เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก ดังก้องสะท้อนในโถงทางเดินแคบๆ ที่เงียบสงัด ขณะประตูเหล็กที่มีรอยสนิมขึ้นเล็กน้อยถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว
เสียงโลหะเสียดสีกันชวนให้ขนลุก ผู้คุมในชุดคลุมยาวสีดำสนิทก้าวเข้ามาในห้อง รัศมีเวทมนตร์บางเบาลอยอ้อยอิ่งรอบตัวเขา ร่างสูงสง่ามีท่าทางเงียบขรึม ดวงตาที่เยือกเย็นจับจ้องมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับพื้นโดยไม่เอ่ยคำใด ก่อนที่สุดท้ายผู้คุมจะเดินไปนั่งอยู่ที่มุมโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้หน้าห้องขัง
เขาสังเกตุท่าที และ ลักษณะของผู้คุมอย่างละเอียด แม้ว่าภายนอกดูเหมือนจะถูกปิดบังตัวตนอย่างมิดชิด แต่วัสดุของคฑานั้นก็เพียงพอที่เขาจะสามารถเดาออกได้ว่าผู้คุมตรงหน้านั้นมาจากกลุ่มไหน แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะวัสดุที่ใช้ทำด้ามคฑานั้น เป็นของที่สั่งทำโดยเฉพาะ และ มีแค่กลุ่มเดียวที่มีวัสดุแบบนี้….หอคอยจอมเวทย์
“เป็นไปได้ยังไง? หรือว่าจะถูกขโมยมา?”
เขาตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะสังเกตุบริเวณด้ามจับของคฑาที่ชายคนนั้นถืออย่างละเอียด
ร่องรอยการสึกกร่อนจากรอยนิ้วมือปรากฏอย่างเด่นชัด ทั้งคราบสกปรก และ รอยถลอก ตรงกับผู้ใช้อย่างชัดเจน ราวกับถูกใช้มาตั้งแต่แรก เว้นเสียแต่ว่าผู้คุมตรงหน้าจะขโมยมันมาก่อนที่จะถึงมือเจ้าของตัวจริง
แต่นั้นก็ฟังดูเป็นไปไม่ได้เข้าใหญ่ ใครกันที่บ้าพอจะกล้าขโมยของๆหอคอยที่มีอำนาจเทียบเคียงกับราชวงศ์กัน?
ยิ่งชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น เหตุใดหอคอยที่เป็นกลางมาตลอดถึงกล้าลักพาตัวคนกลางเมือง รวมถึงนำคนจำนวนมากมาดักจับเขาขนาดนี้
ถึงจะไม่ได้รู้จักผู้นำหอคอยเป็นการส่วนตัว แต่ก็เคยพบเจอกันมาก่อน แถมยังได้รับการช่วยเหลือเอาไว้ครั้งนึงด้วย ถึงแม้ว่าหลังจากที่เธอหายตัวไป เขาจะไม่ได้พบกับผู้นำหอคอยอีกเลยก็ตาม แต่ก็ไม่คิดว่าชายคนนั้นจะมีนิสัยแบบนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นฝีมือคนอื่น…
ชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว “ฟาเรีย”รองผู้นำหอคอยจอมเวทย์ แม้ชื่อเสียงในที่สาธารณะจะฟังดูดี แต่กลับมีข่าวลือว่าเธอได้รับการสนับสนุนจากขุนนางอย่างเห็นได้ชัด แถมยังกุมอำนาจของหอคอยจอมเวทส่วนใหญ่เอาไว้ แม้จะเป็นรองแค่ผู้นำหอคอยก็ตามที
หญิงสาวคนนั้นอาจจะรู้เรื่องการทดสอบที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ไม่งั้นแล้ว ทำไมเหยื่อในคดีถึงเป็นเหล่าลูกหลานของตระกูลขุนนาง แต่กลับไม่มีจอมเวทย์จากสามัญชนเลย?
