LOGINหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ นันทวัฒน์และเอมอรยังคงนั่งสนทนากันต่อที่โต๊ะในร้านอาหารหรู เอมอรยิ้มหวานและใช้เวลาสนทนากับนันทวัฒน์อย่างมีความสุข ขณะที่นลินีและคุณหญิงวิไลยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลกัน นลินีพยายามทำใจให้สงบ แม้ว่าภาพของนันทวัฒน์และเอมอรจะยังคงฝังแน่นในหัวใจของเธอ
เอมอรเหลือบมองดูนาฬิกาบนข้อมือของเธอ ก่อนจะหันมามองนันทวัฒน์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“พี่วัฒน์คะ... วันนี้เอมอยากได้กระเป๋าใบใหม่ค่ะ” เอมอรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อย “เพื่อนๆ เขาแนะนำกระเป๋าแบรนด์ที่เอมใช้อยู่คอลเลคชั่นใหม่มาแล้ว สวยมากเลย เอมว่ามันเหมาะกับเอมมากค่ะ พี่วัฒน์พาเอมไปดูหน่อยได้ไหมคะ”
นันทวัฒน์มองเอมอรด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเอมอรชอบขอของจากเขาอยู่บ่อย ๆ แต่เขาก็อดใจไม่ไหวที่จะตามใจเธอ เอมอรเป็นคนที่เขารักและเขาก็อยากให้เธอมีความสุขเสมอ
“ได้สิเอม เดี๋ยวพี่จะพาไปดู ตอนนี้เราไปกันเลยไหม” นันทวัฒน์ตอบตกลงโดยไม่ลังเล
เอมอรยิ้มกว้างและลุกขึ้นยืนทันที “ค่ะ ไปกันเลยค่ะพี่วัฒน์” เธอตอบอย่างตื่นเต้น ก่อนจะก้าวไปใกล้เขาและจับแขนของเขาไว้แน่น นันทวัฒน์จ่ายเงินค่าอาหารเรียบร้อย จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหารไปด้วยกัน เอมอรจับแขนของนันทวัฒน์อย่างใกล้ชิด ขณะที่เขานำทางเธอไปยังโซนร้านค้าแบรนด์เนมในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
นลินีซึ่งยังคงนั่งอยู่ในร้านอาหาร เห็นทั้งคู่เดินผ่านไปในระยะสายตาของเธอโดยไม่ได้สังเกตเธอเลย ความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจที่เธอพยายามกลั้นเอาไว้ตลอดมาพลันพุ่งกลับมาอีกครั้ง ภาพของเอมอรที่เดินเคียงข้างนันทวัฒน์อย่างสนิทสนมทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเงาที่ไม่มีตัวตนในชีวิตของเขา
คุณหญิงวิไลซึ่งสังเกตเห็นสีหน้าของนลินีที่เปลี่ยนไป ก็เอื้อมมือมากุมมือของนลินีไว้อย่างอ่อนโยน “หนูลิน... ลูกไม่ต้องไปสนใจหรอกนะ อย่าให้มันทำให้ลูกต้องทุกข์ใจ”
นลินีพยักหน้าเบา ๆ แต่เธอรู้ดีว่าในใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความสิ้นหวัง เธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนันทวัฒน์กับเอมอรนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะลืมเลือน และแม้ว่าเธอจะพยายามมากแค่ไหน นันทวัฒน์ก็ยังคงมองข้ามความรู้สึกของเธอไปทุกครั้ง
หลังจากนันทวัฒน์และเอมอรเดินออกจากร้านอาหาร นันทวัฒน์และเอมอรเดินเข้าร้านกระเป๋าแบรนด์เนม เอมอรกำลังเลือกกระเป๋าใบที่เธอต้องการมาลองสะพายด้วยความดีใจ
เอมอรยิ้มอย่างมีความสุขกับสิ่งที่ต้องการ เธอยิ้มให้นันทวัฒน์ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ขณะที่นันทวัฒน์เองก็รู้สึกดีใจที่สามารถทำให้คนที่เขารักมีความสุขได้ แต่ในความสุขนั้น เขาไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในความเงียบ เหมือนกับความพยายามทั้งหมดของเธอกำลังจางหายไปทีละน้อย
หลังจากที่คุณหญิงวิไลและนลินีทานข้าวเสร็จและเตรียมตัวกลับบ้าน คุณหญิงวิไลเห็นว่านลินียังไม่สดใสขึ้นเท่าที่ควร เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนเล็กน้อย และชวนลูกสะใภ้ไปเดินดูของเพิ่มเติมเพื่อผ่อนคลายจิตใจ เพราะเธอรู้ว่าลูกสะใภ้ของเธอคงต้องการเวลาสำหรับตัวเองในการประมวลความรู้สึกที่เกิดขึ้น
