หลังจากอาบน้ำเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ลอยอยู่กลางศีรษะ จื่ออิงยืนเช็ดผมพลางครุ่นคิดว่าเธอควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่คนทั้งสองจะกลับมา อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องปล่อยให้ตัวเองมีเวลาคิดฟุ้งซ่าน สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือการทำความสะอาดห้องนอนที่เธอฟื้นขึ้นมา
คิดได้ดังนั้นก็รีบรวบผมยาวที่ยังหมาดขมวดขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะ เพื่อไม่ให้เกะกะเวลาทำความสะอาด จากนั้นจึงสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องนอน
ซึ่งสภาพของห้องนอนนั้น ในตอนนี้ไม่น่ารื่นรมย์เท่าไหร่ จื่ออิงยืนมองไปรอบ ๆ ห้อง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ห้องนี้ทั้งดูมืดทึบและเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ จับตัวเป็นคราบตามขอบหน้าต่างและข้าวของต่าง ๆ แสงแดดจากภายนอกลอดผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของบานหน้าต่างไม้เก่าที่มีคราบฝุ่นจับเป็นชั้น ๆ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูอับชื้นและหม่นหมอง ทุกมุมเต็มไปด้วยหยากไย่ พื้นปูนขัดหยาบเต็มไปด้วยเศษฝุ่น รอยดิน และคราบสกปรกเกาะติดแน่น ราวกับไม่เคยทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน ไหนจะเตียงเตาที่ตั้งอยู่ชิดผนังห้องก็เต็มไปด้วยเศษฝุ่นและคราบเขม่าจากเตาผิงข้างใต้
แค่คิดว่าจะต้องนอนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เธอก็ขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที
"ไม่ไหว แบบนี้นอนไม่หลับแน่ ๆ"
จื่ออิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นสูงเดินไปเปิดหน้าต่างออกกว้าง ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทันที พาเอากลิ่นอับภายในห้องออกไปบางส่วน มือเล็กดึงผ้าม่านผ้าฝ้ายสีหม่นลงมา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายจนหญิงสาวรีบเบือนหน้าหนียกมือขึ้นปิดจมูก
"แค่ก ๆ โอ๊ย ฝุ่นเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย..."
จื่ออิงไอโขลกออกมา ยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่คละคลุ้ง แต่ถึงแม้จะบ่นแต่ก็ยังไม่หยุดทำงาน หญิงสาวปลดผ้าม่านที่หมองจนแทบจะจำสีเดิมไม่ได้ หอบผ้าห่มเก่า ๆ และกองเสื้อผ้าสกปรกที่สุมอยู่ตรงมุมห้องทั้งหมดออกไปซัก จากนั้นก็มาจัดการกับฟูกนอนและเสื่อฟางบนเตียงเตา ทั้งสองชิ้นเต็มไปด้วยฝุ่นและกลิ่นอับ จึงนำออกไปผึ่งแดดด้านนอก หมอนที่เริ่มส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการใช้งานมานานก็ถูกนำไปตีกระจายฝุ่น ก่อนแขวนตากแดดตากลมเอาไว้เพื่อลดกลิ่น
ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องทุกชิ้น จื่ออิงเช็ดล้างทำความสะอาดอย่างตั้งใจ ไม่เว้นแม้แต่เตียงเตาที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น หญิงสาวใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดถูซ้ำแล้วซ้ำเล่า หยากไย่ตามมุมห้องและขื่อไม้ที่สะสมมานานก็ถูกปัดออกจนหมด
สุดท้ายคือพื้นห้อง ฝุ่นผงและเศษดินที่ติดอยู่ตามร่องพื้นปูนขัดหยาบถูกกวาดออกจนเกลี้ยง จากนั้นหญิงสาวใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำบิดหมาดถูซ้ำอีกครั้งจนพื้นสะอาดไร้คราบไคล กลิ่นอับที่เคยอวลอยู่ในห้องค่อย ๆ จางลง แทนที่ด้วยความสดชื่นจากอากาศที่ถ่ายเทได้ดีขึ้น
ในที่สุดห้องที่เคยเต็มไปด้วยฝุ่นและความอึดอัดอึมครึมก็ดูโปร่งโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลมเย็นจากภายนอกพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พาเอากลิ่นอับเก่า ๆ ออกไปจนหมด ทำให้บรรยากาศในห้องสดชื่นปลอดโปร่งขึ้น
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จื่ออิงยืนเท้าสะเอวมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความรู้สึกพึงพอใจ ทุกอย่างสะอาดขึ้นกว่าตอนแรกมาก ผ้าม่านที่เคยหมองถูกซักจนสะอาด ฟูกนอน หมอน และผ้าห่มที่ผ่านการผึ่งแดดจนแห้งสนิทก็ดูนุ่มฟูขึ้น แถมยังมีกลิ่นแดดอ่อน ๆ ติดอยู่ เตียงเตาที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยฝุ่น ตอนนี้ก็สะอาดสะอ้านปราศจากคราบสกปรก
"เฮ้อ...เสร็จสักที เหนื่อยชะมัด"
จื่ออิงพึมพำกับตัวเองพลางยืดแขนขึ้นสุด ขับไล่ความเมื่อยล้าจากการลงแรงทำความสะอาดตลอดช่วงบ่าย แล้วทิ้งตัวลงนั่งพักบนเตียงเตาอย่างหมดแรง
หญิงสาวกวาดตามองรอบห้องที่เป็นระเบียบเรียบร้อย รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า
"แบบนี้สิ น่านอนขึ้นเยอะ"
เธอพึมพำกับตัวเองอย่างพอใจ มือแตะลงบนฟูกนอนที่ตอนนี้นุ่มกว่าตอนแรกหลายเท่า รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดดที่ซึมเข้าไปในเนื้อผ้า
คืนนี้...เธอคงจะนอนหลับสบายขึ้นแน่ ๆ
สายลมเย็นพัดผ่านผิวกาย ทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างบานเล็ก แสงแดดจ้าของช่วงบ่ายค่อย ๆ อ่อนลง เปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดงที่แต่งแต้มทั่วขอบฟ้า เงาของต้นไม้สูงเริ่มทอดยาวลงบนพื้น บ่งบอกว่าล่วงเข้าเวลาเย็นมามากแล้ว
"เย็นมากแล้วหรือนี่..."
จื่ออิงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว จื่ออิงจึงรีบเข้าครัวเพื่อไปทำอาหาร เพราะสองพ่อลูกคงใกล้จะกลับมาแล้ว ยอมรับว่าภายในใจของเธอรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับพวกเขาอย่างไรดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะเมื่อจู่ ๆ เธอที่ใช้ชีวิตเหมือนคนเสียสติมานาน กลับหายดีแล้วยังลุกขึ้นมาทำตัวเหมือนคนปกติ
แต่ช่างเถอะ คิดมากไปตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เรื่องนี้คงต้องยกเอาไว้ก่อน คงต้องแก้กันไปตามสถานการณ์ อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องเริ่มจากการทำเรื่องง่าย ๆ ก่อน และการทำอาหารไว้รอท่าย่อมเป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุด
การเตรียมอาหารเย็นเอาไว้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ที่เธอคิดออก มันคงจะช่วยให้การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของพวกเขาไม่อึดอัดจนเกินไป กระมัง
"ทำอาหารให้เสร็จ แล้วค่อยคิดเรื่องอื่นต่อก็แล้วกัน"
จื่ออิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเร่งฝีเท้าไปยังห้องครัว พร้อมเริ่มต้นบทบาทใหม่ในบ้านหลังนี้