และแม้ว่าเขาจะบังเอิญหลงเข้าไปในเขตแดนของแม่มดก็ตาม แต่หากว่า"ฟาเรีย"รู้เรื่องการทดสอบที่ว่ามาล่ะก็ เธอก็สามารถสั่งคนให้สังเกตุการณ์ปรากฏที่เกิดขึ้นทั่วเมืองได้ และนั้นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาโดนติดตามตั้งแต่ออกจากเขตแดนของแม่มดพอดี
ขณะที่เขานั่งคิด พลังเวทย์ที่เริ่มถูกดูดออกไปช้าลง พลังที่ดึงออกมาจากหัวใจก่อนหน้านี้ได้เริ่มหมดลงแล้ว อีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นกุญแจมือธรรมดาเพราะขาดพลังเวทย์ในการทำงาน
ผู้คุมขยับตัวเล็กน้อย มือหนึ่งจับไม้เท้าที่ปล่อยแสงจางๆออกมาเหมือนมีชีวิต แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้น เขาไม่ได้พูดหรือส่งสัญญาณใดๆ มีเพียงสายตาที่จับจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ลดละ
ผู้คุมตรงหน้า แม้จะดูเคร่งขรึมและไม่ยอมเปิดเผยความคิดอะไรมากนัก แต่ชายหนุ่มก็จับสังเกตได้จากสายตาที่ไม่แน่วแน่นั้นได้ว่าผู้คุมตรงหน้าไม่ได้จงรักภัคดีกับหอคอยมากขนานนั้น เขาอาจถูกส่งตัวมาเพียงเพื่อจับตาดูเท่านั้น
พวกมันอาจจะยังไม่รู้ว่าเขาได้รับอะไรจากการทดสอบ เลยพยายามที่จะไม่ทำให้ร่างกายเขาได้รับความเสียหายเกินความจำเป็น…. ถือว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องโดนซ้อมเหมือนกับที่ผ่านๆมา และหากเธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆ ก็ยังพอมีหนทางที่จะต่อรองอยู่
ความจริงเกี่ยวกับอาชีพของ"ผู้คุม" นั้น อาจจะดูเหมือนตำแหน่งงานที่น่าภาคภูมิใจ แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นงานของเหล่าผู้ที่ไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของวงแหวนตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกได้ จนสุดท้ายต้องมาลงเอยอยู่ในสายอาชีพนี้ ที่ขอเพียงมีวงแหวนเวทมนตร์ที่สูงพอ และ ฝีมือนิดหน่อยก็สามารถเป็นได้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้คุมของหอคอยก็ตาม
มันเป็นงานที่ไม่ได้มีรายได้ดีอย่างที่คิด พวกเขาส่วนใหญ่มักจะมีรายได้จากการต่อรองเล็กๆน้อยๆ เพื่อหาผลประโยชน์จากผู้ต้องขังหรือแม้แต่จากการส่งต่อข้อมูลให้ผู้ที่สนใจ ทุกอย่างล้วนถูกแปรเปลี่ยนเป็น "ราคา" ได้
แม้จะดูเป็นงานที่ไร้อนาคต แต่กว่าที่ใครสักคนจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ได้ จะต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะจำนวนไม่น้อย—ทั้งเพื่อซื้อสิทธิ์ในการเข้าสู่ตำแหน่ง และ เพื่อซื้อความไว้ใจจากผู้ที่มีอำนาจ ผู้คุมเหล่านี้จึงต้องหาโอกาสคืนทุนด้วยการสร้างช่องทางของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการค้าข้อมูล การรับสินบน หรือการหลับตาข้างหนึ่งเพื่อปล่อยให้บางสิ่งผ่านไป
หากการต่อรองนั้นไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ และยังให้ผลประโยชน์ตอบแทน พวกเขาก็พร้อมจะรับฟังทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อเสนอมาจากคนที่ดูเหมือนจะไม่มีภัย……เช่นเขา ชายที่ถูกตราหน้าว่าไม่มีพลังเวทย์ และ ถึงแม้ว่าจะได้รับอะไรบางอย่างมาจากการทดสอบก็จริง แต่สภาพตอนนี้ของเขา ใครจะไปคิดว่าจะทำอะไรได้? เพราะงั้นจึงง่ายต่อการต่อรอง
“ผมมีข้อมูลที่คุณจะได้ประโยชน์แน่นอน สนใจจะฟังไหม?” เขาเอ่ยเรียบๆ แต่น้ำเสียงชัดเจนพอที่จะทำให้ผู้คุมหันมาสนใจ
ผู้คุมหรี่ตาเล็กน้อย ไม้เท้าในมือกระชับแน่นขึ้น แสงจากไม้เท้าส่องริบหรี่ “ว่ามา” น้ำเสียงไร้ความลังเล แต่ก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ชายหนุ่มโน้มตัวไปเล็กน้อย กระซิบเสียงเบาพอให้ผู้คุมได้ยินเพียงคนเดียว
“ผมรู้ว่า ฟาเรีย…รองผู้นำหอคอย กำลังตามหาคนรักลับๆ ของ เซนริก ผู้นำหอคอยคนปัจจุปันอยู่… และ ผมรู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใคร”
ผู้คุมชะงัก ดวงตาเย็นเยียบ สังเกตชายหนุ่มอย่างละเอียด ราวกับจะตัดสินว่าเขากำลังพูดความจริงหรือไม่ เพราะหากว่าเขารู้ข้อมูลที่ว่ามาจริงๆ มันจะสามารถช่วยเขายกระดับฐานะของชีวิตตัวเองได้ดีขึ้นมากๆ และ พร้อมจะให้รางวัลมหาศาล แก่ใครก็ตามที่สามารถนำข้อมูลนี้ไปให้เธอได้
“ผมบอกคุณได้ แต่ผมต้องการให้คุณช่วยเล็กน้อย… ผมต้องการเวลาแค่สองนาที ในช่วงเปลี่ยนกะ คุณแค่ถ่วงเวลาเอาไว้แค่นั้นพอ”
ไม้เท้าในมือของผู้คุมกระตุกเล็กน้อย เวลาผ่านไปสักพัก เหมือนว่าเขากำลังไตร่ตรองข้อเสนอ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะพยักหน้าเชื่องช้า แต่ยังคงไม่ละสายตาจากชายหนุ่ม
ผู้คุมไม่พูดอะไร เพียงแต่ค่อยๆ ยกไม้เท้าขึ้น ไม้เท้าของเขาเปล่งแสงที่ไหลไปตามข้อมือของชายหนุ่ม ก่อนที่กุญแจมือจะหยุดทำงานชั่วขณะ ในตอนนั้น พลังเวทย์จากกุญแจที่ดูดซับพลังจากชายหนุ่มก็หยุดลง
เขาใช้โอกาสนั้นรวบรวมพลังเวทย์ในการทำสัญญาทันที
วงเวทย์สีทองเริ่มหมุนวนขึ้นในอากาศ ร่างของทั้งสองคนถูกห้อมล้อมด้วยแสงระยิบระยับ ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้สึกถึงการผูกมัดจากสัญญาที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มกระซิบข้อมูลอีกครั้ง น้ำเสียงต่ำแต่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ผู้คุมได้ยินเท่านั้น
เขาฟังจนจบ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“อีกสามชั่วโมงจะมีการเปลี่ยนกะ ถ้าจะทำอะไร ให้รอเวลานั้น”
พูดจบ ผู้คุมตรงหน้าก็หมุนตัวกลับไปประจำตำแหน่งอย่างเงียบงัน ไม่มีคำพูดเพิ่มเติมหรือท่าทีใดที่แสดงออกถึงความสนใจในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
เขามองแผ่นหลังของผู้คุมที่เดินกลับไป ก่อนจะล่ะสายตากลับมา ในหัวสมองของเขาเริ่มวางแผนการหลบหนีครั้งใหม่ สำหรับโอกาสที่จะมาถึงในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า...
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่