“หนูลินจ๊ะ แม่ว่าเราไปเดินดูร้านกระเป๋ากันหน่อยดีไหม แม่อยากได้กระเป๋าใบใหม่สักใบ” คุณหญิงวิไลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดี
“ได้ค่ะคุณแม่ ไปกันเถอะค่ะ” นลินีลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตกลง แม้ว่าใจของเธอจะยังหนักอึ้ง แต่เธอก็ไม่อยากให้คุณหญิงวิไลต้องกังวลมากเกินไป
ทั้งสองคนเดินไปยังร้านกระเป๋าแบรนด์เนมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารที่พวกเขาเพิ่งออกมา แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในร้าน นลินีต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพที่เธอไม่คาดคิด
นันทวัฒน์กำลังยืนอยู่กับเอมอรภายในร้าน เขากำลังช่วยเอมอรเลือกกระเป๋า ขณะที่เอมอรยิ้มแย้มอย่างมีความสุข นลินีรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอถูกบีบอีกครั้ง ภาพของสามีที่ยืนเคียงข้างผู้หญิงคนอื่นซึ่งไม่ใช่เธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันที่เจ็บปวด
คุณหญิงวิไลที่เห็นภาพนั้นก็รู้สึกสะท้อนใจ เธอรู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะทำให้นลินีต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เธอเองก็รู้ว่าการเผชิญหน้ากับความจริงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ตาวัฒน์” คุณหญิงวิไลเอ่ยเรียกชื่อของลูกชายด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
นันทวัฒน์ที่กำลังสนใจอยู่กับการเลือกกระเป๋าให้เอมอรหันกลับมา เขาตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นแม่ของเขายืนอยู่พร้อมกับนลินีที่มีสีหน้าหม่นหมอง
“คุณแม่... ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ครับ” นันทวัฒน์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความแปลกใจปนอยู่
“แม่พานลินีมาเดินดูของน่ะ แล้วลูกล่ะ กำลังทำอะไรอยู่” คุณหญิงวิไลถามอย่างตรงไปตรงมา
“พี่วัฒน์ดูสิคะ ใบนี้สวยไหม” เอมอรหันมาถามพร้อมกับสะพายกระเป๋าให้เขาดู
เอมอรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นันทวัฒน์มองมาที่นลินีด้วยสายตาที่มีทั้งความสับสนและความหงุดหงิด เธอไม่ชอบที่ถูกขัดจังหวะในช่วงเวลาที่เธอกำลังมีความสุขกับนันทวัฒน์ แต่เธอเองก็รู้ว่าต้องทำใจดีสู้เสือ
“เอ่อ…” นันทวัฒน์ตอบอย่างลังเล แต่ในใจเขารู้สึกถึงความอึดอัดที่เริ่มก่อตัวขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณหญิงแม่ พวกเราแค่แวะมาดูกระเป๋าน่ะค่ะ” เอมอรบอกกับคุณหญิงวิไล
คุณหญิงวิไลมองลูกชายและเอมอรด้วยสายตาที่เฉียบขาด ก่อนจะหันมาทางนลินีที่ยังคงยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ เธอรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ทำให้ลูกสะใภ้ของเธอต้องทนทุกข์ใจแค่ไหน
“งั้นแม่ว่า... ให้ตาวัฒน์พาหนูลินกลับบ้านก่อนดีไหม ลูกคงอยากใช้เวลากับภรรยาของลูกบ้าง” คุณหญิงวิไลกล่าวอย่างใจเย็น แต่คำพูดนั้นกลับทำให้บรรยากาศในร้านตึงเครียดขึ้นทันที
นันทวัฒน์ลังเล แต่เมื่อเห็นสายตาของแม่ที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ “ครับ ผมจะพานลินีกลับบ้านเอง แต่ผมขอแวะไปส่งเอมก่อน”
เอมอรที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามเก็บอาการไว้อีกทั้งนันทวัฒน์ยังไม่ได้จ่ายเงินซื้อกระเป๋าให้เธอเลย “เอมไม่เป็นไรค่ะพี่วัฒน์ เดี๋ยวเอมเดินดูต่อเองได้ พี่วัฒน์กลับเลยก็ได้ค่ะ”
นันทวัฒน์พยักหน้าเล็กน้อย เขาหันมาทางนลินีที่ยังคงเงียบไม่พูดอะไร
“เราไปกันเถอะ” เขากล่าวเรียบ ๆ แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความไม่สบายใจ
นลินีมองดูเอมอรที่ยิ้มอ่อนและพยายามทำตัวให้ดูไม่เป็นปัญหา แต่นลินีรู้ดีว่าเธอรู้สึกอย่างไร ความเจ็บปวดในใจของเธอยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดอะไร เธอเพียงพยักหน้าตอบรับและเดินตามนันทวัฒน์ออกจากร้านไปอย่างเงียบ ๆ
ระหว่างทางกลับบ้าน รถของนันทวัฒน์เงียบสนิท ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้น นลินีนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่นันทวัฒน์ขับรถโดยไม่หันมามองเธอเลย ความเงียบนี้เหมือนจะทำให้ทั้งสองยิ่งห่างเหินกันมากขึ้น หัวใจของนลินีเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เธอไม่กล้าถามออกไป เธอรู้ดีว่าต่อให้ถาม คำตอบที่ได้อาจยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดมากขึ้น
เมื่อรถมาถึงบ้าน นันทวัฒน์จอดรถและหันมาทางนลินี “ถึงแล้ว ลงไปเถอะ” เขาพูดเสียงเรียบ ขณะที่มือของเขายังคงจับพวงมาลัยแน่น
นลินีพยักหน้าและลงจากรถไปโดยไม่พูดอะไร เธอเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่หันกลับมามอง ขณะที่นันทวัฒน์ขับรถออกไปทันที ราวกับต้องการหนีจากความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงในใจ
นลินีเดินเข้าบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง น้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดเริ่มไหลรินลงมาอีกครั้ง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งไว้ในความเหงาและความเจ็บปวดที่ไม่มีทางออก แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดเพียงใด เธอก็ยังคงรักนันทวัฒน์และหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะหันมามองเห็นเธอและยอมรับความรักที่เธอมีให้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากนันทวัฒน์ฟื้นฟูร่างกายและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ครอบครัวของเขาและนลินีได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของสมาชิกใหม่ที่จะเติมเต็มครอบครัวนี้อย่างสมบูรณ์ วันนี้ขณะที่นลินีและนันทวัฒน์กำลังนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน นลินีรู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เธอรู้สึกเจ็บที่ท้องเป็นระยะ ๆ ซึ่งต่างจากอาการเจ็บปวดธรรมดาที่เธอเคยเจอมาก่อน ครั้งนี้มันรู้สึกแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เธอพยายามที่จะสงบสติและไม่ทำให้นันทวัฒน์เป็นกังวล แต่ความเจ็บปวดกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ “พี่วัฒน์ ลินคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว” นลินีพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ขณะที่มือของเธอกุมท้องแน่น นันทวัฒน์รีบลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกัน “ลิน ลินเจ็บท้องแล้วใช่ไหม เราต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” เขารีบไปหยิบกระเป๋าที่เตรียมไว้ล่วงหน้าซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็นสำหรับการไปคลอด นลินีพยายามลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดทำให้เธอรู้สึกไม่มีแรงก้าวเดิน นันทวัฒน์จึงเข้ามาพยุงเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วงนะลิน พี่อยู่ตรงนี้ เราจะไปโรงพยาบาลทันที” นันทวัฒน์พูดพร้อมกับพยายามให้กำลังใ
