แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆกลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับอยากกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันจนเธอไม่อยากจะลุกออกจากเตียง
เธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง
ชายหนุ่มนั่งพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าสงบนิ่งภายใต้เงามืด เส้นผมสีทองของเขาสว่างไสวเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เผยให้เห็นอีกด้านนึงที่เธอคุ้นเคย—ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ ทำให้เธอโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อออกมาเบาๆเหมือนจะยืนยันการมีตัวตนอยู่ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อพึ่งรู้สึกตัวว่า ตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขา
“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามเรียกความทรงจำที่เลือนรางกลับคืนมา
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในความทรงจำ จำได้ว่าเธอ และ เพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องของรางวัลในการทดสอบที่แพร่กระจายเฉพาะในหมู่นักเวทย์
ข่าวลือดังกล่าวดูเหมือนถูกจงใจแพร่กระจาย นักเวทย์หลายคนที่เคยเฉยเมยต่อการทดสอบกลับให้ความสนใจอย่างกระตือรือร้น ทั้งๆที่ตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าของรางวัลคืออะไร หรือรูปแบบการทดสอบเป็นเช่นไร ทุกอย่างถูกปิดเป็นความลับ
แต่เมื่อข่าวลือเริ่มแพร่ไป เหล่าอาจารย์ในหอคอยเวทมนตร์กลับนิ่งเงียบ ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ ก็ยิ่งทำให้ข่าวลือดูน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก คล้ายกับมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังและกำลังชักใยให้ทุกคนเข้าร่วมการทดสอบ เธอ และ เพื่อนจึงตัดสินใจจะสืบหาตัวตนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังข่าวลือนี้
หลังจากนั้น เธอตั้งใจจะกลับไปพักที่ห้องของตัวเอง แต่แล้วความกังวลที่เก็บไว้ในใจกลับพลุ่งพล่านจนเธอเปลี่ยนใจกลับไปดูเขาอีกสักหน่อย
เมื่อเธอผลักประตูเข้าไปในห้องของเขา กลิ่นเครื่องหอมที่อบอวลเป็นกลิ่นดอกไม้ที่คุ้นเคย นุ่มนวลและผ่อนคลาย แต่กลับแทรกซึมเข้ามาลึกจนผิดปกติ ราวกับมันถูกปรับให้รุนแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปเหมือนถูกชักนำเข้าสู่ความฝันที่ไม่อาจตื่นได้ ราวกับทุกอณูของอากาศถูกแต่งแต้มด้วยกลิ่นนั้นจนแน่นหนา
ภายในห้อง เธอเห็นอัศวินในชุดเกราะเบายืนพิงกำแพงใกล้กับประตูที่เธอเข้ามา ท่าทางหลับสนิทโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เมดอีกคนก็นั่งหลับอยู่ที่มุมห้อง ใบหน้าผ่อนคลายเหมือนคนที่กำลังหลับฝันดี สภาพของพวกเขาดูสงบอย่างน่าประหลาด
“นี่มันอะไร…” เธอกระซิบเบาๆ ความรู้สึกไม่สบายใจพุ่งขึ้นมาในอก
กลิ่นนั้นทำให้ดวงตาของเธอเริ่มพล่ามัว ทุกก้าวที่เดินเข้าไปเหมือนต้องแบกน้ำหนักที่มองไม่เห็น ร่างกายเธอหนักอึ้งจนแทบจะล้มลง ความเหนื่อยล้าค่อยๆกัดกินสติของเธอทีละน้อย
สายตาของเธอจับจ้องไปยังเตียงของชายหนุ่ม ผ้าห่มสีเข้มถูกพาดคลุมจนดูเหมือนมีบางสิ่งขดตัวอยู่ข้างใต้ เธอหยุดนิ่ง ความรู้สึกกังวลวิ่งวาบในอก
“อาร์วิน?” เธอเอ่ยเรียกเสียงเบา
แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ใต้ผ้าห่มนั้นยังคงนิ่งสนิท ราวกับไร้ซึ่งชีวิต นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ ความกังวลเพิ่มพูนจนแทบหยุดหายใจ
เธอพยายามก้าวไปใกล้เตียง แม้ทุกย่างก้าวจะยากลำบากและร่างกายเหมือนจะล้มพับในทุกวินาที ดวงตาเริ่มพร่ามัวจนแทบจะโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้
กลิ่นหอมที่รุนแรงจนแทบหยุดหายใจยังคงทำให้ความคิดของเธอว้าวุ่น เธอยกมือขึ้นใช้เวทมนตร์ สายลมพุ่งกระแทกหน้าต่างห้องที่แง้มออกไปเล็กน้อย เสียงหน้าต่างเปิดออกดังขึ้นพร้อมสายลมที่พัดผ่านเข้ามา
แม้กลิ่นจะเจือจางลง แต่ฤทธิ์ของมันยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเธอ เปลือกตาหนักอึ้ง ปลายนิ้วชาเล็กน้อย ความคิดเริ่มพร่ามัวราวกับกำลังจมลงสู่ห้วงนิทราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เธอพยายามเดินไปถึงปลายเตียงอย่างทุลักทุเล ใกล้เข้าไป... ใกล้จนเธอสามารถเอื้อมมือไปสัมผัสได้ แต่ก่อนที่เธอจะถึง ร่างกายของเธอก็อ่อนแรงเกินไป สติของเธอดับวูบลงพร้อมกับความมืดที่กลืนกินทุกสิ่งรอบตัว และ เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอพบตัวเองอยู่ที่นี่—บนเตียงของเขา ขณะที่เขานั่งหลับอยู่ใกล้ๆ
เธอจ้องมองคู่หมั้นของตนที่นั่งพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าที่เห็นได้ชัด เธอยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยเมื่อความคิดพลุ่งพล่านพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
“หรือว่า…เขาเป็นคนพาฉันมานอนบนเตียง?”
ความคิดนั้นทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวอีกครั้ง
เธอพยายามขยับตัวโดยไม่ให้เกิดเสียงรบกวนใดๆ เธอยืดมือออกไปช้าๆปลายนิ้วสัมผัสเส้นผมสีทองอ่อนของเขาอย่างแผ่วเบา ความนุ่มละมุนของเส้นผมที่ม้วนเล็กน้อยตามธรรมชาติทำให้เธออดไม่ได้ที่จะลูบปลายผมของเขาเบาๆราวกับพยายามยืนยันว่า เขาอยู่ตรงนี้จริงๆ
แต่แล้ว...
“ตื่นแล้วหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้เธอชะงัก หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เมื่อรู้ตัวว่ามือของเธอยังคงสัมผัสกับเส้นผมนุ่มละมุนของเขา จึงรีบชักมือกลับด้วยความประหม่า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาสีเทาที่ไม่คุ้นเคยสบเข้ากับเธออีกครั้ง
ดวงตาสีเทาของเขาสบเข้ากับเธอ รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้าที่ดูอ่อนล้าแต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดแปลก เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกต่างไปจากเดิม
“ฉัน…แค่กำลังจะ...” เธอพูดตะกุกตะกัก ความอายแล่นขึ้นมาจนทำให้เธอแทบไม่กล้าสบตาเขา แม้ในใจจะรู้สึกแปลกๆ ชายหนุ่มที่มองดูเธออยู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความอบอุ่น
“ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยมาก จำเป็นต้องพักอีกสักหน่อย ยังไม่ต้องรีบลุกขึ้นมาก็ได้”
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย “เมื่อคืน…ฉันหลับไปได้ยังไง?”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบเบาๆ
“กลิ่นเครื่องหอมในห้องนี้...มันแรงไปหน่อย ฉันคิดว่ามันอาจจะทำให้เธอที่เหนื่อยอยู่แล้วผล็อยหลับไปก็ได้”
“แล้วคนอื่นล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วง” เขาตอบ ขณะพยุงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความยากลำบาก หยิบชาจากมุมโต๊ะมารินและยื่นให้เธอ
“พวกเขาแค่รู้สึกสับสนเล็กน้อย ฉันบอกให้พวกเขากลับห้องไปพักแล้ว”
เธอรับแก้วชามาไว้ในมือ แต่ไม่ได้ดื่มทันที หญิงสาวเงียบไปชั่วขณะ หัวใจของเธอยังรู้สึกหนักอึ้งกับสิ่งที่ไม่อาจพูดออกมา เธอมองดูคู่หมั้นที่นั่งอยู่ตรงข้าม สภาพของเขายังดูเหนื่อยล้า สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เก็บซ่อนเอาไว้
เธออยากถามเขา—เกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องเจอและสิ่งที่เขาต้องเผชิญในการทดสอบ แต่กลับกลืนคำถามเหล่านั้นลงไปในลำคอ รู้สึกว่ามันอาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่