โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ เฟรย์จะรออยู่หน้าห้องผ่าตัด”
ผู้เป็นแม่ทำได้แค่ยิ้มให้เธอก่อนที่เตียงคนไข้จะถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด “ณิชมน" ได้แต่ยืนมองอยู่ด้านนอก ไม่นานคุณหมอที่สวมชุดพร้อมผ่าตัดก็เดินเข้ามาหาเธอ
“ไม่ต้องห่วง คุณแม่ของคุณจะปลอดภัย”
“ขอบคุณค่ะ”
ดวงตาหม่นนั้นไม่ได้บอกถึงความยินดี สายตาของคุณหมอเจ้าของไข้เองก็เช่นกัน เขาก็ไม่ได้หวังว่าเธอจะเข้าใจในการทำงานของเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากข้อแลกเปลี่ยนของทั้งคู่ทั้งหมด
ก่อนหน้านั้นสองเดือน
“เคสนี้เป็นเคสที่ค่อนข้างหนัก คุณแม่ของคุณต้องทำการผ่าตัดค่ะ”
“อะไรนะคะ แต่ประกันชีวิตที่คุณแม่ทำไว้ วงเงินอาจจะไม่พอ”
“เท่าที่ดูแล้วน่าจะเพียงพอในการผ่าตัดครั้งแรกค่ะ แต่เรื่องค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อาจจะมีเพิ่มเติม นี่เป็นยอดค่าใช้จ่ายที่คุณหมอลองคำนวณมาให้ คุณลองพิจารณาดูอีกทีนะคะ”
พยาบาลยื่นเอกสารการรักษาทั้งหมดของคุณ “ชมจันทร์” มาให้ แม่ของเธอเป็นเจ้าของสวนมะม่วงและมะพร้าว แต่เพราะโหมงานหนักกับออเดอร์ที่รับมา เธอจึงได้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม โชคดีที่คนงานในสวนเห็นและนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่เมื่อตรวจโดยละเอียดกลับพบว่าเธอมีเนื้องอกที่สมอง
“ค่าใช้จ่ายมากขนาดนี้เลยเหรอ”
เอกสารในนั้นมีค่าใช้จ่ายเกือบสองล้านบาท แม้ว่าแม่ของเธอจะทำประกันชีวิตเอาไว้ แต่วงเงินในการรักษารวมทั้งหมดก็อาจจะไม่พอ เมื่อเห็นค่ารักษาพยาบาลแล้วเฟรย์ทรุดตัวลงกับโซฟาในห้องพักฟื้นของแม่ แม้ว่าเธอจะมีงานทำและเงินเดือนก็นับว่าพอใช้ได้ แต่ไม่อาจจะไม่พอหากต้องใช้เงินมากขนาดนี้ อีกอย่างตั้งแต่แม่ของเธอเข้าโรงพยาบาลและรับการรักษา ก็ยังไม่เคยได้คุยกับคุณหมอเจ้าของไข้เลยสักครั้ง
“คุณหมอจะเข้ามาไหมคะวันนี้”
“คุณหมอ “อติวิชญ์” จะเข้ามาช่วงบ่ายค่ะ ถ้าคุณอยากจะคุยกับคุณหมอเดี๋ยวฉันจะแจ้งให้นะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ”
บ่ายวันนั้น / ห้องพักคุณหมอ
“คุณหมอคะ ญาติผู้ป่วยห้องแปดสองสองอยากปรึกษาคุณหมอเรื่องการผ่าตัดค่ะ”
“ห้องแปดสองสอง…”
“อติวิชญ์” หมอศัลยกรรมสมองและเจ้าของไข้ของชมจันทร์ หยิบแฟ้มมาดู เมื่อเห็นชื่อของผู้ป่วยเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและหันไปบอกพยาบาลผู้ช่วยของเขา
“ให้เธอเข้ามาคุย ผมว่างตอนบ่ายสาม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปแจ้งญาติผู้ป่วยให้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
