ในความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าความว่างเปล่าได้กลืนกินทุกสิ่ง
รอบกายของเขาคือแอ่งน้ำสีดำสนิท เงาสะท้อนของมันไม่ใช่ใบหน้าของเขาเอง แต่กลับเป็นความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตน
ทุกอย่างเงียบงันจนดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดลง ความเย็นเยือกของบรรยากาศรอบตัวแทรกซึมลึกลงไปในไขกระดูก หนาวจนแสบซ่าน—
ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
จากเงามืดนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายลมหายใจแผ่วดังขึ้น
มันไม่ใช่เสียงจากที่ไกลโพ้น แต่เหมือนเป็นเสียงในหัวของเขาเอง เสียงที่กัดกร่อนจิตใจด้วยคำถามที่เขาไม่อยากได้ยิน
“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จ เจ้าจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ?”
เขาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปตามเสียงนั้น และพบ…ตัวเอง ตัวเขาที่ดูแตกต่าง
ร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลึกโหลจนเหมือนเบ้าตาถูกกลืนหายไปในความมืด
ทว่าภายใต้ความเหนื่อยล้าเหล่านั้น แววตาของร่างนั้นกลับแน่วแน่ ราวกับก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลาย
เมื่อเขาหันมองรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจหล่นวูบ ตัวเขา…
ตัวเขาอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเขา
บางร่างดูมั่นคงและสง่างาม ดุจผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบในชุดเกราะเงินเปล่งประกาย
บางร่างกลับคล้ายเงาที่มืดมิด สวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
หนึ่งในนั้นส่งเสียงก้องออกมา เสียงนั้นหนักแน่นจนแผ่สะท้อนในอากาศ
“พวกเรายังมีสัญญาที่ยังทำไว้ไม่สำเร็จ จะทิ้งมันไปงั้นหรือ?”
เสียงนั้นดังมาจากตัวเขาในชุดผ้าคลุมสีแดงสด ดวงตาของร่างนั้นเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ ท่าทางของชายคนนั้น ราวกับแม่ทัพผู้ยืนหยัดท่ามกลางสมรภูมิที่ลุกเป็นไฟ
แรงกดดันรอบตัวเริ่มหนักหน่วงขึ้น มันเหมือนกับกำแพงล่องหนที่บีบอัดเขาจนแทบหายใจไม่ออก
เสียงกระซิบจากร่างอื่นๆ ดังขึ้นพร้อมกัน ดังก้องอยู่ในหัวของเขาเหมือนเสียงสะท้อนที่ไม่มีวันสิ้นสุด
“เจ้าคิดจะหนีไปหรือ? หนีจากความรับผิดชอบ หนีจากคำสัญญา?”
เขาพยายามถอยหลัง แต่ขาของเขากลับถูกตรึงแน่นราวกับถูกตะปูตรึงไว้บนพื้น
เงาสะท้อนในแอ่งน้ำเริ่มบิดเบือน กลายเป็นภาพของผู้คนที่เขาไม่รู้จัก
แต่ละคนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังและความสิ้นหวัง เสียงตะโกนก้องดังขึ้นจากร่างหนึ่งที่ปรากฏตรงหน้า
ร่างนั้นสูงโปร่ง สวมชุดเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลและความเหนื่อยล้า
“ยังมีชีวิตอีกมากที่รอการช่วยเหลือ เจ้าจะทิ้งพวกเขาไปจริงๆ หรือ?”
เสียงนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของเขา ทุกคำพูดสะท้อนก้องในจิตใจอย่างหนักหน่วง
ความรู้สุกบางอย่างเริ่มกัดกินร่างกายและจิตวิญญาณของเขา น้ำตาของชายหนุ่มเริ่มไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว เขากัดฟัน พยายามบอกตัวเองให้ตัวเองขยับ แต่เสียงเหล่านั้นยังคงดังต่อเนื่อง
“เดินต่อไป เจ้าจะหยุดไม่ได้! ทุกชีวิต ทุกคำสัญญา ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าต้องรับผิดชอบ”
เสียงนี้มาจากตัวเขาอีกคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมสีเทายาวถึงพื้น
น้ำเสียงของชายคนนั้นดูดุดันเหมือนพายุที่โหมกระหน่ำ ความกดดันที่ท่วมท้นเริ่มเปลี่ยนเป็นแรงผลักดัน ชายหนุ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่เสียงเหล่านั้นกลับปลุกให้เขายังคงต้องเดินต่อไป
“เจ้าจะหยุดไม่ได้! เดินต่อไป”
เสียงสุดท้ายดังขึ้นจากร่างที่สง่างามที่สุดในกลุ่ม ตัวเขาในร่างที่ดูมีพลังเกินกว่าทุกร่างที่เขาเคยเห็น ผ้าคลุมสีแดงปลิวสะบัด ดวงตาของมันเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันพ่ายแพ้
ร่างนั้นยกมือขึ้นชี้มาที่เขา เหมือนแม่ทัพที่ออกคำสั่งให้กองทัพบุกไปข้างหน้า
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสน คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในหัว ความหวาดกลัวที่เขาไม่อาจสลัดออก ความเจ็บปวดจากสายตาเหล่านั้นที่คาดหวังในตัวเขาอย่างหนักหน่วง
“ทำไมต้องเป็นฉัน?” ชายหนุ่มพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือ ความกดดันมหาศาลจากตัวตนเหล่านั้นทำให้เขาทรุดลงคุกเข่ากับพื้น แอ่งน้ำสีดำสะท้อนภาพเขาที่ดูอ่อนแอจนแทบไม่เหลือพลัง
“ฉันไม่เคยสัญญาอะไรพวกนั้นเลย… ทำไมกัน…”
เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ในความเงียบงันนั้นกลับชัดเจนราวกับเสียงสะท้อนที่ก้องไปทั่วพื้นที่ ความคิดของเขาพลุ่งพล่าน
ทำไมต้องเป็นเขา? ทำไมต้องแบกรับสิ่งที่เขาไม่เคยสัญญา? เขาไม่ได้เลือกที่จะอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้เลือกที่จะรับฟังเสียงเหล่านี้ ดวงตาของเขาค่อยๆหยุดนิ่ง ความสับสนในใจแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะมืดดับลง
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือกำแพงหินเย็นเฉียบและซี่กรงเหล็กที่ปิดกั้นเขาจากอิสรภาพ กลิ่นอับชื้นเหม็นเน่าคลุ้งอยู่ในอากาศจนแทบทำให้เขาสำลัก
ความมืดในคุกนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งรอบตัวกำลังบีบคั้นให้เขาหายใจไม่ออก บรรยากาศเงียบงันเหมือนความตาย ทุกอย่างรอบตัวชวนให้รู้สึกถึงความสิ้นหวัง แต่ไม่ใช่แค่ความเงียบที่เขารู้สึก...
เสียงฝันร้ายยังคงก้องอยู่ในหัวของเขาอย่างไม่ยอมหยุด ความเจ็บปวดจากการโจมตีก่อนหน้า แล่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกแสบไปทั่วทั้งตัว เขาต้องกัดฟันแน่นเพื่อกลั้นความเจ็บนั้น
“ให้ตายสิ…อีกแล้วเหรอวะ…”
เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากลำคอ ดวงตาคมกริบฉายแววหงุดหงิดปนสับสน เขาขบกรามแน่น นึกถึงสิ่งที่เห็นในความฝันเมื่อครู่ มันชัดเจนจนเหมือนจริงเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่ดี
“ต้องการจะบอกอะไรกันแน่? ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด…”
เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัวแฝงด้วยความไม่เข้าใจ ฝันแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และมันก็ไม่เคยปล่อยให้เขาสบายใจ เพราะทุกครั้งที่ฝัน มันมักจะเกิดขึ้นในตอนที่เขาพลาดท่า หรือ เฉียดใกล้ความตาย ราวกับฝันนั้นมีไว้เพื่อย้ำเตือนถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
เขาถอนหายใจยาว สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความโกรธและความกระวนกระวายในใจ สายตาเหลือบไปยังแสงเล็กๆ ที่ลอดผ่านลูกกรง มันไม่ได้ช่วยให้เขาคลายความอึดอัดในอก แต่มันก็ย้ำเตือนว่าเวลาไม่ได้หยุดเดิน และเขาเองก็ไม่มีเวลาจะจมอยู่กับคำถามที่ไม่มีคำตอบอีกต่อไป
มือที่ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกกดทับ กุญแจมือนั้นรัดแน่นจนขยับแทบไม่ได้ แม้จะพยายามดิ้นรน แต่ยิ่งขยับก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังที่เหลืออยู่น้อยลงไปเรื่อยๆ ความอ่อนล้าจากบาดแผลและความเจ็บปวดเหมือนจะกดเขาให้จมลง
เขาเอนหลังพิงกำแพงหินเย็นเฉียบ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก ชายหนุ่มไม่ได้ขยับตัว แต่ดวงตาเริ่มจับจ้องไปยังทิศทางของเสียง รอคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความเงียบงัน
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่