เวลาผ่านไปหลายวัน ในขณะที่ครอบครัวของนันทวัฒน์เฝ้าดูแลและรอคอยอย่างอดทน ในที่สุดก็มีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ทุกคนรอคอย นันทวัฒน์เริ่มแสดงการตอบสนองเล็กน้อย เช่น การขยับนิ้วมือหรือกะพริบตาเบา ๆ ทุกครั้งที่เห็นการตอบสนองนี้ ความหวังในใจของนลินีและครอบครัวก็ท่วมท้นขึ้นอีกครั้ง ในวันหนึ่ง ขณะที่นลินีนั่งอยู่ข้างเตียงของนันทวัฒน์เหมือนที่เธอทำทุกวัน เธอสังเกตเห็นว่ามือของเขาขยับเล็กน้อย เธอรีบกุมมือเขาไว้แน่นและพูดด้วยความตื่นเต้นและความหวัง “พี่วัฒน์ พี่ได้ยินลินไหม ถ้าพี่ได้ยิน ลองขยับนิ้วอีกครั้งนะคะ” นลินีพูดเบา ๆ แต่น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น ทันใดนั้นเองนลินีรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอเต้นรัว เมื่อนันทวัฒน์ก็ค่อย ๆ ขยับนิ้วมือของเขาเล็กน้อย เธอรีบลุกขึ้นและเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการของเขา พยาบาลที่เข้ามาตรวจดูอาการของนันทวัฒน์ยิ้มเล็ก ๆ และพยักหน้าให้กับนลินี “ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มฟื้นตัวแล้วนะคะ นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากๆ เลยค่ะ” นลินีรู้สึกโล่งใจและตื้นตันใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอมองดูนันทวัฒน์ที่เริ่มมีการตอบสนองมากขึ้นและรู้สึกถึงความหวังที่เริ่มกลับมา เธอรู
หลังจากที่ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาเนื้องอกในสมอง นันทวัฒน์เตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการรักษาที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เขารู้ว่าการผ่าตัดครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง แต่เพื่ออนาคตของครอบครัวและความหวังที่จะได้อยู่เคียงข้างนลินีและลูก เขาจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน วันผ่าตัดมาถึง นลินี คุณหญิงวิไล และคุณนิรันดร์ รวมทั้งพ่อกับแม่ของนลินีมารวมตัวกันที่โรงพยาบาลเพื่อรออยู่ที่ห้องพักญาติ ความเงียบงันที่ปกคลุมรอบตัวทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความตึงเครียดและความกังวล นลินีจับมือของคุณหญิงวิไลไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ขณะที่นิรันดร์นั่งนิ่งอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของเขาแสดงถึงความหนักใจและกังวลใจ เมื่อถึงเวลาที่นันทวัฒน์ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัด นลินีมองดูเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดลง น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้เริ่มไหลออกมาอย่างช้า ๆ ความกลัวที่อยู่ลึก ๆ ในใจทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้น แต่เธอก็พยายามคุมสติและหวังว่าเขาจะผ่านการผ่าตัดครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย การผ่าตัดกินเวลาหลายชั่วโมง นลินีและครอบครัวรอคอยอย่างจดจ่อ ทุกนาทีที่ผ่านไปทำให้ความกังวลทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้
หลังจากที่ได้รับข่าวร้ายจากแพทย์เกี่ยวกับอาการของนันทวัฒน์ นลินีรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ครอบครัวของเขารับรู้ถึงสถานการณ์นี้ เธอรู้ดีว่าคุณหญิงวิไลและพ่อของนันทวัฒน์รักลูกชายของพวกเขามากเพียงใด และพวกเขาควรอยู่เคียงข้างนันทวัฒน์ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้นลินีตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาคุณหญิงวิไล เธอสูดหายใจลึกก่อนจะกดหมายเลข เธอรู้ว่าการแจ้งข่าวร้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ เสียงของคุณหญิงวิไลดังขึ้นเมื่อรับสาย “สวัสดีจ้ะ หนูลิน ลูกสบายดีไหม” น้ำเสียงที่อ่อนโยนและห่วงใยของคุณหญิงวิไลทำให้นลินีรู้สึกถึงความอบอุ่น แต่เธอต้องเจ็บปวดเมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องบอกออกไป “คุณแม่คะ” นลินีพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “หนูมีเรื่องสำคัญต้องบอกค่ะ เอ่อ คือว่า พี่วัฒน์” “ตาวัฒน์ทำไมลูก” “พี่วัฒน์ พี่วัฒน์ล้มหมดสติลงเมื่อเช้านี้ และตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเขามีเนื้องอกในสมอง” คำพูดของนลินีทำให้คุณหญิงวิไลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจและความหวาดกลัว “อะ
หลังจากที่ได้รับโอกาสในการดูแลนลินีและลูกในท้อง นันทวัฒน์รู้สึกว่าตัวเองต้องทำมากกว่านี้ เขาใส่ใจต่ออนาคตของลูกน้อยเพื่อการเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่ของพ่อที่ดีนันทวัฒน์จึงออกไปซื้อของใช้สำหรับเด็กอ่อน ทั้งเสื้อผ้า ผ้าอ้อม และของเล่นเด็ก เขาเลือกทุกอย่างอย่างพิถีพิถันโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความสบายของลูก เขาพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเขารู้ดีว่านี่คือการแสดงออกถึงความรักและความใส่ใจที่เขามีต่อลูก และหวังว่านลินีจะเห็นถึงความตั้งใจของเขาเมื่อกลับมาถึงบ้าน เขานำของที่ซื้อมาออกจากถุงและจัดเรียงไว้อย่างสวยงามในห้องนั่งเล่น เขาตื่นเต้นที่จะได้เห็นปฏิกิริยาของนลินีเมื่อเธอเห็นสิ่งที่เขาเตรียมไว้ เขาหวังว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจระหว่างพวกเขาอีกครั้งแต่เมื่อถึงเวลาที่นลินีเดินเข้ามาในห้อง เธอกลับมีท่าทีที่ต่างออกไป สายตาของเธอแสดงถึงและความอึดอัด เมื่อเธอเห็นของใช้สำหรับเด็กที่นันทวัฒน์เตรียมไว้ เธอไม่ได้แสดงความดีใจหรือความตื่นเต้นอย่างที่เขาคาดหวังไว้“พี่ซื้อของพวกนี้มาทำไม” นลินีถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง และเย็นชา คำถามของเธอทำให้นันทวั
หลังจากที่ได้รับโอกาสจากพ่อแม่ของนลินีในการพิสูจน์ตัวเอง นันทวัฒน์รู้ว่าต้องเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะลองทำบางสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เช่นทำอาหารให้นลินี นันทวัฒน์รู้ว่าการที่เขาทำอาหารให้เธออาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขาอยากดูแลและเอาใจใส่เธอและลูก และทดแทนสิ่งที่เขาเคยละเลยอาหารของเธอในอดีตเขาเริ่มต้นด้วยการหาสูตรอาหารที่นลินีเคยชอบกินสมัยก่อน นั่นคือ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ซึ่งเป็นเมนูที่ไม่ซับซ้อนแต่เต็มไปด้วยความอร่อย นันทวัฒน์จำได้ว่านลินีเคยทำเมนูนี้ให้เขากินบ่อย ๆ ในวันที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน และเขาก็หวังว่าเมนูนี้จะทำให้นลินีรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีต่อเธอ เขาไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดด้วยตัวเอง และพยายามทำตามสูตรอย่างพิถีพิถัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ชอบทำอาหาร แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อให้อาหารออกมาอร่อยและมีคุณค่าอาหารที่สุด หลังจากที่ใช้เวลาทำอาหารสักพัก แกงจืดเต้าหู้หมูสับก็เสร็จเรียบร้อย กลิ่นหอมของซุปที่ต้มเข้ากันกับเต้าหู้และหมูสับลอยไปทั่วห้องครัว เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว นันทวัฒน์ก็ตักแกงจืดใส







