ทันทีที่มาถึงร้านของพวกเขา จื่ออิงกับหลี่เฉินก็หันมายิ้มให้กัน ทั้งคู่ยืนมองอาคารตรงหน้าด้วยความภูมิใจและพึงพอใจ จากอาคารเก่าทรุดโทรมที่เคยเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว และร่องรอยการชำรุดจากกาลเวลา ได้รับการปรับปรุงจนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลับกลายเป็นอาคารที่ดูสวยงามและมีเสน่ห์จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถานที่เดียวกัน
อาคารตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก ผนังสีขาวสะอาดตาด้านหน้าร้านที่เพิ่งทาสีเสร็จไม่นาน ถูกแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกไม้จางๆ สีสันไม่จัดจ้านแต่กลับดูมีรสนิยม แฝงความละมุนละไมและความตั้งใจที่ใส่ลงไปในทุกรายละเอียด
ดูน่าดึงดูด แปลกตา มีเสน่ห์ และน่าสนใจ กลายเป็นสถานที่ที่ใครเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง
หลี่เฉินจูงมือภรรยาเดินเข้าไปในตัวอาคาร ก่อนจะแยกออกไปพูดคุยกับนายช่างเกี่ยวกับการเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามที่ภรรยาออกแบบเอาไว้ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่โต๊ะเก้าอี้และเครื่องครัวที่สั่งเอาไว้มาส่งพอดี
ส่วนจื่ออิงเลือกที่จะเดินสำรวจภายในร้าน นิ้วมือเรียวลูบผนังที่เพิ่งทาสีเสร็จเบาๆ เหมือนกำลังสัมผัสความฝันที่ค่อยๆ เป็นจริง ร้านแห่งนี้ตรงใจของเธอแทบทุกอย่าง ต้องยอมรับว่านายช่างที่หลี่เฉินติดต่อมามีฝีมือมากจริงๆ
กลิ่นฝุ่นจากไม้ใหม่และสีทาผนังยังคงคลุ้งอยู่ในอากาศ เสียงตอกตะปูเบาๆ ดังเป็นจังหวะ สลับกับเสียงฝีเท้าคนงานที่กำลังขนของเข้ามาทีละชิ้น
ร้านอาหารของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างทีละนิด แม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด แต่ตอนนี้ร้านก็เริ่มดูดีมีเสน่ห์ มีบรรยากาศที่แตกต่างจากวันแรกอย่างเห็นได้ชัด
ผนังที่เคยแตกร้าวและหม่นหมอง ถูกฉาบใหม่จนเรียบเนียน สีขาวสะอาดสะท้อนแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ตรงหน้าร้าน จื่ออิงตั้งใจสั่งทำกระจกบานนี้ขึ้นมาเอง เพราะอยากให้แสงธรรมชาติเข้ามาได้มากที่สุด ร้านจะได้ดูโปร่ง สบายตา และน่าเข้า
พื้นไม้เดิมที่ผุพัง บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นกระเบื้องดูเรียบหรู สบายตา บรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่นแต่ไม่เชย ผนังด้านหนึ่งตกแต่งด้วยอิฐโชว์แนวสีขาวหม่น เพิ่มลูกเล่นเล็กๆ ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นผนังไม้ฉลุลายแบบจีนโบราณสีน้ำตาลเข้ม
ส่วนเพดานที่เคยโล่งเรียบก็ตกแต่งด้วยไม้ตีครอบและโคมไฟทรงกลมแบบจีนที่ให้แสงนุ่มนวล แซมด้วยลวดลายจีนโบราณเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา
เธอวางแปลนร้านด้วยตัวเองทุกตารางนิ้ว อยากให้ร้านดูเหมือนสถานที่ที่หยิบอดีตกลับมาบอกเล่าใหม่อีกครั้งอย่างมีรสนิยม เป็นร้านที่มีกลิ่นอายดั้งเดิมแบบจีนโบราณ ผสมผสานกับความเรียบง่ายแบบสมัยใหม่ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีเสน่ห์เฉพาะตัว
จื่ออิงไม่ได้ต้องการแค่ ร้านอาหารธรรมดา แต่ต้องการ ให้เป็นสถานที่ ที่ทุกคนเข้ามาแล้วรู้สึกอบอุ่น สบายใจ และจดจำได้ไม่ลืม ไม่ต้องการให้เป็นเพียงแค่ร้านอาหารที่คนเข้ามากินแล้วก็จากไป แต่ต้องการสร้าง พื้นที่พิเศษ ที่ทั้งอบอุ่น นั่งสบาย และมีเสน่ห์ที่ชวนให้คนอยากกลับมาอีก
ข้าวของทุกอย่างภายในร้านถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน โต๊ะและเก้าอี้ไม้สั่งทำพิเศษเลือกใช้เป็นไม้เนื้อแข็งโดยยังคงลวดลายจีนคลาสสิก เช่น ลายเมฆ ลายดอกเหมย หรือขอบโค้งมนแบบเรือนเก่า ส่วนโคมไฟก็เลือกใช้แบบโคมผ้าไหมจีนห้อยระย้า เพิ่มบรรยากาศอบอุ่นยามค่ำคืน
เคาน์เตอร์ตัวใหญ่ถูกวางไว้ใกล้ประตูทางเข้า เป็นเคาน์เตอร์ทำจากไม้โอ๊คสีเข้ม ผิวขัดด้านเรียบหรู ผสมความร่วมสมัย ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้แห้งงดงาม แม้จะไม่ได้มีข้าวของมากมาย แต่ก็นับว่าร้านของพวกเขาดูดีและหรูหราไม่น้อย
ส่วนภายในครัวก็มีเครื่องครัวครบครัน ด้านหลังเป็นชั้นวางของที่เต็มไปด้วยขวดซอสและข้าวของเครื่องครัวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ชั้นวางของจากไม้ไผ่ที่พวกเขาไปขอซื้อมาจากหมู่บ้านข้างๆ ถูกจัดวางอยู่ชิดผนัง ตรงนั้นเธอคิดว่าจะใช้วางเครื่องปรุง และมีโคมไฟจีนโบราณแขวนไว้เหนือเคาน์เตอร์ เพิ่มกลิ่นอายของอดีตเข้ามาอย่างลงตัว
หญิงสาวเดินขึ้นบันไดไปยังระเบียงบนชั้นสองของอาคารที่ตอนนี้ถูกปรับปรุงซ่อมแซมจนแข็งแรง คงทน และดูดี พื้นที่ชั้นสองนี้ไม่ได้เปิดให้บริการ เพราะยังเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศหลังจากนโยบายเปิดประเทศ แม้รัฐจะเปิดกว้างขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้อย่างเอิกเกริก แค่ชั้นล่างก็ถือว่ากว้างขวางเกินกว่าร้านอาหารทั่วไปมากแล้ว
แต่เธอไม่ได้คิดจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ในใจของเธอมีแผนที่วางเอาไว้อย่างดี อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อประเทศเปิดกว้างมากขึ้น เศรษฐกิจเดินหน้า ผู้คนมีอิสระมากขึ้น และการค้าการขายรุ่งเรือง เธอก็จะขยับขยายทันที
แน่นอนว่าชั้นบนนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารของเธอ จื่ออิงคิดเอาไว้ว่าจะทำพื้นที่ส่วนนี้ให้กลายเป็นห้องรับรองพิเศษ ห้องส่วนตัวที่เหมาะสำหรับลูกค้ากระเป๋าหนัก แขกคนสำคัญ หรือครอบครัวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในมื้ออาหาร แต่ตอนนี้คงใช้เป็นพื้นที่สำหรับเก็บของ ทำงาน และพักผ่อนไปก่อน
จื่ออิงหลับตาลงครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก แล้วเปิดตาขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มบางๆ มุมนี้เป็นมุมสงบที่เธอชอบมากที่สุด ลมเย็นๆ จากหน้าต่างพัดผ่านเข้ามา พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้จากกระถางริมระเบียง
หญิงสาวกวาดสายตามองลงไปด้านล่าง รอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏบนใบหน้า ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังขะมักเขม้นกับงานตรงหน้า
หลี่เฉินกำลังคุมคนงานขนโต๊ะและเก้าอี้เข้ามาจัดเรียงภายในร้านด้วยความตั้งใจ เขายืนเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามขมับ พลางกวาดตามองไปทั่วร้านอย่างพินิจพิจารณา ทุกจุด ทุกมุม เขาล้วนตรวจดูให้ตรงตามความต้องการของภรรยา
ชายหนุ่มไม่เคยบ่น ไม่เคยทำท่าทีเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามเขาทุ่มเทและทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการ
จื่ออิงมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่อุ่นวาบ แค่ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งตั้งใจทำในสิ่งที่เธอรัก แค่ได้รู้ว่าเขารับฟัง เข้าใจ และลงมือทำด้วยกัน พร้อมเดินเคียงข้างในทุกก้าวมันก็เพียงพอแล้ว เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงแรงใจให้เธอก้าวต่อไป โดยไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคใดในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้
และราวกับหลี่เฉินสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังทอดมองมา เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำอยู่ แล้วหันมองตรงมาทางเธอ
จื่ออิงยิ้มบางๆ ให้เขา ดวงตาของเธอเปล่งประกายอ่อนโยนยามที่มองสบตาเขา
เมื่อสายตาสองคู่สบกัน เขาก็ละมือจากงานตรงหน้าแล้วเดินตรงมาหาเธอทันที
หลี่เฉินมาหยุดยืนเคียงข้างเธอ ร่างสูงของเขาให้ความรู้สึกมั่นคง มือหยาบจากการทำงานหนักเอื้อมมาแตะแผ่วเบาลงบนไหล่ของเธอ
"คุณยังมีตรงไหนที่อยากให้ปรับอีกไหมครับ"
เขาถามเสียงทุ้ม แววตาจริงใจเหมือนทุกครั้ง
จื่ออิงส่ายหน้าเบาๆ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม
"ไม่ค่ะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ฉันพอใจมากจริงๆ"
หลี่เฉินพยักหน้าช้าๆ ดวงตาคมของเขาไล่มองไปรอบร้านอย่างพินิจ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
"ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ติดป้ายร้านกับเก็บรายละเอียดงายอีกเล็กน้อย ร้านของเราก็พร้อมเปิดแล้วนะครับ"
เขาหันมามองหน้าเธออีกครั้ง รอยยิ้มของเขาอบอุ่นเสียจนหัวใจเธอแทบละลาย
"คุณคิดชื่อร้านไว้หรือยังครับ"
จื่ออิงหันไปสบตาเขา ดวงตาของเธอทอประกายวิบวับ เหมือนแสงแดดอุ่นที่ส่องสะท้อนผิวน้ำยามเช้า
"คิดไว้แล้วค่ะ"
เธอพูดพร้อมรอยยิ้มบาง
"แต่ไม่แน่ใจว่าคุณจะชอบหรือเปล่า"
จื่ออิงบอกกับเขา
หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ พลางยื่นมือไปจับมือเธอมากุมเอาไว้อย่างอ่อนโยน สายตาที่มองสบกันหวานเชื่อม
"ถ้าคุณเป็นคนตั้งชื่อร้านล่ะก็ ยังไงผมก็ต้องชอบอยู่แล้วครับ"
ทั้งสองยิ้มให้กัน แม้จะเหนื่อยและยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ แต่หลี่เฉินและจื่ออิงกลับรู้สึกมีความสุข หัวใจของทั้งคู่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เพราะร้านแห่งนี้คือความฝันและอนาคตของครอบครัวของพวกเขา
ยิ่งเห็นร้านค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง จื่ออิงกับหลี่เฉินก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น และอดใจรอวันที่จะได้เปิดร้านแทบไม่ไหว
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ
ทันทีที่มาถึงร้านของพวกเขา จื่ออิงกับหลี่เฉินก็หันมายิ้มให้กัน ทั้งคู่ยืนมองอาคารตรงหน้าด้วยความภูมิใจและพึงพอใจ จากอาคารเก่าทรุดโทรมที่เคยเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว และร่องรอยการชำรุดจากกาลเวลา ได้รับการปรับปรุงจนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลับกลายเป็นอาคารที่ดูสวยงามและมีเสน่ห์จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถานที่เดียวกันอาคารตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก ผนังสีขาวสะอาดตาด้านหน้าร้านที่เพิ่งทาสีเสร็จไม่นาน ถูกแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกไม้จางๆ สีสันไม่จัดจ้านแต่กลับดูมีรสนิยม แฝงความละมุนละไมและความตั้งใจที่ใส่ลงไปในทุกรายละเอียดดูน่าดึงดูด แปลกตา มีเสน่ห์ และน่าสนใจ กลายเป็นสถานที่ที่ใครเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองหลี่เฉินจูงมือภรรยาเดินเข้าไปในตัวอาคาร ก่อนจะแยกออกไปพูดคุยกับนายช่างเกี่ยวกับการเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามที่ภรรยาออกแบบเอาไว้ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่โต๊ะเก้าอี้และเครื่องครัวที่สั่งเอาไว้มาส่งพอดี ส่วนจื่ออิงเลือกที่จะเดินสำรวจภายในร้าน นิ้วมือเรียวลูบผนังที่เพิ่งทาสีเสร็จเบาๆ เหมือนกำลังสัมผัสความฝันที่ค่อยๆ เป็นจริง ร้านแห่งนี้ตรงใจของเธอแทบทุกอย่าง ต้องยอมรับว่านายช่างท
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเช้าวันจันทร์ก็มาถึง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่วันที่เหยียนเหยียนต้องไปโรงเรียนเป็นวันแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่จื่ออิงกับหลี่เฉินต้องกลับมาทุ่มเทให้กับร้านอาหารของพวกเขาอีกครั้งวันนี้จื่ออิงตื่นตั้งแต่เช้ามืด และแน่นอนตลอดสองวันมานี้เธอตื่นขึ้นมาในห้องนอนของหลี่เฉิน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกคืนหลังจากที่เหยียนเหยียนหลับสนิท หลี่เฉินก็มักจะโผล่มาแบบเงียบๆ แล้วอุ้มเธอออกจากห้องพากลับเข้าห้องของตัวเองและเขาไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนง่ายๆ หลี่เฉินลงมือรังแกเธอจนดึกดื่นค่อนคืน ผลก็คือทุกเช้า จื่ออิงก็มักจะตื่นสายกว่าที่ควรจะเป็น และก็เป็นเหมือนภาพที่ฉายซ้ำ เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นตามเวลาเป๊ะ พร้อมกับเสียงใสๆ ของเหยียนเหยียนดังอยู่ด้านหลังประตู"พ่อคะ เปิดประตู พ่อขโมยแม่มาอีกแล้วนะ"แม่หนูน้อยผู้มาเรียกร้องสิทธิ์ในการ'ทวงคืนแม่' จากพ่อหลี่เฉินจะลุกขึ้นด้วยใบหน้ายุ่งๆ แกล้งทำเสียงงัวเงีย แล้วบ่นเบาๆ ว่า"มาแย่งแม่ไปอีกแล้ว พ่อยังนอนกอดแม่ไม่พอเลยนะ"หลังจากนั้นก็เกิดเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว จื่ออิงทำได้แค่หัวเราะเบาๆ กับความวุ่นวายอ
เสียงในครัวเริ่มดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งเสียงตะหลิวกระทบกระทะ และเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ยอมอาบน้ำ แต่อยากมาช่วยมารดาทำอาหาร"อย่าเพิ่งขยับมันนะคะ เดี๋ยวไข่แดงจะแตก" จื่ออิงเตือนเบาๆ ขณะจับมือเล็กให้ห่างจากกระทะ"ก็หนูตื่นเต้นนี่นา"เหยียนเหยียนผู้อยากทอดไข่ดาวด้วยตัวเองร้องบอกมารดา ในขณะที่จ้องมองไข่ดาวในกระทะอย่างตั้งใจหลี่เฉินในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาโอบเอวภรรยาจากด้านหลังแล้วก้มลงหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่ กระซิบถามข้างหูเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ"เช้านี้ทำอะไรกินครับ อืม หอมมากๆ"จื่ออิงสะดุ้งเล็กน้อย แก้มขึ้นสีระเรื่อก่อนจะหันไปมองค้อนเขาเบาๆ"อย่ามาแกล้งสิคะ เหยียนเหยียนอยู่ตรงนี้นะ""ก็อาหารฝีมือคุณหอมจริงๆ นี่ครับ" หลี่เฉินยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย พลางทำท่าสูดดมกลิ่นข้าวผัดสีสวยที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันปลายจมูกมาจุ๊บแก้มภรรยาอีกครั้งเหยียนเหยียนที่กำลังตั้งใจทอดไข่ดาว หันมายิ้มจนตาหยีทันทีเมื่อเห็นพ่อกับแม่หยอกล้อกัน"พ่อแอบหอมแก้มแม่อีกแล้ว หนูเห็นนะคะ"คำพูดใสซื่อและสายตาหยอกล้อของบุตรสาวตัวน้อย ทำให้จื่ออิงรีบหันขวับไปมองค้อนคนตัวโตข้างหล
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื