หลังจากอาบน้ำเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ลอยอยู่กลางศีรษะ จื่ออิงยืนเช็ดผมพลางครุ่นคิดว่าเธอควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่คนทั้งสองจะกลับมา อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องปล่อยให้ตัวเองมีเวลาคิดฟุ้งซ่าน สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือการทำความสะอาดห้องนอนที่เธอฟื้นขึ้นมา
คิดได้ดังนั้นก็รีบรวบผมยาวที่ยังหมาดขมวดขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะ เพื่อไม่ให้เกะกะเวลาทำความสะอาด จากนั้นจึงสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องนอน
ซึ่งสภาพของห้องนอนนั้น ในตอนนี้ไม่น่ารื่นรมย์เท่าไหร่ จื่ออิงยืนมองไปรอบ ๆ ห้อง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ห้องนี้ทั้งดูมืดทึบและเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ จับตัวเป็นคราบตามขอบหน้าต่างและข้าวของต่าง ๆ แสงแดดจากภายนอกลอดผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของบานหน้าต่างไม้เก่าที่มีคราบฝุ่นจับเป็นชั้น ๆ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูอับชื้นและหม่นหมอง ทุกมุมเต็มไปด้วยหยากไย่ พื้นปูนขัดหยาบเต็มไปด้วยเศษฝุ่น รอยดิน และคราบสกปรกเกาะติดแน่น ราวกับไม่เคยทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน ไหนจะเตียงเตาที่ตั้งอยู่ชิดผนังห้องก็เต็มไปด้วยเศษฝุ่นและคราบเขม่าจากเตาผิงข้างใต้
แค่คิดว่าจะต้องนอนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เธอก็ขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที
"ไม่ไหว แบบนี้นอนไม่หลับแน่ ๆ"
จื่ออิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นสูงเดินไปเปิดหน้าต่างออกกว้าง ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทันที พาเอากลิ่นอับภายในห้องออกไปบางส่วน มือเล็กดึงผ้าม่านผ้าฝ้ายสีหม่นลงมา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายจนหญิงสาวรีบเบือนหน้าหนียกมือขึ้นปิดจมูก
"แค่ก ๆ โอ๊ย ฝุ่นเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย..."
จื่ออิงไอโขลกออกมา ยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่คละคลุ้ง แต่ถึงแม้จะบ่นแต่ก็ยังไม่หยุดทำงาน หญิงสาวปลดผ้าม่านที่หมองจนแทบจะจำสีเดิมไม่ได้ หอบผ้าห่มเก่า ๆ และกองเสื้อผ้าสกปรกที่สุมอยู่ตรงมุมห้องทั้งหมดออกไปซัก จากนั้นก็มาจัดการกับฟูกนอนและเสื่อฟางบนเตียงเตา ทั้งสองชิ้นเต็มไปด้วยฝุ่นและกลิ่นอับ จึงนำออกไปผึ่งแดดด้านนอก หมอนที่เริ่มส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการใช้งานมานานก็ถูกนำไปตีกระจายฝุ่น ก่อนแขวนตากแดดตากลมเอาไว้เพื่อลดกลิ่น
ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องทุกชิ้น จื่ออิงเช็ดล้างทำความสะอาดอย่างตั้งใจ ไม่เว้นแม้แต่เตียงเตาที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น หญิงสาวใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดถูซ้ำแล้วซ้ำเล่า หยากไย่ตามมุมห้องและขื่อไม้ที่สะสมมานานก็ถูกปัดออกจนหมด
