เสียงหอบหายใจของผู้คนปะปนกับกลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งไปทั่วลานโล่งกลางป่าลึก
คบเพลิงส่องแสงวูบไหวดั่งอัสนีบนท้องฟ้า ในยามที่แสงไฟพลิ้วไหวท่ามกลางความมืด—เงาร่างหนึ่งกลับสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงความกลัวของคนทั้งสิบที่รายล้อมเขาอยู่ดวงตาคมลึกดุจเปลวเพลิงซ่อนแสง เฝ้ามองศัตรูรอบด้านอย่างไม่ไหวเอน ร่างสูงของเขายืนนิ่งในท่วงท่าที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ ในขณะที่แวดล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์นับสิบ มือแต่ละคนถือหอก ดาบ หรือธนูเล็งไว้ไม่ให้พลาด
แล้วหนึ่งในศัตรู—ชายผู้ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่ม—ก็แค่นเสียงหัวเราะเยาะออกมา
“ตอนนี้เอ็งเหลือเพียงคนเดียว…แต่กลับกล้ายืนอยู่กลางวงเราอย่างไม่สะทกสะท้าน ...หรือว่าชีวิตเอ็งไม่มีค่าเสียแล้วถึงได้ถูกพรรคพวกทิ้งไว้”
เขาเดินออกมาข้างหน้า รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย… คุกเข่าแล้วยอมกลับไปกับพวกข้าเสียเถอะ
แลกชีวิตเจ้ากับคำสารภาพว่าใครส่งเอ็งมา บางทีนายเหนือหัวของข้าอาจจะไว้ชีวิตเอ็ง...”
เขากวาดตามองไปยังพวกพ้อง พลางหัวเราะในลำคอ
เสียงหัวเราะของเหล่าทหารรอบด้านเริ่มดังขึ้น—เย้ยหยัน สะใจ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือแววหวั่นไหวในดวงตา
“คำขู่ของพวกเอ็ง…มันใช้ได้กับพวกอ่อนแอเท่านั้น”
ฝีเท้าเขาปักมั่นกับผืนดิน ลมหายใจสม่ำเสมอ ไม่มีความลังเลแม้เพียงปลายเส้นประสาท เขาไม่เคยเรียนรู้ที่จะถอยหลัง—เพราะชีวิตของนักรบมิได้ถูกสร้างมาเพื่อวิ่งหนีทันทีที่ข้าศึกคนแรกพุ่งเข้ามา เขาเคลื่อนไหว
ร่างสูงสลัดผ่านความเร็วของลม กระโจนหลบหอกด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วตวัดเท้ากระแทกเข้าลำตัวอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ เสียงกระดูกแตกราวฟ้าผ่าลั่นไปทั่วลานจากนั้น... ร่างของเขาเคลื่อนไหวดั่งเงาเงียบในรัตติกาล
ท่วงท่าที่เปล่งออกจากปลายแขนขามิใช่เพียงการหลบหลีกหรือโจมตี แต่คือ กระบวนท่าแม่ไม้มวยไทย ที่แฝงไว้ด้วยความสง่างามในความรุนแรง ศอกที่เหวี่ยงกลับแทบจะเฉือนอากาศเป็นเส้น เข่าที่กระแทกใส่ศัตรูนั้นแม่นยำราวลูกธนูจากเทพเจ้า ทุกการเคลื่อนไหวชัดเจน—เรียบง่าย—แต่ไร้ช่องโหว่เสียงฝีเท้าศัตรูห้าหกคนพุ่งเข้าหาเขาในเวลาเดียวกัน
แต่แทนที่จะถอยหนี—ร่างของเขากลับ เคลื่อนเข้าใส่"ปักษาแหวกรัง!"
เสียงของเขาไม่ได้เปล่งออกมา แต่ร่างกายของเขาเป็นผู้พูด
สองแขนกวาดเฉียงออกจากกันอย่างรวดเร็ว ศอกกระแทกเข้าที่ปลายคางของศัตรูเบื้องหน้า ในขณะเดียวกันข้อศอกอีกข้างฟาดเข้ากับกระบังหน้าอีกคนที่อยู่ด้านขวา เสียงกระดูกดัง กร๊อบ พร้อมร่างที่ล้มลงราวใบไม้ปลิว"มันใช้มวยโบราณ!"
