"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย...
"หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามันคืออะไร! "ก็รู้สึกนะ รู้สึกว่าอยากได้แต่ไม่ได้รู้สึกรักน่ะ...ตอนแรกฉันก็กะว่าจะลองเย้าแย่ดูเล่นๆแต่ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเด็กสาวที่คุณพ่อชมว่าดีนักดีหนาจะใจแตกยอมอ้าขาให้ผู้ชายเอาง่ายๆทั้งๆที่พึ่งรู้จักกันและไร้แม้นสถานะ" ภาคินอยากเค้นเสียงหัวเราะในลำคอออกมาให้หมดจนทะลุปรุโปร่ง ภายนอกผู้หญิงคนนี้แลใสซื่อ ไร้เดียงสาแต่เพียงเปลือกนอก ส่วนด้านในนั้นเหลวเป็นน้ำเน่าเฟะจนแทบไม่เหลือสภาพดี... ความเจ็บปวดและความผิดหวังพุ่งเข้ามากระชากวิญญาณอย่างเหี้ยมโหด หัวใจที่เคยบอบช้ำพลันดับสลายคล้ายกับมีคนเอาค้อนมาทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเธอไม่สามารถทนกับความแสนสาหัสพรรค์นั้นได้อีก... แววตาของมินตราเต็มไปด้วยหยาดน้ำอันแสนบอบช้ำฉายแววความรู้สึกปวดร้าวที่กลางใจออกมาอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่ค่อยๆแหงนขึ้นไปมองหน้าเรียบนิ่งไม่รู้สึกรู้สาหรือสะทกสะท้านกับคำพูดของตัวเองบนใบหน้าหล่อๆจากภาคินเลยสักนิด ภาคินไม่ได้แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอจะรู้สึกเสียใจจนแทบเสียสติอยู่รอมร่อถึงเพียงใด...ในทางกลับกันเขากำลังใช้ฝ่ามือบีบบี้ขยำความรู้สึกของเธอให้แหลกละเอียดลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วซ้ำย้ำทีหลังด้วยการใช้ฝ่าเท้าบดกระทืบๆจนเละติดพื้น "ที่มินยอมนอนกับคุณก็เพราะมินรักคุณ!" ก้อนสะอื้นเเล่นขึ้นมาจุกคออย่างห้ามไม่อยู่อีกรอบ เธอรักเขา...เพราะรักคำเดียวเท่านั้น...มันจึงทำให้เธอลดศักดิ์ศรีของตัวเองแล้วยอมนอนกับเขาทั้งๆที่ไม่ได้มีสถานะ สำหรับเธอในตอนนั้น เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ๆเขา ได้ดูแลเขา...แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้วสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำจนโงหัวไม่ขึ้น หากมีใครหลายคนมองมาคงแลด้วยสายตาดูถูกดูแคลนว่าอีนี่มันโง่งมที่พาตัวเองเข้าไปในวงจรนรก ไม่รู้ทำไมภาคินถึงเห็นความทุกข์ของเธอเป็นความสุขแล้วเผลอหัวเราะออกมาคล้ายกับกำลังขบขัน "รักงั้นหรอ? เธอรักฉันหรือเธอรักเงินของฉันกันล่ะมินตรา ถามหน่อยถ้าเกิดฉันไม่ได้เป็นรองประธานบริษัท ไม่ได้มีเงินทองมากมายก่ายกองให้เธอสูบเลือดสูบเนื้อเธอจะยังอยู่กับฉันมาถึงหนึ่งปีไหม เธอคงจะหนีกระเจิงตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าฉันเป็นไอ้พวกยาจกไม่มีเงินให้เห็บหมัดอย่างเธอค่อยหากินแล้วล่ะ" ความเจ็บปวดทรมานเสียดแทงเข้าไปจนถึงกระดูกดำของมินตรา เดิมทีที่น้ำตาไหลถาโถมลงมามากโขแล้วกลับเอ่อทะลักอีกรอคล้ายกับใจจะขาดรอนๆอยู่ตรงหน้าเขา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอพร่ำบอกกับตัวเองมาโดยตลอดว่าวันหนึ่งภาคินอาจจะเปลี่ยนใจแล้วมองเห็นคุณค่าที่เธอพยายามทำดีและจงรักภักดีต่อเขา แต่ในวันนี้เขากลับทำให้เธอได้รู้ว่าทุกอย่างที่พยายามลงไปทั้งหมดมันสูญเปล่า... เมื่อครั้งแรกที่เห็นว่าเขามาทำดีด้วยก็คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เกือบถึง 10 เปอร์เซ็นต์ในการพิชิตใจเขา...