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลย หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องครัวอย่างลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องเข้าครัวในยุคที่เธอไม่คุ้นเคย ไม่มีเตาแก๊ส ไม่มีไมโครเวฟ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใด ๆ มีเพียงเตาอิฐโบราณที่ต้องใช้ฟืนก่อไฟเพื่อประกอบอาหาร
จื่ออิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเดินไปเปิดฝาถังข้าวที่เหลือเมล็ดข้าวอยู่เพียงหนึ่งกำมือ สายตากวาดมองเสบียงที่พอจะมีอยู่ ก็เห็นเพียงเผือกหัวเล็ก ๆ ในตะกร้าสองสามหัว น้ำมันหมูติดก้นโหล และเกลืออีกเพียงหยิบมือเท่านั้น แค่นี้คงไม่พอจะทำอาหารให้คนสามคนได้กินอิ่มท้องได้แน่
ริมฝีปากอิ่มขบเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเป็นมื้อเย็นดี ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเมนูที่พอจะทำได้ด้วยวัตถุดิบที่มีอยู่ และดูเหมือนจะเข้าท่าที่สุดแล้ว นั่นคือต้มโจ๊กใส่เผือก อย่างน้อยการต้มข้าวกับเผือกให้นุ่มแล้วเติมเกลือสักหน่อย ก็น่าจะช่วยให้อิ่มท้องไปได้อีกมื้อหนึ่ง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จื่ออิงจึงหยิบฟืนแห้งขึ้นมายัดเข้าไปในช่องด้านล่างของเตา จากนั้นจึงจุดไม้ขีดไฟ แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ไม้ขีดไฟอันแล้วอันเล่าถูกจุดขึ้น แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเปลวไฟยังไม่ทันได้แตะต้องเนื้อฟืนมันก็ดับมอดลง และมือของเธอเริ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าดำ
หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น พยายามลองดูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล
"เฮ้อ..."
จื่องอิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความจริงแล้วการจุดเตาไฟไม่น่าจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ แต่พอได้ลองทำด้วยตัวเองแล้วมันกลับไม่ง่ายเลย
หลังจากครุ่นคิด เธอเริ่มมองหาเชื้อไฟที่ติดไฟง่ายกว่าเดิม สายตาเหลือบไปเห็นเปลือกข้าวโพดแห้งที่วางกองอยู่ใกล้ ๆ ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เธอจุดไฟได้ง่ายขึ้น จื่ออิงจึงรีบหยิบมันมาใส่รวมกับกิ่งไม้เล็ก ๆ ก่อนจะลองจุดไฟใหม่ คราวนี้เปลวไฟสีส้มค่อย ๆ ลามเลียไปตามเปลือกข้าวโพดแห้ง เธอเป่าลมเบา ๆ ช่วยเร่งไฟ จนในที่สุดเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้น
"สำเร็จ"
จื่ออิงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเติมฟืนลงไปเพิ่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นเปิดฝากระทะที่ภายในยังเหลือน้ำซุปกระดูกหมูเมื่อเช้าอยู่ เธอเติมน้ำสะอาดเพิ่มลงไปพอประมาณ ก่อนจะปิดฝาทิ้งไว้ให้เดือด
จากนั้นจึงหันไปหยิบเผือกจากตะกร้า นำมาปอกเปลือกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดพอดีแล้วล้างน้ำจนสะอาด
เสียงน้ำเดือดดังขึ้นเป็นฟองปุด ๆ เมื่อเห็นว่ากำลังเดือดได้ที่ จื่ออิงจึงเทข้าวขาวที่ล้างสะอาดแล้วลงไป ตามด้วยเผือกที่หั่นเตรียมไว้ โรยเกลือลงไปเล็กน้อยแล้วปิดฝา ทิ้งไว้ให้ทุกอย่างค่อย ๆ เปื่อยนุ่ม
เพียงไม่นาน กลิ่นหอมของข้าวที่กำลังแตกตัวผสมกับกลิ่นเผือกอ่อน ๆ ก็ลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว
"จื่ออิง"
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค