หลี่เฉินยืนแน่นิ่งอยู่หน้าประตู ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างของสตรีที่เขาคุ้นเคย ทว่ากลับดูแตกต่างออกไปจากที่เคยรู้จัก
ชายหนุ่มกลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากทำงานมาทั้งวัน แต่ทันทีที่เข้าสู่ลานหน้าบ้าน เขากลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน เมื่อเขาได้กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากภายในบ้าน
หลี่เฉินมองสบตากับบุตรสาวในอ้อมแขน ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็คิดไม่ต่างจากเขา ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านด้วยความสงสัย ภายในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งประหลาดใจและไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อก้าวพ้นประตูเข้าไปก็ตรงไปยังห้องครัวด้านหลังทันที แล้วสายตาคมกริบของเขาก็สะดุดเข้ากับแผ่นหลังเล็กบอบบางของหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟ
เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ร่างบอบบางในชุดเรียบง่ายกำลังยืนหันหลังให้เขา มือหนึ่งจับทัพพีกำลังทำอาหารอย่างตั้งใจ แสงจากเปลวไฟสะท้อนกับเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอ
หลี่เฉินแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง หญิงสาวตรงหน้าคือภรรยาของเขา หลินจื่ออิง ไม่ผิดแน่
หญิงสาวที่มักจะเหม่อลอยไร้สติ เอาแต่ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้องพูดจาไม่รู้เรื่อง ในตอนนี้กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างน่าประหลาด เรือนผมที่เคยยุ่งเหยิงบัดนี้ถูกมวยขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าที่เคยยับยู่ยี่สกปรกตอนนี้สะอาดสะอ้าน มือที่เคยสั่นเทาขยับเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง
ราวกับว่า...เธอหายเป็นปกติแล้ว
หลี่เฉินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่จนเขาไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือความรู้สึกยินดี เขาดีใจมากที่หญิงสาวหายป่วย ดีใจจนเผลอเรียกชื่อเธอออกไปโดยไม่รู้ตัว
"จื่ออิง"
เสียงของเขาแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รับรู้ได้ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาชะงักไป ร่างเล็กแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองเขา ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองเขาตรง ๆ ไม่มีความว่างเปล่าเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
หลี่เฉินยืนนิ่งมองเธอ ลำคอแห้งผากไปหมด เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับปาฏิหาริย์ที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ความรู้สึกหลากหลายตีตื้นขึ้นมาในอก ทั้งตกตะลึง ประหลาดใจ และไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
หลินจื่ออิง หายป่วยแล้วจริง ๆ
ส่วนคนที่จดจ่ออยู่กับโจ๊กบนเตาจนไม่รู้ถึงการกลับมาของอีกฝ่ายได้แต่นิ่งงัน เสียงเรียกแผ่วเบาที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้จื่ออิงชะงักราวกับร่างถูกตรึงไว้กับที่ มือที่กำลังคนโจ๊กหยุดนิ่ง ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก เธอค่อย ๆ หันกลับไปมองคนด้านหลังด้วยความหวาดหวั่นปนตื่นตกใจ
ตรงประตูห้องครัว ปรากฏชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความตะลึงงัน ดวงตาคมกริบจ้องมองเธอราวกับกำลังพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เห็น ความไม่อยากเชื่อและความประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้าและแววตาของเขา
คนผู้นี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเอกของเรื่องและยังเป็นสามีของเจ้าของร่าง หรือตอนนี้ก็คือสามีของเธอ หลี่เฉิน
จื่ออิงจ้องมองคนตรงหน้าพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายช่างสมกับเป็นพระเอกเสียจริง
เรือนร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง แผงอกภายใต้เสื้อพอดีตัวมองปราดเดียวก็รู้ว่าหนั่นแน่นแค่ไหน ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปหน้าชัดเจนเป็นสัน ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนาเฉียงเล็กน้อย ดูเคร่งขรึมและทรงอำนาจ ทุกครั้งที่สายตานั้นจ้องมองมา คล้ายจะแฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ยากจะต่อต้าน
สันจมูกของเขาตรงได้รูป รับกับริมฝีปากบางที่ตอนนี้เม้มเป็นเส้นตรง ผิวของเขาไม่ได้ขาวซีดหรือดำคล้ำ แต่เป็นสีแทนเล็กน้อยจากการทำงานกลางแจ้ง ยิ่งขับเน้นให้เขาดูแข็งแกร่งและมีเสน่ห์น่าดึงดูด
สายลมอ่อนพัดผ่านเส้นผมสีดำสนิทที่ตัดสั้นให้พลิ้วไหวเล็กน้อย ยิ่งขับให้ภาพของเขาดูน่าหลงใหล แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นที่จ้องมองมาทอประกายซับซ้อนยากจะอ่านออก ทำให้คนมองสบอดที่จะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้
เมื่อไม่อาจสู้สายตากับคนตรงหน้าได้อีกต่อไป จื่ออิงจึงหลุบตาลงมองเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังจ้องมองเธอด้วยดวงตากลมโตใสแจ๋ว แววตานั้นเต็มไปด้วยความยินดีที่ไม่ปิดบัง เด็กหญิงจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ ราวกับกลัวว่าหากละสายตาแม้เพียงเสี้ยววินาที เธอจะหายไปจากตรงนี้
บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงไฟในเตาที่แตกเปรี๊ยะเป็นระยะ กับกลิ่นหอมของโจ๊กที่ลอยอวลไปทั่วครัว
เปลวไฟสีส้มไหวระริกให้ความอบอุ่น ทว่ากลับตัดกับความรู้สึกตึงเครียดที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในอากาศ จื่ออิงเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับสายตาของสองพ่อลูก
ทั้งสามคนยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมา มีเพียงดวงตาที่ฉายชัดถึงความรู้สึกข้างใน
คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมายของผู้เป็นพ่อ อีกคู่หนึ่งคือดวงตากลมโตใสแจ๋วของเด็กหญิงตัวน้อย ที่จ้องมองมาโดยไม่กะพริบ มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
ส่วนอีกคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น สับสน จื่ออิงยังตั้งรับไม่ทันกับสถานการณ์ตรงหน้า หญิงสาวจ้องมองเด็กน้อยขยับตัวยุกยิกดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของบิดา จนชายหนุ่มต้องยอมปล่อยให้เจ้าตัวเล็กเป็นอิสระ
ทันทีที่เท้าแตะพื้น เด็กหญิงตัวน้อยก็พาร่างกลมป้อมวิ่งตึงตังเข้ามาหาเธอ อ้อมแขนเล็ก ๆ โผเข้ากอดขาของเธอเอาไว้แน่น ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นแหงนขึ้นมองเธอ ดวงตากลมโตเหมือนลูกแก้วแวววาวเปล่งประกาย พร้อมกับรอยยิ้มสดใส
จื่ออิงชะงักงัน หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่เหมือนถูกบีบรัด ดวงตาที่เหมือนกับเด็กหญิงสั่นระริก ความอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วร่างโดยไม่รู้ตัว
"เหยียนเหยียน"
เสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกเด็กน้อยแผ่วเบา พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่เผยบนใบหน้า จื่ออิงค่อย ๆ ทรุดกายนั่งลงจนระดับสายตาอยู่เสมอกับเด็กหญิง มือที่สั่นเล็กน้อยยกขึ้นลูบศีรษะกลมทุยของเด็กน้อยเบา ๆ
หลี่ซูเหยียน บุตรสาวตัวน้อยของเธอ เด็กหญิงผู้น่าสงสาร
ตั้งแต่วันที่หลินจื่ออิงกลายเป็นคนเสียสติ เด็กคนนี้ก็เติบโตขึ้นมาโดยมีเพียงหลี่เฉินผู้เป็นพ่อคอยดูแล หลี่เฉินเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างดี มอบทั้งความรักและเอาใจใส่ทุกอย่าง และถึงแม้ว่าเขาจะทำหน้าที่ของพ่อได้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ทำไมเด็กหญิงที่ถึงวัยที่ควรจะพูดได้แล้ว กลับไม่เคยเปล่งเสียงเหมือนเด็กทั่วไป แม้จะรับรู้และเข้าใจทุกอย่าง แต่หนูน้อยเลือกที่จะเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย
จากเด็กทารกที่เคยส่งเสียงอ้อแอ้ หัวเราะคิกคักอย่างสดใส กลับกลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดจา
จนตอนนี้ อายุสามขวบแล้ว เธอก็ยังคงไม่เคยเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
จื่ออิงจ้องมองดวงตากลมโตคู่นั้นราวต้องมนสะกด ภายในแววตาของหนูน้อยเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความผูกพันทางสายเลือดของคนทั้งสองหรืออย่างไร เธอจึงรู้สึกว่าตกหลุมรักเด็กคนนี้เข้าเต็มเปา
จื่ออิงค่อย ๆ รั้งร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด กอดเอาไว้แน่นอย่างรักใคร่หวงแหนราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดลอยไป เด็กหญิงตัวนุ่มนิ่ม ซุกหน้าลงกับอกของเธออย่างว่าง่าย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเด็กน้อยลอยเข้ามากระทบจมูก ความอบอุ่นเล็ก ๆ ที่แนบชิดแน่นแฟ้น ทำให้หัวใจของจื่ออิงสั่นไหว
เธอสาบานกับตัวเองในวินาทีนั้น ว่าเธอจะเป็นแม่ที่ดีให้เด็กคนนี้ จะปกป้อง จะดูแล จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กคนนี้เท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม เธอจะไม่มีวันปล่อยมือจากเด็กน้อยเด็ดขาด
หลี่ซูเหยียน ลูกสาวตัวน้อยของเธอ
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค