แล้ว
"ค่ะพ่อ หนูจะเป็นเด็กดีนะ"
จื่ออิงย่อตัวลงกอดลูกสาว เอ่ยบอกเสียงอ่อนโยน
"เก่งมากเลยค่ะ เดี๋ยวแม่กับพ่อกลับมารับนะ แล้วแม่จะซื้อขนมอร่อยมาฝาก"
เหยียนเหยียนหอมแก้มมารดาทีหนึ่งเป็นการขอบคุณ ก่อนจะปล่อยมือแล้วหันไปจับมือคุณยายโจว เด็กหญิงดูตื่นเต้นที่จะได้ช่วยปลูกผัก บ้านของคุณยายมีผักมากมายเต็มไปหมด
ขณะที่หลี่เฉินกับจื่ออิงมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ
เมื่อแน่ใจว่าลูกสาวอยู่ในมือคนที่ไว้ใจได้แล้ว ทั้งสองจึงกล่าวลาและออกเดินทางเข้าไปในตัวอำเภอ เพื่อไปสำรวจและหาเช่าสถานที่สำหรับร้านอาหารของพวกเขา
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื
ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันแววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก"อาอิง"เสียงของเขานุ่มนวล "คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้ม
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มนั่งพิงไหล่มารดาอย่างอ่อนแรง พอท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก ร่างเล็กๆ ขยับตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ทำเอาจื่ออิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน"หืม ดูสิ คนเก่งของแม่ง่วงนอนแล้วใช่ไหมคะ"เหยียนเหยียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมใสเริ่มปรือด้วยความง่วง แต่ก็ยังฝืนลืมตาไว้ไม่ยอมหลับ"ค่ะ แต่หนูก็อยากฟังนิทานก่อนนอนก่อน" เสียงเล็กๆ พูดเบาๆ เหมือนกระซิบ พร้อมกับซุกตัวเข้าหาแม่เล็กน้อยจื่ออิงยิ้ม พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหยียนเหยียนซบใบหน้ากับอกเธออย่างง่วงงุน เธอกำลังจะลุกขึ้นเพื่อพาลูกเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว อ้อมแขนอบอุ่นของหลี่เฉินก็ยื่นเข้ามารับร่างเล็กของเหยียนเหยียนไปอย่างนุ่มนวลแต่ในจังหวะที่มือของเขาเอื้อมมารับตัวลูกสาว ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มนุ่มของคนเป็นแม่แผ่วเบาสัมผัสนั้นทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที จนสบเข้ากับดวงตาของหลี่เฉินที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยน แววตาของเขาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดใดๆ"เหนื่อยมากไหมครับวันนี้"เขาถามเบาๆ เสียงนุ่มนวลนั้น
ตลอดหลายวันมานี้ หลี่เฉินและจื่ออิงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการปรับปรุงและซ่อมแซมร้านตั้งแต่เช้ายันเย็น ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าตัวอำเภอ กลับบ้านมาก็เกือบค่ำมืด ตั้งแต่วันแรกก็เริ่มต้นด้วยการติดต่อช่างและพาช่างเข้ามาดูหน้างาน พูดคุย ปรึกษา วางแผน และต่อรองราคา จนแทบไม่มีเวลานั่งพัก โชคดีที่ช่างที่หลี่เฉินหามานั้นเป็นคนขยันและมืออาชีพ แต่ถึงอย่างนั้นการปรับปรุงและซ่อมแซมก็ใช่ว่าจะง่าย ตัวอาคารเดิมนั้นแม้โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแรง แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในอาคารกลับทรุดโทรมจนเห็นได้ชัด เพราะผ่านการใช้งานมายาวนาน หลังคากระเบื้องดินเผาหลายแผ่นแตกร้าว บางจุดมีรอยรั่ว หากมีฝนตกคาดว่าคงไหลซึมลงมาเป็นสายผนังด้านนอกลอกเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นปูนเก่า ด้านในแตกร้าวเป็นเส้นตื้นๆ เต็มไปหมด ส่วนภายในยิ่งแล้วใหญ่ พื้นไม้เดิมด้านบนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว และเต็มไปด้วยรอยครูด รอยสึกจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน โต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าโยกเยกคลอนแคลน บางตัวขาเกือบหัก ส่วนเคาน์เตอร์ด้านหน้าก็ผุพัง มีร่องรอยปลวกกินจนบางจุดทะลุ พื้นปูนเดิมก็แตกร้าวเป็นเส้นยาว ดูแล้วไม่สบายตาเอาเสียเล
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เฉินและจื่ออิงเดินออกจากร้านน้ำชาด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ วันนี้พวกเขาได้อาคารแห่งนั้นมาเป็นของตัวเองแล้ว ร้านอาหารในฝันกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงไปอีกก้าว และมันไม่ใช่ก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะต้องใช้เงินก้อนโต แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าคุ้มค่า จื่ออิงมองอาคารไม้ผสมปูนที่เพิ่งกลายเป็นของพวกเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ใจของเธอพองโตด้วยความหวัง นี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เป็นโอกาสที่เธอและหลี่เฉินจะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับครอบครัว หลี่เฉินหันไปมองภรรยา ก่อนจะยื่นมือไปกอบกุมมือของเธอไว้แน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวภรรยา ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำสิ่งใด เขาก็พร้อมจะเดินเคียงข้าง คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับหลี่เฉินแล้ว ตอนนี้จื่ออิงไม่ใช่เพียงแค่ภรรยา แต่เป็นคู่ชีวิตที่เขาอยากก้าวผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตไปด้วยกันทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คน เสียงรถลาที่แล่นผ่านไปมา และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลม พวกเขารู้ดีว่าหน