หลี่เฉินยืนแน่นิ่งอยู่หน้าประตู ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างของสตรีที่เขาคุ้นเคย ทว่ากลับดูแตกต่างออกไปจากที่เคยรู้จัก
ชายหนุ่มกลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากทำงานมาทั้งวัน แต่ทันทีที่เข้าสู่ลานหน้าบ้าน เขากลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน เมื่อเขาได้กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากภายในบ้าน
หลี่เฉินมองสบตากับบุตรสาวในอ้อมแขน ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็คิดไม่ต่างจากเขา ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านด้วยความสงสัย ภายในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งประหลาดใจและไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อก้าวพ้นประตูเข้าไปก็ตรงไปยังห้องครัวด้านหลังทันที แล้วสายตาคมกริบของเขาก็สะดุดเข้ากับแผ่นหลังเล็กบอบบางของหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟ
เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ร่างบอบบางในชุดเรียบง่ายกำลังยืนหันหลังให้เขา มือหนึ่งจับทัพพีกำลังทำอาหารอย่างตั้งใจ แสงจากเปลวไฟสะท้อนกับเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอ
หลี่เฉินแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง หญิงสาวตรงหน้าคือภรรยาของเขา หลินจื่ออิง ไม่ผิดแน่
หญิงสาวที่มักจะเหม่อลอยไร้สติ เอาแต่ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้องพูดจาไม่รู้เรื่อง ในตอนนี้กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างน่าประหลาด เรือนผมที่เคยยุ่งเหยิงบัดนี้ถูกมวยขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าที่เคยยับยู่ยี่สกปรกตอนนี้สะอาดสะอ้าน มือที่เคยสั่นเทาขยับเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง
ราวกับว่า...เธอหายเป็นปกติแล้ว
หลี่เฉินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่จนเขาไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือความรู้สึกยินดี เขาดีใจมากที่หญิงสาวหายป่วย ดีใจจนเผลอเรียกชื่อเธอออกไปโดยไม่รู้ตัว
"จื่ออิง"
เสียงของเขาแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รับรู้ได้ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาชะงักไป ร่างเล็กแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองเขา ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองเขาตรง ๆ ไม่มีความว่างเปล่าเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
หลี่เฉินยืนนิ่งมองเธอ ลำคอแห้งผากไปหมด เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับปาฏิหาริย์ที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ความรู้สึกหลากหลายตีตื้นขึ้นมาในอก ทั้งตกตะลึง ประหลาดใจ และไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
หลินจื่ออิง หายป่วยแล้วจริง ๆ
ส่วนคนที่จดจ่ออยู่กับโจ๊กบนเตาจนไม่รู้ถึงการกลับมาของอีกฝ่ายได้แต่นิ่งงัน เสียงเรียกแผ่วเบาที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้จื่ออิงชะงักราวกับร่างถูกตรึงไว้กับที่ มือที่กำลังคนโจ๊กหยุดนิ่ง ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก เธอค่อย ๆ หันกลับไปมองคนด้านหลังด้วยความหวาดหวั่นปนตื่นตกใจ
ตรงประตูห้องครัว ปรากฏชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความตะลึงงัน ดวงตาคมกริบจ้องมองเธอราวกับกำลังพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เห็น ความไม่อยากเชื่อและความประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้าและแววตาของเขา
คนผู้นี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเอกของเรื่องและยังเป็นสามีของเจ้าของร่าง หรือตอนนี้ก็คือสามีของเธอ หลี่เฉิน
จื่ออิงจ้องมองคนตรงหน้าพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายช่างสมกับเป็นพระเอกเสียจริง
เรือนร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง แผงอกภายใต้เสื้อพอดีตัวมองปราดเดียวก็รู้ว่าหนั่นแน่นแค่ไหน ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปหน้าชัดเจนเป็นสัน ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนาเฉียงเล็กน้อย ดูเคร่งขรึมและทรงอำนาจ ทุกครั้งที่สายตานั้นจ้องมองมา คล้ายจะแฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ยากจะต่อต้าน
สันจมูกของเขาตรงได้รูป รับกับริมฝีปากบางที่ตอนนี้เม้มเป็นเส้นตรง ผิวของเขาไม่ได้ขาวซีดหรือดำคล้ำ แต่เป็นสีแทนเล็กน้อยจากการทำงานกลางแจ้ง ยิ่งขับเน้นให้เขาดูแข็งแกร่งและมีเสน่ห์น่าดึงดูด