เมื่อพยาบาลผู้ช่วยออกไปแล้ว อติวิชญ์ หรือ “มาร์ค” หมอหนุ่มในวัยสามสิบสองปี เขาพึ่งได้รับตำแหน่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษทางด้านศัลยกรรมสมองมาหมาด ๆ และยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยดังอีกสองแห่ง เมื่อหันไปมองนอกหน้าต่างด้านนอกก็ยิ้มออกมา
“ได้เจอสักทีสินะ”
เมื่อเฟรย์รู้ว่าคุณหมออนุญาตให้เข้าพบได้ เธอจึงรีบเดินตามพยาบาลผู้ช่วยเข้ามาที่ห้องพักของคุณหมอทันที เมื่อเคาะประตูและเสียงอนุญาตดังขึ้นเธอจึงเดินเข้าไปด้านใน เฟรย์หันไปสวัสดีคุณหมอที่ดูอายุมากกว่าเธอแต่คงไม่มากเกินห้าปี เขาสวมแว่นตา หน้าตานิ่งและดูเย็นชากว่าที่เธอคิด
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันอยากจะปรึกษาเรื่องอาการป่วยของคุณชมจันทร์ค่ะ”
“เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เขาปรายตามองเธอนิดหน่อยและบอกให้เธอนั่งลง หญิงสาวในวัยยี่สิบห้าปีค่อย ๆ นั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขา ในมือเธอถือเอกสารที่พยาบาลให้เอาไว้แน่น หมอมาร์คที่หันไปคลิกบางอย่างในคอมพิวเตอร์เสร็จ จึงหันมามองเธอ
“ว่ายังไงครับ คุณมีอะไรจะคุยกับผมเหรอ”
“คือว่าเรื่องการผ่าตัดของคุณแม่น่ะค่ะ ดิฉันอยากทราบรายละเอียดว่าต้องทำการผ่าตัดเร่งด่วนเลยไหมคะ แล้วก็ค่ารักษาทั้งหมด… จะเกินกว่าที่คุณหมอประเมินมาหรือเปล่า ดิฉันจะได้เตรียมตัวถูก”
“เห็นว่าคุณชมจันทร์ก็มีประกันชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอครับ เรื่องค่ารักษาไม่น่าจะต้องห่วงนี่”
“ใช่ค่ะ เรื่องค่าผ่าตัดอาจจะไม่มีปัญหา แต่ว่าค่าห้องที่ต้องจ่ายในช่วงพักฟื้น… คือว่ามันค่อนข้างสูง ดิฉันจึงอยากจะทราบว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหน เพราะส่วนต่างตรงนี้ เราต้องรับผิดชอบเอง”
“อ้อ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าตามปกติผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดสมอง ช่วงพักฟื้นในโรงพยาบาลอย่างต่ำก็ไม่เกินเจ็ดวัน หากมีอาการแทรกซ้อนก็ราว ๆ สิบวันไม่เกินสิบห้าวัน นอกจากมีอาการอื่นร่วมด้วย ดังนั้นผมคิดว่าหากต้องการสำรองเรื่องค่าห้อง ก็ควรจะต้องคำนวณเผื่อเอาไว้สักหนึ่งเดือน”
“หนึ่งเดือน… เลยเหรอคะ”
“ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมีอาการไม่เหมือนกัน บางคนก็หายเร็วกว่าปกติ แต่บางคนหากมีอาการข้างเคียงมาก ๆ ก็คงต้องดูอาการกันยาว ๆ อ้อจริงสิอย่าลืมเรื่องค่าใช้จ่ายหลังจากที่ผ่าตัดไปแล้ว ก็ต้องมีการมากายภาพบำบัดและตรวจร่างกายทุกเดือนด้วย ผมลืมไปเลยว่าตรงส่วนนี้ประกันชีวิตน่าจะไม่จ่ายให้ใช่ไหม”
“นั่น… จริงด้วยสิ”
สีหน้าของเฟรย์เริ่มวิตกกังวลมากขึ้น เธอลืมนึกถึงเรื่องหลังจากการผ่าตัดไปเลย ทั้งเรื่องการรักษาต่อเนื่องและการพักฟื้น ถึงจะผ่านเรื่องการผ่าตัดใหญ่ไปได้ แม่ของเธอก็อาจจะต้องพักอย่างน้อยสามถึงหกเดือน และยังต้องมาตรวจที่โรงพยาบาลตลอด
“ดูเหมือนคุณจะค่อนข้างลำบากใจนะคุณ…”
“ณิชมนค่ะ”
“คุณณิชมนเอาแบบนี้ก็แล้วกัน คุณลองกลับไปคิดดูก่อน ที่ผมประเมินค่ารักษาไปให้คุณ นี่เป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่นับเรื่องที่จะมีอาการแทรกซ้อน หรือภาวะที่คนไข้ต้องรับหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น แต่ยังไงผมก็คงต้องบอกว่าอาการของคุณแม่คุณ จะต้องได้รับการผ่าตัด ไม่อย่างนั้นอาจจะอันตรายมากในอนาคต คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
“ฉันทราบค่ะ”
‘ณิชมน เอมฤทัย เป็นเธอจริง ๆ ด้วยสินะ’
สีหน้าของเฟรย์เริ่มซีดลงเรื่อย ๆ เธอแทบจะหมดแรงเมื่อคุยกับคุณหมอมาถึงตรงนี้ แม้ว่าเขาจะยังทำหน้านิ่งและพูดเหมือนไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลยก็ตาม
“คุณมีอะไรอยากจะพูดไหม”
“คะ?”
“ผมถามคุณว่า มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม”
“แล้วถ้าฉัน… อยากจะย้ายโรงพยาบาลที่พอจะ… จ่ายไหว”
“คุณก็ต้องมาขอประวัติ ทำเรื่องโยกย้ายและเริ่มต้นการตรวจใหม่ทั้งหมด อีกอย่างการรักษาที่ไม่ต่อเนื่องมีผลกระทบในระยะยาวและที่สำคัญ… คนไข้อาจจะรอไม่ได้นานถึงขนาดนั้น”
เฟรย์เริ่มหาทางออกไม่ได้ เธอกำมือแน่น ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีในตอนนี้ ทุกหนทางเหมือนกับจะถูกบีบให้แคบลงเรื่อย ๆ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของหมอ หรือว่าเธอเองที่กำลังสับสนจนทำตัวไม่ถูก
‘ใกล้แล้วสินะ’
“ฉันขอเวลากลับไปคิดทบทวน”
“แบบนั้นก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ก็เท่ากับว่าคุณแม่ของคุณจะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น”
“คุณหมอหมายความว่ายังไงคะ”
“หมายความว่าอาการของคุณชมจันทร์ ที่อยู่ห้องไอซียูตอนนี้ ต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง”
“แต่ว่าฉัน…”
เฟรย์รู้สึกจนมุมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงคิดจะขายที่ดินและทรัพย์สินที่มีทั้งหมด แต่ก็คงไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น ถ้าจะหางานทำเพิ่มในตอนนี้ก็พอจะเป็นไปได้แต่มันจะช่วยได้สักเท่าไหร่ เมื่อหันไปมองหน้าคุณหมอหนุ่มตรงหน้า เธอจึงไม่คิดถึงอะไรที่น่าอายมากกว่านี้อีกแล้ว
“คุณหมอมีวิธีอะไรที่พอจะช่วยฉันในเรื่องนี้ไหมคะ ฉันยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ได้เข้ารับการผ่าตัดในครั้งนี้”
“ไม่ได้นะคะแล้วต้นไผ่ละคะ”“ไม่มีปัญหา ก็แค่โทรบอกให้ต้นน้ำกับคุณน้าไปรับกลับบ้านก็พอแล้ว”“หมายความว่ายังไงคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณเอาหลานมาอ้าง”เขารีบกอดเธอเอาไว้แน่นทันที พร้อมกับสีหน้าออดอ้อนให้เธอยอมยกโทษให้“ขอโทษแต่ทำเพราะหมดหนทางแล้วจริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากเอาเจ้าตัวแสบนั่นมาอ้างหรอก แต่ว่ายังไงก็เริ่มเล่าเรื่องนี้กับคุณไม่ได้ เมื่อวานพอน้าเมตตาบอกว่าอยากมาเยี่ยมคุณชมจันทร์”“อะไรนะคะ คุณบอกว่า…”“เราไปอาบน้ำล้างตัวกันก่อนดีไหมแล้วค่อยคุยกัน ทิ้งไว้นานแบบนี้ก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเป็นห่วงคุณนะ”“ก็ได้ค่ะ แต่อุ้มเฟรย์ไปนะคะ”“คำสั่งเมียใครจะกล้าขัดล่ะ ด้วยความยินดีเลยครับผม”เธอหันไปหอมแก้มเขาครั้งหนึ่งเพื่อเป็นรางวัล เขาหันมายิ้มให้และอุ้มตัวเธอเดินออกไปทั้ง ๆ ที่เปลือยด้วยกันทั้งคู่ กลับไปที่ห้องของเขาเพื่อไปแช่อ่างจากุชชี่ในห้องนอนใหญ่“ท่านอยากไปเยี่ยมคุณแม่เหรอคะ”“ใช่ แต่ผมก็บอกแล้วว่าตอนนี้อาจจะยังไม่เหมาะ อีกอย่างคุณชมจันทร์ก็พึ่งจะฟื้นตัวจากการผ่าตัด ผมไม่อยากให้มีเรื่องกระทบจิตใจเธอก่อนการทำกายภาพบำบัดน่ะ”“ขอบคุณนะคะที่คิดถึงสุขภาพคุณแม่”“ยังไงก็เป็นคนไข้ของผม ไม่ใช่ส
หมอมาร์คค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จแล้ว เขาสามารถง้อเธอได้สำเร็จ แม้ว่าจะใช้เวลาค่อนข้างนานก็ตาม“ขอบคุณนะเฟรย์ ขอบคุณมากจริง ๆ”เธอกอดเขากลับไปอีกครั้ง ทั้งคู่เจ็บปวดกับเรื่องนี้มานานมากเกินไปแล้ว ในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มต้นใหม่กันเสียที มาร์คนอนกอดเฟรย์อยู่บนเตียงเล็กของเธอ“คุณเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่ารู้อยู่แล้วว่าต้นไผ่คือลูกของใคร”“ที่จริงก็ไม่รู้หรอกค่ะ แต่เห็นหน้าตาของเขาเหมือนกับพี่กล้ามาก เฟรย์ก็เลยคิดว่า…”หมอมาร์คหันมามองหน้าเธอ จมูกของเขาคลอเคลียที่จมูกของเธอจนเฟรย์ไม่กล้าพูดอะไรต่อ“คุณเห็นว่าต้นไผ่หน้าเหมือนต้นกล้าก็เลยเอะใจเหรอ แสดงว่าคุณยังไม่ลืมเขา ยังคิดถึงเขาเหรอ”“หมอคะ อย่าบอกนะว่าคุณหึง”“ช่วยไม่ได้นี่นา คุณทำให้ผมเป็นแบบนี้เองก็ต้องรับผิดชอบหน่อยสิ จริงไหม”จูบของเขารุนแรงและเร่าร้อน เต็มไปด้วยความต้องการและไม่อาจทนได้อีก ลิ้นร้อนเกลี่ยไปทั่วจนเธอเผลอตัวตอบรับ เขากดเบียดริมฝีปากลงไปอีกครั้งและปล่อยเธอให้ได้หายใจ“เมื่อคืนนี้ผมหลับไปก่อนเพราะเสียงหวาน ๆ ของคุณ วันนี้ผมไม่อยากฟังนิทาน ผมอยากฟังเสียงครางและร้องขอให้ผมรักคุ
