เข้าสู่ระบบตอนที่ 7 เรือนบวรเวทย์
ด้วยความสุขุมอย่างบุตรสาวคนโตทำให้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และแม้นว่าคุณหลวงกับคุณหญิงจะรักลูกสาวคนนี้ปานใด ทว่าความรักนี้คงยังมิสู้ความรักในตัวกลัวตายตระกูลล่มสลาย
“เป็นเจ้า ดารานี ลูกรักของแม่ ฮื้อ...” พูดจบจันทร์ฉายหยิบผ้าไหมผืนเล็กปาดน้ำตา “พ่อเจ้านัดกับท่านขุนอัครเดชไว้บ่ายนี้ จะไปขอความช่วยเหลือ”
สองฝาแฝดลอบมองหน้ากันสีหน้าไร้สีเลือดปากสั่น ก่อนแฝดพี่จะเป็นคนเอ่ยถาม
“แล้วลูกคนใดกัน เป็นลูกคนใดที่ต้องไป”
“ดารานี เจ้าเป็นคนต้องคำสาป เจ้าต้องไปด้วยตนเองให้ท่านขุนเห็นหน้า หากท่านขุนมีใจเมตตา พวกเราจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ตลอดไป”
ดารานีอึ้งงัน ในทรวงอกอัดแน่นบางอย่างที่ตนต้องเป็นฝ่ายแบกความรับผิดชอบต่อดวงชะตาครอบครัว
“มีใจเมตตา!! เชอะ ท่านพ่อท่านแม่พูดราวกับว่าการได้แตะเนื้อต้องตัวร่วมเตียงกับพี่นีถือเป็นโชควาสนาของเรา แท้จริงควรเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้ผลประโยชน์!”
ตึง! คุณหลวงกระทืบเท้าลงพื้นเรือน ยกนิ้วชี้หน้า ใบหน้ากราดเกรี้ยวจนริมฝีปากบิดเบี้ยว
“ดารานี!! เจ้ามันปากไพร่ คงเพราะอยู่แต่พวกชั้นต่ำจึงได้พูดจาโพล่งขึ้นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปใช้ปากเยี่ยงนี้กับผู้ใดได้อีก ลงจากเรือนไปเสีย มิใช่ธุระของเจ้าอีกต่อไป!!”
ดารากาดวงหน้าซีดเผือด ในช่องท้องคล้ายมีก้อนเย็นยะเยือกถ่วงอยู่จมลึกมาเนิ่นนาน เธอก้มกราบด้วยความเงียบงันสะกดกลั้นกลืนบางสิ่งลงไปแล้วคลานถอยหลังลงจากเรือนเงียบเชียบ
“ท่านพี่ ไม่ควรพูดกับลูกดาราเช่นนั้น” จันทร์ฉายแย้งเสียงเบา
“ไม่ควรพูดได้เยี่ยงไร หากบ่าวไพร่ได้ยินแล้วนินทาความนี้รู้ถึงหูขุนอัครเดชเข้าจะเกิดอะไรขึ้น ปรามไว้เสียเนิ่น ๆ เวลาไปที่ใดจักได้รู้จักสำรวม”
“เอาเถิด เรื่องแม่ดาราพักไว้ก่อน ลูกนีเจ้าไปเตรียมตัวแต่งกายให้สมเป็นแม่หญิงของเรือนศรีสงคราม บ่ายคล้อยเราจะเดินทางไปยังเรือนบวรเวทย์”
“เจ้าค่ะ”
ดารานีเปล่งเสียงสั่นเทา ร่างอรชรคลานเข่าถอยหลังแข้งขาอ่อนแรงร้าวไปหมด ใจหน่วงคล้ายจะร้องไห้ที่คำสาปมาตกอยู่กับเธอ ใบหน้าไม่อาจมีรอยยิ้ม เหลียวสายตามองออกไปยังภายนอก ที่ไกล ๆ ลับตา จุดที่เธอนัดพบเจอกับคนรักลับ ๆ มาตลอดหลายเดือน
ยามบ่าย ณ เรือนบวรเวทย์
เรือนบวรเวทย์ใหญ่โตงดงามไม่แพ้เรือนใดของข้าหลวงลำดับสูงแห่งอโยธยา ปั้นลมวิจิตรงามตาหยดย้อยห้อยกระดิ่งลมเงินปลิวไสวมิว่างเว้น ส่งเสียงวิเวกกรีดลงข้างในทรวงอกแม่หญิงดารานี
ดวงตากวางเบิกกว้างยามก้าวขึ้นสู่เรือนกลาง แม้ว่าบรรยากาศร่มรื่น ผ้าม่านสีขาวโปร่งบางลดทอนสีของไม้กฤษณาดำเข้ม ทว่ากลิ่นหอมตลบลอยคว้างอ้อยอิ่งทุกแห่งหน ทุกซอกมุมของเรือนจอมเวทย์ ยิ่งพาให้ขนแขนของเธอลุกเกรียวจนเป็นตุ่มไต รู้สึกหนาวเย็นขึ้นกะทันหันจนเผลอตัวลูบแขนตัวเอง หย่อนร่างลงพื้นด้านล่างใกล้คุณหญิงจันทร์ฉาย แนบตัวชิดปลีน่องมารดารอคอยด้วยใจระทึก
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดั่งชายเรือนร่างใหญ่ดังสะท้อนก้องโถงกลาง ยิ่งพาให้ดารานีตัวสั่นเทิ้ม
“แม่...”
“ใจเย็น ๆ ลูก ขุนอัครเดชหน้าตาดีมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่”
ดารานีขบริมฝีปากกลั้นอาการสั่นเทา คำปลอบโยนนี้ไม่ได้ช่วยลดทอนความหวาดกลัวลงแต่อย่างใด เธอสะท้านราวเป็นไข้จนต้องวางมือกุมหน้าท้อง
“ขุนอัครเดช”
คุณหลวงเอ่ยทักก่อนลุกยืน แสดงให้เห็นว่าขุนอัครเดชมีอำนาจบารมีมากกว่าท่านพ่อของเธอ
สายตากวางเหลือบมองเท้าใหญ่คล้ำเข้มขึ้นสู่โจงกระเบนผ้าไหมสีดำและตัวเสื้อผ้าแพรอยู่บ้านสีเดียวกัน นิ้วจิกลงชายผ้าซิ่นไม่รู้ตัว ก้มหน้างุดไม่ยอมแหงนขึ้น
“ท่านหลวง แล้วนี่คือ...”
“คุณหญิงจันทร์ฉาย ภรรยา และคนนี้บุตรสาว ดารานี”
ร่างอรชรในชุดผ้าซิ่นไหมสีเข้ม ตัวเสื้อแขนกระบอกสีอ่อนคล้ายดอกบัวหลวงยามเช้า พาดสไบผืนน้อยสีเหลืองเข้มกว่า มิได้เกล้าผมเช่นเมื่อเช้า ปล่อยให้เคลียไหล่สยายยาวถึงกลางหลังหวีเปิดหน้าออกทั้งสองข้างเป็นปีก
“แม่หญิงดารานี”
เสียงทุ้มต่ำพาให้ดารานีเนื้อตัวสะท้าน กัดริมฝีปากแน่นขณะช้อนหน้าขึ้นก่อนผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นนัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายบางอย่าง
“ท่านขุนอัครเดช...” เสียงหวานแผ่วเบา ก้มลงไหว้งดงามแล้วไม่ยอมเงยหน้า
“หลวงพิริยเดช มาครั้งนี้มีเรื่องอันใดหรือ?” เขาทอดน้ำเสียงนุ่มนวลผิดไปจากเมื่อเช้าจนหลวงเองยังแปลกใจ
“พูดตามตรงไม่อ้อมค้อมนะท่านขุน ตระกูลศรีสงครามของข้านี้ต้องคำสาป!”
“คำสาปใดหรือท่านหลวง” เขาเอียงหน้าไปทางแม่หญิงน้อยขมวดคิ้วสงสัย
“คำสาปแช่งของขุนสิงหไกรครั้งสุโฆฑะยะ”
“ขุนสิงหไกร ขึ้นชื่อเรื่องมนตร์ดำไสยศาสตร์เก่าแก่ มิมีเหลือตกทอดลงมายังอโยธยาแล้วนี่?”