สายลมอ่อนพัดผ่านเส้นผมสีดำสนิทที่ตัดสั้นให้พลิ้วไหวเล็กน้อย ยิ่งขับให้ภาพของเขาดูน่าหลงใหล แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นที่จ้องมองมาทอประกายซับซ้อนยากจะอ่านออก ทำให้คนมองสบอดที่จะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้
เมื่อไม่อาจสู้สายตากับคนตรงหน้าได้อีกต่อไป จื่ออิงจึงหลุบตาลงมองเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังจ้องมองเธอด้วยดวงตากลมโตใสแจ๋ว แววตานั้นเต็มไปด้วยความยินดีที่ไม่ปิดบัง เด็กหญิงจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ ราวกับกลัวว่าหากละสายตาแม้เพียงเสี้ยววินาที เธอจะหายไปจากตรงนี้
บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงไฟในเตาที่แตกเปรี๊ยะเป็นระยะ กับกลิ่นหอมของโจ๊กที่ลอยอวลไปทั่วครัว
เปลวไฟสีส้มไหวระริกให้ความอบอุ่น ทว่ากลับตัดกับความรู้สึกตึงเครียดที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในอากาศ จื่ออิงเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับสายตาของสองพ่อลูก
ทั้งสามคนยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมา มีเพียงดวงตาที่ฉายชัดถึงความรู้สึกข้างใน
คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมายของผู้เป็นพ่อ อีกคู่หนึ่งคือดวงตากลมโตใสแจ๋วของเด็กหญิงตัวน้อย ที่จ้องมองมาโดยไม่กะพริบ มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
ส่วนอีกคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น สับสน จื่ออิงยังตั้งรับไม่ทันกับสถานการณ์ตรงหน้า หญิงสาวจ้องมองเด็กน้อยขยับตัวยุกยิกดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของบิดา จนชายหนุ่มต้องยอมปล่อยให้เจ้าตัวเล็กเป็นอิสระ
ทันทีที่เท้าแตะพื้น เด็กหญิงตัวน้อยก็พาร่างกลมป้อมวิ่งตึงตังเข้ามาหาเธอ อ้อมแขนเล็ก ๆ โผเข้ากอดขาของเธอเอาไว้แน่น ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นแหงนขึ้นมองเธอ ดวงตากลมโตเหมือนลูกแก้วแวววาวเปล่งประกาย พร้อมกับรอยยิ้มสดใส
จื่ออิงชะงักงัน หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่เหมือนถูกบีบรัด ดวงตาที่เหมือนกับเด็กหญิงสั่นระริก ความอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วร่างโดยไม่รู้ตัว
"เหยียนเหยียน"
เสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกเด็กน้อยแผ่วเบา พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่เผยบนใบหน้า จื่ออิงค่อย ๆ ทรุดกายนั่งลงจนระดับสายตาอยู่เสมอกับเด็กหญิง มือที่สั่นเล็กน้อยยกขึ้นลูบศีรษะกลมทุยของเด็กน้อยเบา ๆ
หลี่ซูเหยียน บุตรสาวตัวน้อยของเธอ เด็กหญิงผู้น่าสงสาร
ตั้งแต่วันที่หลินจื่ออิงกลายเป็นคนเสียสติ เด็กคนนี้ก็เติบโตขึ้นมาโดยมีเพียงหลี่เฉินผู้เป็นพ่อคอยดูแล หลี่เฉินเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างดี มอบทั้งความรักและเอาใจใส่ทุกอย่าง และถึงแม้ว่าเขาจะทำหน้าที่ของพ่อได้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ทำไมเด็กหญิงที่ถึงวัยที่ควรจะพูดได้แล้ว กลับไม่เคยเปล่งเสียงเหมือนเด็กทั่วไป แม้จะรับรู้และเข้าใจทุกอย่าง แต่หนูน้อยเลือกที่จะเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย
จากเด็กทารกที่เคยส่งเสียงอ้อแอ้ หัวเราะคิกคักอย่างสดใส กลับกลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดจา
จนตอนนี้ อายุสามขวบแล้ว เธอก็ยังคงไม่เคยเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
จื่ออิงจ้องมองดวงตากลมโตคู่นั้นราวต้องมนสะกด ภายในแววตาของหนูน้อยเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความผูกพันทางสายเลือดของคนทั้งสองหรืออย่างไร เธอจึงรู้สึกว่าตกหลุมรักเด็กคนนี้เข้าเต็มเปา
จื่ออิงค่อย ๆ รั้งร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด กอดเอาไว้แน่นอย่างรักใคร่หวงแหนราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดลอยไป เด็กหญิงตัวนุ่มนิ่ม ซุกหน้าลงกับอกของเธออย่างว่าง่าย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเด็กน้อยลอยเข้ามากระทบจมูก ความอบอุ่นเล็ก ๆ ที่แนบชิดแน่นแฟ้น ทำให้หัวใจของจื่ออิงสั่นไหว
เธอสาบานกับตัวเองในวินาทีนั้น ว่าเธอจะเป็นแม่ที่ดีให้เด็กคนนี้ จะปกป้อง จะดูแล จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กคนนี้เท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม เธอจะไม่มีวันปล่อยมือจากเด็กน้อยเด็ดขาด
หลี่ซูเหยียน ลูกสาวตัวน้อยของเธอ
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