สุดท้ายคือพื้นห้อง ฝุ่นผงและเศษดินที่ติดอยู่ตามร่องพื้นปูนขัดหยาบถูกกวาดออกจนเกลี้ยง จากนั้นหญิงสาวใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำบิดหมาดถูซ้ำอีกครั้งจนพื้นสะอาดไร้คราบไคล กลิ่นอับที่เคยอวลอยู่ในห้องค่อย ๆ จางลง แทนที่ด้วยความสดชื่นจากอากาศที่ถ่ายเทได้ดีขึ้น
ในที่สุดห้องที่เคยเต็มไปด้วยฝุ่นและความอึดอัดอึมครึมก็ดูโปร่งโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลมเย็นจากภายนอกพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พาเอากลิ่นอับเก่า ๆ ออกไปจนหมด ทำให้บรรยากาศในห้องสดชื่นปลอดโปร่งขึ้น
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จื่ออิงยืนเท้าสะเอวมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความรู้สึกพึงพอใจ ทุกอย่างสะอาดขึ้นกว่าตอนแรกมาก ผ้าม่านที่เคยหมองถูกซักจนสะอาด ฟูกนอน หมอน และผ้าห่มที่ผ่านการผึ่งแดดจนแห้งสนิทก็ดูนุ่มฟูขึ้น แถมยังมีกลิ่นแดดอ่อน ๆ ติดอยู่ เตียงเตาที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยฝุ่น ตอนนี้ก็สะอาดสะอ้านปราศจากคราบสกปรก
"เฮ้อ...เสร็จสักที เหนื่อยชะมัด"
จื่ออิงพึมพำกับตัวเองพลางยืดแขนขึ้นสุด ขับไล่ความเมื่อยล้าจากการลงแรงทำความสะอาดตลอดช่วงบ่าย แล้วทิ้งตัวลงนั่งพักบนเตียงเตาอย่างหมดแรง
หญิงสาวกวาดตามองรอบห้องที่เป็นระเบียบเรียบร้อย รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า
"แบบนี้สิ น่านอนขึ้นเยอะ"
เธอพึมพำกับตัวเองอย่างพอใจ มือแตะลงบนฟูกนอนที่ตอนนี้นุ่มกว่าตอนแรกหลายเท่า รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดดที่ซึมเข้าไปในเนื้อผ้า
คืนนี้...เธอคงจะนอนหลับสบายขึ้นแน่ ๆ
สายลมเย็นพัดผ่านผิวกาย ทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างบานเล็ก แสงแดดจ้าของช่วงบ่ายค่อย ๆ อ่อนลง เปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดงที่แต่งแต้มทั่วขอบฟ้า เงาของต้นไม้สูงเริ่มทอดยาวลงบนพื้น บ่งบอกว่าล่วงเข้าเวลาเย็นมามากแล้ว
"เย็นมากแล้วหรือนี่..."
จื่ออิงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว จื่ออิงจึงรีบเข้าครัวเพื่อไปทำอาหาร เพราะสองพ่อลูกคงใกล้จะกลับมาแล้ว ยอมรับว่าภายในใจของเธอรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับพวกเขาอย่างไรดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะเมื่อจู่ ๆ เธอที่ใช้ชีวิตเหมือนคนเสียสติมานาน กลับหายดีแล้วยังลุกขึ้นมาทำตัวเหมือนคนปกติ
แต่ช่างเถอะ คิดมากไปตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เรื่องนี้คงต้องยกเอาไว้ก่อน คงต้องแก้กันไปตามสถานการณ์ อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องเริ่มจากการทำเรื่องง่าย ๆ ก่อน และการทำอาหารไว้รอท่าย่อมเป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุด
การเตรียมอาหารเย็นเอาไว้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ที่เธอคิดออก มันคงจะช่วยให้การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของพวกเขาไม่อึดอัดจนเกินไป กระมัง
"ทำอาหารให้เสร็จ แล้วค่อยคิดเรื่องอื่นต่อก็แล้วกัน"
จื่ออิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเร่งฝีเท้าไปยังห้องครัว พร้อมเริ่มต้นบทบาทใหม่ในบ้านหลังนี้
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลย หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องครัวอย่างลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องเข้าครัวในยุคที่เธอไม่คุ้นเคย ไม่มีเตาแก๊ส ไม่มีไมโครเวฟ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใด ๆ มีเพียงเตาอิฐโบราณที่ต้องใช้ฟืนก่อไฟเพื่อประกอบอาหาร
จื่ออิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเดินไปเปิดฝาถังข้าวที่เหลือเมล็ดข้าวอยู่เพียงหนึ่งกำมือ สายตากวาดมองเสบียงที่พอจะมีอยู่ ก็เห็นเพียงเผือกหัวเล็ก ๆ ในตะกร้าสองสามหัว น้ำมันหมูติดก้นโหล และเกลืออีกเพียงหยิบมือเท่านั้น แค่นี้คงไม่พอจะทำอาหารให้คนสามคนได้กินอิ่มท้องได้แน่
ริมฝีปากอิ่มขบเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเป็นมื้อเย็นดี ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเมนูที่พอจะทำได้ด้วยวัตถุดิบที่มีอยู่ และดูเหมือนจะเข้าท่าที่สุดแล้ว นั่นคือต้มโจ๊กใส่เผือก อย่างน้อยการต้มข้าวกับเผือกให้นุ่มแล้วเติมเกลือสักหน่อย ก็น่าจะช่วยให้อิ่มท้องไปได้อีกมื้อหนึ่ง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จื่ออิงจึงหยิบฟืนแห้งขึ้นมายัดเข้าไปในช่องด้านล่างของเตา จากนั้นจึงจุดไม้ขีดไฟ แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ไม้ขีดไฟอันแล้วอันเล่าถูกจุดขึ้น แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเปลวไฟยังไม่ทันได้แตะต้องเนื้อฟืนมันก็ดับมอดลง และมือของเธอเริ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าดำ
หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น พยายามลองดูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล
"เฮ้อ..."
จื่องอิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความจริงแล้วการจุดเตาไฟไม่น่าจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ แต่พอได้ลองทำด้วยตัวเองแล้วมันกลับไม่ง่ายเลย
หลังจากครุ่นคิด เธอเริ่มมองหาเชื้อไฟที่ติดไฟง่ายกว่าเดิม สายตาเหลือบไปเห็นเปลือกข้าวโพดแห้งที่วางกองอยู่ใกล้ ๆ ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เธอจุดไฟได้ง่ายขึ้น จื่ออิงจึงรีบหยิบมันมาใส่รวมกับกิ่งไม้เล็ก ๆ ก่อนจะลองจุดไฟใหม่ คราวนี้เปลวไฟสีส้มค่อย ๆ ลามเลียไปตามเปลือกข้าวโพดแห้ง เธอเป่าลมเบา ๆ ช่วยเร่งไฟ จนในที่สุดเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้น
"สำเร็จ"
จื่ออิงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเติมฟืนลงไปเพิ่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นเปิดฝากระทะที่ภายในยังเหลือน้ำซุปกระดูกหมูเมื่อเช้าอยู่ เธอเติมน้ำสะอาดเพิ่มลงไปพอประมาณ ก่อนจะปิดฝาทิ้งไว้ให้เดือด
จากนั้นจึงหันไปหยิบเผือกจากตะกร้า นำมาปอกเปลือกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดพอดีแล้วล้างน้ำจนสะอาด
เสียงน้ำเดือดดังขึ้นเป็นฟองปุด ๆ เมื่อเห็นว่ากำลังเดือดได้ที่ จื่ออิงจึงเทข้าวขาวที่ล้างสะอาดแล้วลงไป ตามด้วยเผือกที่หั่นเตรียมไว้ โรยเกลือลงไปเล็กน้อยแล้วปิดฝา ทิ้งไว้ให้ทุกอย่างค่อย ๆ เปื่อยนุ่ม
เพียงไม่นาน กลิ่นหอมของข้าวที่กำลังแตกตัวผสมกับกลิ่นเผือกอ่อน ๆ ก็ลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว
"จื่ออิง"
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