แล้วทำไม ทำไมนะ ทำไมเธอต้องมารู้ความจริงทีหลังว่า 10 เปอร์เซ็นต์นั้นมันเป็นแค่ภาพลวงตาจากคนจอมลวงโลกที่หลอกล่อให้ตายใจเพราะความจริงแล้วมันไม่เคยเคลื่อนที่จากเดิมเลย ครั้งแรกเป็น 0 เปอร์เซ็นต์อย่างไรครั้งต่อไปก็เป็น 0 เปอร์เซ็นต์อย่างนั้นเผลอเผลออาจมีติดลบก็ว่าได้ ต่อให้เธอจะพยายามสักแค่ไหน...ผลแห่งความพยายามนั้นก็ไร้ค่าเนื่องจากภาคินจะใช้เท้าเหยียบหัวแล้วกดเธอเอาไว้ให้จมดินไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด! เพราะในสายตาของเขาทุกครั้งที่มองเธอมันจะเต็มไปด้วยความชิงชังดูถูกเหยียดหยามสารพัด แววตาของเธอเริ่มพร่ามัว ทัศนวิสัยการมองเห็นไม่ค่อยชัดเจนเพราะภายในแววตามีแต่คราบหยาดน้ำเอ่อล้นอย่างท่วมท้น "งะ...งั้นก็ปล่อยมินไปได้ไหมคะ" ริมฝีปากสีชมพูอ่อนตามธรรมชาติพยายามออกแรงขยับเขยื้อนแล้วเปล่งเสียงอย่างแผ่วเบา ภาคินลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังตัวโปรดแล้วเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้ามินตราที่กำลังนั่งร้องห่มร้องไห้เรียกร้องความสนใจอย่างหมดสภาพ ก่อนจะเหยียดแขนแกร่งจับหมับเข้าที่ปลายคางมนแล้วดันใบหน้าจิ้มลิ้มให้เชิดรั้นขึ้นพร้อมทั้งออกแรงบีบเบาๆจนเนื้อนุ่มยุบบุ๋ม "อย่าไปเลยนะมินตรา ช่วยอยู่กับฉันก่อน" ประโยคที่ถูกเปล่งออกมาคล้ายกับว่ารักเธอ อยากรั้งให้เธออยู่ต่อกับเขา แต่ทว่าทำไมน้ำเสียงถึงได้ทะแม่งๆแลดูเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาหรือเห็นอกเห็นใจและรักเธอเลยสักนิด ทำไมในแววตาคู่นั้นยังมีแต่ความดูถูกเหยียดหยามและพร้อมจะกดเธอให้จมดินอยู่ใต้ฝ่าเท้าทุกเมื่อ ทำไมมันไม่เหมือนสายตาของคนรักกันล่ะ? ทำไมน้ำเสียงมันบ่งบอก มันแสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ "คุณภาคินอยากอยู่กับมินเหรอคะ" มินตราถามโง่ๆทั้งๆที่ภาพตรงหน้าก็แสดงให้เห็นเด่นหราชัดแล้วว่าเขาเห็นเธอเป็นแค่นางเมียเก็บหน้าเงิน ที่เบื่อเมื่อไหร่ก็พร้อมจะเฉดหัวทิ้งได้ทุกเมื่อ "หึ ใช่ ฉันอยากอยู่กับเธอเพราะฉันยังใช้เธอไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเลยมินตรา" ภาคินออกแรงบีบแก้มของมินตราแรงกว่าเดิมก่อนสะบัดออกจนใบหน้าสวยแทบเซล้ม "ไว้ฉันเบื่อเธอเมื่อไหร่ ฉันจะเฉดหัวเธอทิ้งแล้วกันนะมินตรา หรือไม่ฉันก็อาจจะแนะนำเสี่ยแก่ๆพุงเยอะๆที่มีเงินให้เธอเกาะสักคนสองคนเพื่อเป็นตัวเลือก หลังจากที่เลิกกับฉัน เธอจะได้มีที่เกาะใหม่ไง" "มันยังไม่พอใช่ไหมคะ คุณภาคินยังทำร้ายมินไม่พอใช่ไหมคะ?" หัวใจเธอมันเจ็บปวดรวดร้าวแตกสลายเป็นเสี่ยงๆไม่เหลือชิ้นดีแล้ว...ต่อให้จะหยิบยกขึ้นมาเก็บประกอบติดด้วยกาวตราช้างเจียระไนอย่างละเมียดละไมด้วยช่างฝีมือดีเลิศ มันก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แม้แต่ใกล้เคียงก็ยังไม่ได้เลย "แล้วแต่เธอจะคิด ตอนนี้ฉันเงี่ยน ถอดผ้าสิ" ภาคินผุดลุกผุดนั่งขึ้นไปหย่อนสะโพกไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะทำงาน พร้อมกับชำเลืองตาเเกมออกคำสั่ง "..." มินตรายังคงนั่งนิ่ง "ถอดผ้า หรือเธอจะให้ฉันฉีกเป็นชิ้นชิ้นแล้วเดินออกไปจากห้องฉันด้วยสภาพแบบนั้น หรือจะลองดูได้นะมินตรา คนทั้งบริษัทเขาจะได้เห็นธาตุแท้ของผู้หญิงที่หน้าตาใสซื่อแต่ข้างในเน่าเฟะแบบเธอ ถือว่าเป็นการประจานความร่านไปในตัวด้วย" ภาคินไม่คิดเลยสักนิดหรือว่าคำพูดของเขาแต่ละคำมันทำร้ายจิตใจของมินตราเสียเหลือเกิน..."ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