“ทว่ามนตร์ดำยังคงอยู่ วานนี้ข้าให้โหรหลวงทำนายดวงชะตา ธิดาของข้าตกฟากสิบห้าค่ำเดือนดับ วันอังคารปีขาล ช่วงก่อนราหูจะเคลื่อนออก จึงทำให้มนตร์ดำที่แต่เดิมอ่อนด้อยกลับแข็งกร้าว”
ตอนที่ 12 ไม่มีใครเหมือนของท่านขุนอัครเดชเหตุใดเขาจึงมิทำมันให้จบสิ้น เธอนอนเกร็งไปทั่วร่าง หวาดหวั่นจนลำคอแห้งผาก ขาเป็นตะคริว ความขุ่นข้องพาให้เธอดันไหล่เขาออก คิ้วเข้มขมวดทันที“เป็นกระไร เรายังทำพิธีไม่เสร็จ”“แล้วเหตุใดท่านขุนจึงมิทำเสียให้แล้วโดยไว ท่านท่องบทสวดประเดี๋ยวหยุด ประเดี๋ยวท่อง เยี่ยงนี้เมื่อใดกันจึงจักเรียบร้อย”ด้วยถูกเลี้ยงดูมากับบ่าวไพร่จึงทำให้เธอมักพูดโพล่งออกไปไม่ทันคิด เห็นคิ้วข้างขวาเขายกขึ้นโก่งสูง ขยับหน้าขึ้นจ้องเธอนิ่ง“ออเจ้าเร่งรัดข้าหรือ? ต้องการให้ข้าทำแบบรีบร้อนเช่นนั้นหรือ?”“ใช่ท่านขุน ข้าคิดว่าท่านช้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นแม่หญิงมีตระกูล แค่ให้ข้าต้องนอนอยู่บนพื้นกระดาน บนผ้าสีขาวกลางห้องทำพิธีมืดทึมนี่ก็นับว่าหมิ่นเกียรติมากพอแล้ว แทนที่ท่านจักทำมันให้จบ ๆ กลับให้ข้านอนใจเต้นระทึกเป็นนาน”ขุนอัครเดชเกิดความสับสนไม่แน่ใจ นับจากที่พบเธอในวัดเพลานั้นเธอคล้ายหวาดกลัว แม้ว่ามีเค้าลางดื้อดึงซ่อนอยู่ ส่วนวันก่อนหวาดกลัวหนักกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งร่างทว่าในค่ำนี้ แรกที่เขาสัมผัสร่างเธอยังสั่นเทิ้ม แล้วเหตุใดแปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเร่งบทสวดขึ้น
ตอนที่ 11 ท่านขุน 18+แอ๊ด!เปลือกตาแม่หญิงลืมโพล่งผวาเล็กน้อยยามเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อท่อนบน สวมเพียงผ้าซิ่นสีขาวทำพิธีตัวยาวจดข้อเท้า ผิวเข้มคล้ำจากแดดเผาเลียจนรอยสักยันต์มากมายบนผิวหนังเกือบจะกลืนหายเธอไม่กล้าสบตาก้มศีรษะลงทันใด“นั่งชันเข่าไว้”เสียงทุ้มพร่ากว่าคราวก่อนยิ่งพาให้ท้องน้อยหดรัด เธอขยับท่อนขาขึ้นนั่งชันเข่าแบบหญิงสำหรับทำพิธีกรรม แว่วเสียงท่านขุนคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาแล้วท่องบทสวดถ้อยบทสวดทุ้มต่ำที่เธอไม่เคยได้ยินก้องกังวานจนร่างสะท้าน บรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายเรือนกายถูกถ่วงนิ่ง รับรู้เพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นเครื่องหอมอันน่าพิศวงดารากาสะดุ้งสุดตัว สัมผัสถึงไออุ่นแผ่นใหญ่ด้านหลัง ท่านขุนนั่งชันเข่าเช่นกันโน้มหน้าลงลาดไหล่พ่นลมหายใจร้อนจัดขยับขึ้นใบหู เขายังไม่ถูกตัวเธอด้วยซ้ำทว่ามันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่าง“วันนี้ออเจ้าหอมกลิ่นบางอย่าง”ดารากาเม้มปากเอียงศีรษะหนีไปอีกด้านทันทีเมื่อขอบปากหนาจดลงลำคอระหง ก่อนที่เขาจะขยับออกห่าง เธอได้ยินบทสวดดังขึ้นอีกครั้งใกล้ใบหูขุนอัครเดชหยิบมีดลงอาคม มีดสองคมส่องประกายวาววับทำจากเหล็กน้ำพี้ดำสนิททว่าสะท้อนเงาล้อแสงไฟดั่งกระจกเง
ตอนที่ 10 วันส่งตัวเช้าวันรุ่งขึ้น ณ เรือนบวรเวทย์เรือนไทยสูงตระหง่านตรงกลางแมกไม้หนาทึบ กลิ่นดอกกาสะลองชัดกว่ากลิ่นใด ในขณะที่ดารากาเยื้องย่างมาถึงยังเรือนแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ร่างอรชรในชุดบ่าวสีน้ำตาลโจงกระเบนเนื้อหยาบพันผ้าคาดอกเผยผิวนวลผิดไปจากทาสคนอื่น ปิดคลุมหน้าด้วยผ้าหยาบสีน้ำตาลโพกพันถึงลำคอ นั่งเงียบถัดอยู่ด้านหลังบ่าวบัว มือรวบไว้บนพื้นค้อมตัวลงก้มศีรษะ สะดุ้งเบา ๆ ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น“ท่านขุนอัครเดช” ดารานีทักเสียงเบา“ข้าให้คนเตรียมห้องหับไว้ให้ออเจ้าแล้ว อยู่อีกชานเรือนฟากฝั่งทิศเหนือ ช่วงนี้กำลังเข้าหน้าฝนไม่ร้อนสักเท่าใด”เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าทำให้ดารากาหดขาพับเพียบเข้ามาอีกไม่รู้ตัว เธอสั่นไปหมดก้มหน้าจนเกือบติดพื้น“เจ้าค่ะ”“นำบ่าวมาเพียงเท่านี้หรือ”“เจ้าค่ะ”“แล้วบ่าวผู้นั้น ไยจึงโพกผ้า เจ้าเงยหน้า” เขาส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงเท่านี้ดารากาก็ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงกระหน่ำ หูคล้ายดับไปแล้วจึงก้มหน้างุดลงอีก“ท่านขุนเจ้าคะ บ่าวผู้นั้นชื่อชะเอม มันโดนไฟคลอกตั้งแต่ยังเล็ก ใบหน้าพิกลพิกาลนัก เลยให้มันโพกผ้าไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”“วั
ตอนที่ 9 ใจอันหนักอึ้งเช้าวันต่อมา ณ เรือนศรีสงครามเรือนนอนของดารากาอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไม่มากนัก เป็นเรือนไม้สักทองทั้งหลังงดงามไม่แพ้กันทว่าหลังเล็กกว่าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวแสงยามเช้าสีทองสาดเข้ายังหน้าต่างห้องนอนทอดยาวเกิดเงาบนผนัง ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวตามแรงลมเอื่อย ดวงหน้าขุนอัครเดชยังติดตายากจะสลัดทิ้ง“พี่บัว”“เจ้าคะ คุณหนู”“ค่ำวานนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อกับแม่กลับมากันยามใด”“ค่อนดึกเจ้าค่ะ บ่าวลอบมองข้างบันไดใบหน้าซีดเซียว ยิ่งคุณหนูดารานีคล้ายคนเป็นลมมาเจ้าค่ะ”ดารากานิ่งงันไปอึดใจ แม้นว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่ายังได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดี กตัญญูรู้คุณ ยามนี้คนในบ้านเดือดร้อนเธอเองก็พลอยร้อนใจตาม“บ่าวเคยได้ยินเรื่องท่านขุน เขาเล่าลือกันว่าคาถาอาคมแกร่งกล้าแม้กระทั่งเสกคนให้กลายเป็นหินเจ้าคะ”“หินงั้นหรือ?” น้ำเสียงตื่นตระหนก“เจ้าค่ะ” บัวทำท่าขนลุกก่อนจะสะดุ้งโหย่งตึง ตึง ผลัวะ! จู่ ๆ บ่าวรับใช้อีกคนอายุยังน้อยเพียงสิบหกปี วิ่งตึงตังพรวดพราดเข้ามาในห้อง“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ”“อะไรแม่ชะเอม! เดินเหินให้เบาฝีตีนสักหน่อย ใครได้ยินจะหาว่าบ้านนี้ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่” บ
ตอนที่ 8 เจ็ดวันคราขุนอัครเดชยืดเรือนกายเคร่งเครียด ในเพลานี้เขาตระหนักแล้วว่าหลวงพิริยเดชหมายถึงสิ่งใด การถอนคำสาปแช่งอาคมแกร่งกร้าวที่ไร้ผู้สืบทอดจนหาต้นตอมิได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ ตาย!!“ท่านหมายใจจะให้ธิดาท่านสิ้นชีวาหรือ?”เขาพุ่งคำถามทันทีไม่รอช้า จ้องดวงตาคุณหลวงที่แฝงความกังวล ใบหน้าหมองคล้ำ“มิได้ท่านขุน ข้ามิได้ต้องการให้ดารานีต้องตาย”“ถ้าเช่นนั้น ท่านหมายถึงการหาตัวตายตัวแทน ใช่หรือไม่”“ท่านขุนเก่งฉกาจนัก เดาใจข้าได้ถูกต้อง”ขุนอัครเดชนิ่งอึ้ง สิ่งที่เขาคาดเดามิได้เก่งกาจอันใด ทว่าการถอนคำสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี ดังนั้นการหาตัวตายตัวแทนย่อมดีกว่าให้ธิดาต้องตายดับ“ข้าอาจมิได้เก่งกาจอันใด ขอหลวงท่านขยายความด้วยเถิด”ขุนอัครเดชหยิบน้ำขึ้นจิบทันที ลำคอแห้งผากกะทันหัน เพราะภายในใจนั้นรู้เต็มอกว่าต้องทำเยี่ยงไร ภาพในห้วงสำนึกเพลานี้จึงเป็นภาพที่มิควรเห็น พยายามไม่จดจ้องดวงหน้างดงามที่เอาแต่ก้มหน้า“โหรหลวงท่าน...ข้านี้กระดากปากยิ่งนัก เป็นถึงพ่อคนแม่คนแต่ต้องพูดเยี่ยงนี้ให้บุตรีเสียชื่อ ทว่าหากไม่กระทำเยี่ยงนี้ข้าเองก็จนปัญญา”หลวงพิริยเดชเอ่ยถ่อมตัวเล็กน้อย“ข้าต้
ตอนที่ 7 เรือนบวรเวทย์ด้วยความสุขุมอย่างบุตรสาวคนโตทำให้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และแม้นว่าคุณหลวงกับคุณหญิงจะรักลูกสาวคนนี้ปานใด ทว่าความรักนี้คงยังมิสู้ความรักในตัวกลัวตายตระกูลล่มสลาย“เป็นเจ้า ดารานี ลูกรักของแม่ ฮื้อ...” พูดจบจันทร์ฉายหยิบผ้าไหมผืนเล็กปาดน้ำตา “พ่อเจ้านัดกับท่านขุนอัครเดชไว้บ่ายนี้ จะไปขอความช่วยเหลือ”สองฝาแฝดลอบมองหน้ากันสีหน้าไร้สีเลือดปากสั่น ก่อนแฝดพี่จะเป็นคนเอ่ยถาม“แล้วลูกคนใดกัน เป็นลูกคนใดที่ต้องไป”“ดารานี เจ้าเป็นคนต้องคำสาป เจ้าต้องไปด้วยตนเองให้ท่านขุนเห็นหน้า หากท่านขุนมีใจเมตตา พวกเราจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ตลอดไป”ดารานีอึ้งงัน ในทรวงอกอัดแน่นบางอย่างที่ตนต้องเป็นฝ่ายแบกความรับผิดชอบต่อดวงชะตาครอบครัว“มีใจเมตตา!! เชอะ ท่านพ่อท่านแม่พูดราวกับว่าการได้แตะเนื้อต้องตัวร่วมเตียงกับพี่นีถือเป็นโชควาสนาของเรา แท้จริงควรเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้ผลประโยชน์!”ตึง! คุณหลวงกระทืบเท้าลงพื้นเรือน ยกนิ้วชี้หน้า ใบหน้ากราดเกรี้ยวจนริมฝีปากบิดเบี้ยว“ดารานี!! เจ้ามันปากไพร่ คงเพราะอยู่แต่พวกชั้นต่ำจึงได้พูดจาโพล่งขึ้นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปใช้ปากเยี่ยงนี้กั