มาร์คนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าเฟรย์จะเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าต้นไผ่คือลูกของต้นกล้า แต่เขาลืมนึกไปว่าเฟรย์ไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ต้นกล้านอนด้วยในตอนนั้นท้อง เธอจึงไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรที่มากกว่านี้“ผมคิดว่าคุณน่าจะเดาออก จากชื่อของต้นไผ่เสียอีก”“ฉันคิดว่าฉันเดาออกจากหน้าตาของเขา แค่ไม่แน่ใจว่ามันจะใช่หรือเปล่าเท่านั้นเองค่ะ”“กลับบ้านกันเถอะ แล้วผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง”“มีเรื่องอะไรที่ฉันยังไม่เคยรู้อีกเหรอคะ”“ผมว่าคุณน่าจะไม่รู้อะไรเลยตั้งแต่แรก และคงยังเก็บความรู้สึกผิดกับต้นกล้าเอาไว้จนถึงตอนนี้ รวมถึงเรื่องที่ผมทำเลวกับคุณด้วย ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างมันไม่ควรเกิดขึ้น วันนี้ผมจึงตัดสินใจจะคุยเรื่องนี้กับคุณ”“กลับกันเถอะค่ะ”เขาจับมือเธอเดินไปที่รถ โดยไม่ต้องพูดอะไรกันอีก เธอรู้ว่าหลังจากนี้เรื่องที่เขาจะเล่าให้เธอฟังคงเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้ และแน่นอนว่าสี่ปีมานี้เธอเองก็ยังรู้สึกผิดกับต้นกล้ามาโดยตลอด เพราะคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาฆ่าตัวตายบ้านของหมอมาร์ค“ไปคุยในห้องเถอะ”“ทำไมไม่คุยที่นี่ละคะ”“ไม่สะดวกหรอกผมกลัวคุณหนี จะได้จับคุณแก้ผ้าเอาไว้ก่อนที่คิดจะหนี”“หมอคะ!”“ผมแค่ล้อเล่นเท
“คุณรีบออกไปเลยนะ! ไปเลย”“โอ๊ย ๆ ไปแล้วก็ได้อย่าผลักกันแบบนี้สิ เดี๋ยวมีอารมณ์อื่นขึ้นมา… คุณต้องรับผิดชอบนะ”“ไอ้! …อื้อ”ในที่สุดเขาก็เก็บความอดทนนี้เอาไว้ไม่ได้ มาร์คก้มลงบดริมฝีปากลงไปหาเธอ ลิ้นร้อนฉกหาความหวานที่รอคอยมานาน เฟรย์เองก็เริ่มต่อต้านความต้องการนี้ไม่ไหวและเผลอตอบรับเขาไป“แฮก แฮก”“เมียจ๋า…อีกนิดนะ”“คุณ…อื้อ”เขาดึงผ้าเช็ดตัวของเธอออกและพาไปที่เตียง มือหนาเริ่มควานหาหน้าอกคู่สวยที่คิดถึงมาหลายเดือนอย่างโหยหาจนเธอเผลอแอ่นตัวรับ แต่ปากของทั้งคู่ยังคงบดขยี้กันอย่างไม่ยอมกันอยู่“อื้อ…พอก่อนค่ะ!”“เฮ้อ…. ก็ได้ รอเจ้าตัวเล็กนั่นหลับก่อน แล้วค่อยมาคุยกันต่อ”“ออกไปได้แล้วค่ะ”“ก็ได้ แต่ขอแถมอีกหน่อยนะครับ คิดถึงมานานแล้ว นะ…”“ไม่ได้ ไม่งั้นฉันจะ…”“อย่าขู่ ไม่งั้นคืนนี้เจอดีแน่”“ถ้างั้นฉันก็จะไม่ออกจากห้องนี้”“ได้ งั้นผมจะรอจนคุณแต่งตัวเสร็จและพาไปที่ห้อง หรือว่าจะให้ผมใส่ให้ดีละ แต่ผมไม่ถนัดใส่นะ ถนัดถอดมากกว่า”“หมอ!! ออกไปเลย!”“เปลี่ยนใจแล้ว ออกไปพร้อมกันดีกว่าเร็วเข้าสิรีบใส่เสื้อผ้า ถ้ายังไม่ใส่ผมจะใส่ของผมเข้าไปแล้วนะ ทนมานานแล้วด้วยคุณก็รู้”“ไอ้คนบ้า ไอ้โรคจิต
“อ้อผมคงเหนื่อยเกินไปจริง ๆ ขอโทษทีนะ”เขากดรีโมทรถทันทีเมื่อเธอหันมามองเขาด้วยท่าทีสงสัย เธอระแวงและพยายามชวนเขาคุยตลอดเส้นทาง ต้นไผ่กำลังสนใจของเล่นชิ้นใหม่อยู่ข้างหลังและไม่ได้สนใจทั้งสองคน“คุณหมอดูจะเหนื่อยนะคะช่วงนี้ ไม่ค่อยได้พักผ่อนเหรอคะ”“มีผ่าตัดติดต่อกันหลายวัน แต่ละเคสค่อนข้างหนักน่ะ อีกอย่างการผ่าตัดสมองไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันต้องรอบคอบทุกวินาที ผมไม่อยากทำพลาดให้ส่วนของตัวเอง ดังนั้นก็เลยพยายามทำให้เต็มที่ที่สุดน่ะ”“งานของคุณหมอดูจะกดดันมากเลยนะคะ แล้วนี่ยังต้องมาเลี้ยงต้นไผ่อีก แล้วแม่ของเขาจะกลับเมื่อไหร่คะ”“เห็นว่าอีกสามวัน พรุ่งนี้วันศุกร์แล้ว ไปโรงเรียนอีกวันเดียวก็หยุด โชคดีหน่อย”“แต่วันหยุดของคุณหมอนี่สิคะ”“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็มีคุณคอยช่วยอยู่แล้วนี่ จริงไหม”“แต่คุณแม่…”“คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ ก่อนหน้านั้นผมก็หาพยาบาลมาช่วยดูแลคุณชมจันทร์เป็นอย่างดี ตอนนี้อาการดีกว่าตอนนั้นเยอะเลยนะ อีกอย่างช่วงนี้ก็ใกล้จะได้ทำกายภาพบำบัดแล้ว ผมแนะนำว่าอย่าเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยไม่จำเป็นจะดีกว่า เชื่อผมเถอะ”“ก็ได้ค่ะ ฉันจะยอมเชื่อคุณหมออีกสักครั้ง”“ผมเชื่อใจได้จริง ๆ นะ”เฟรย์
“นะครับพี่เฟรย์คนสวย ไปเลือกของเล่นกับไผ่นะครับ”เฟรย์หันไปยิ้มให้เด็กน้อย เธอใจอ่อนลงทันทีเมื่อถูกเขาอ้อนแบบนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าหมอใจโหดอย่างอติวิชญ์ จะมีหลานชายที่น่ารักขนาดนี้“ก็ได้ค่ะ พี่รับปากค่ะ”หมอมาร์คหันไปคว้าแฟ้มและแอบยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ วันนี้คงต้องให้รางวัลเจ้าตัวเล็กนี้อย่างสมน้ำสมเนื้อสักหน่อยแล้ว ที่ทำให้ภารกิจครั้งแรกของเขาสำเร็จ“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับไปเก็บของที่ห้องก่อน”“ไผ่รออยู่ที่นี่กับพี่เฟรย์นะครับลุงมาร์ค เดี๋ยวพี่เฟรย์หนี”“ตายจริง ฮ่า ๆ แย่แล้วล่ะเฟรย์เอ๊ย เห็นทีจะได้เลี้ยงเด็กน้อยยาวแล้วละมั้งแบบนี้”“แม่ก็… พูดเรื่อยเปื่อย พี่เฟรย์รับปากแล้วไม่หนีหรอกครับ”“ถ้าอย่างนั้นพี่เฟรย์ก็ไปพร้อมกับไผ่ แล้วก็ลุงมาร์คเลยไหมครับ”“เอ่อ ลุงยังต้องทำงานอีกหน่อย ถ้างั้นผม… รบกวนฝากหลานเอาไว้กับคุณสักครู่ได้ไหม”“ได้ค่ะคุณหมอไปทำธุระเถอะค่ะ เสร็จแล้วค่อยมารับ”“ขอบคุณนะครับ”เฟรย์พยักหน้าให้เขา หมอมาร์ครีบคว้าแฟ้มและลาชมจันทร์ออกจากห้องไปทันที เขาดีใจจนแทบอยากจะกระโดดขึ้นมาเมื่อแผนการแรกได้ผล พอมาถึงแผนกก็รีบส่งรายงานและสั่งงานเอาไว้จนเรียบร้อย และเข้าไปที่ห้องพั