หนึ่งในศัตรูตะโกนลั่น ดวงตาเบิกโพลงอย่างตกตะลึง เสียงนั้นกระจายไปทั่วแนวล้อม บางคนชะงัก—บางคนเริ่มถอยแต่เขา... ไม่หยุด“หักคอเอราวัณ!”
เขาหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
แขนซ้ายโอบรอบคอของชายผู้เข้ามาทางด้านหลัง แล้วดึงลงอย่างเฉียบขาด—เสียงดัง พรึ่บ! ตามด้วยเสียงหายใจขาดห้วงยังไม่ทันให้ใครได้ตั้งตัว
อีกคนพุ่งเข้ามาพร้อมดาบ เขาเบี่ยงตัวเพียงเสี้ยววินาที แล้วตวัดดาบกระแทกเข้ากลางอก—เลือดไหลผ่านปลายดาบลงพื้น แต่บนใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้ม… มีเพียงแววตา—ของนักรบผู้ไม่หวั่นเกรงต่อความตายการผสานระหว่างหมัดมวยไทยกับศัสตราวุธในมือเขา
ปัด ป้อง ตวัด กระแทก—แต่ละจังหวะคมกริบและแม่นยำ เลือดไหลเปรอะพื้นดิน เสียงหอบหายใจของศัตรูเริ่มสั่นคลอน เมื่อศัตรูสุดท้ายล้มลง เสียงรอบกายก็เงียบงัน มีเพียงเขาเท่านั้น... ที่ยังยืนหยัดยืนในความเงียบ ด้วยสายตาที่ยังคมกริบเขาเหลือบตาขึ้นไปมอง
และสบสายตาของหญิงสาวผู้หลบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้—ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ร่างของเธอสั่นไหว... “ปะ ปีศาจชัด ๆ” เมิ่นซินสบถเบาๆเสียงหอบหายใจของเธอยังไม่ทันจาง
ในห้วงอากาศที่เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เสียงหนึ่ง... ก็ดังแว่วขึ้นจากทิศตะวันตกของป่าเสียงฝีเท้าม้าควบกระแทกผืนดิน ดังก้องเป็นจังหวะกระหึ่ม
มันไม่ใช่เสียงม้าตัวเดียว แต่คือเสียงม้าหลายตัว กำลังใกล้เข้ามา ...เสียงแห่งข้าศึกที่ยังไม่ยอมแพ้เมิ่งซินตัวแข็งทื่อ
หัวใจของเธอเต้นระส่ำ ดวงตาหวาดกลัวกวาดมองซ้ายขวาเขาก้าวเข้ามาหาเธอ—ช้าแต่มั่นคง
สายตาไม่ไหวเอน แม้ในยามที่เลือดอาบร่าง เขาเอื้อมมือคว้าแขนเธอในจังหวะเดียวกับที่ม้าศึกตัวใหญ่ก้าวออกจากเงามืด จากนั้น— เขาก็ยกตัวเธอขึ้นพาดหลังม้า ขึ้นควบไปข้างเขาเสียงกีบม้ากระแทกพื้นดังสนั่น
แต่เสียงของเขานั้น…ต่ำ นุ่ม และหนักแน่นจนฝังลงไปในกระดูกเธอ“หากยังอยากมีชีวิต… ไปกับข้า”
ม้าพุ่งทะยานออกไป
พาเธอหลุดจากโลกแห่งความจริงที่เธอเคยรู้จัก สู่โชคชะตาที่ไม่มีตรรกะอธิบาย แต่ดันมีเสียงหัวใจคอยสะกดให้เชื่อ... อย่างไม่มีเหตุผล“ข้าจะอยู่อยู่ตรงนี้…แล้วเจ้าไม่มีวันโดดเดี่ยวอีกต่อไป”ฉาก 1 — ห้องลับ / 8 วันผ่านมาแสงเช้าสาดผ่านช่องไม้เล็ก ๆ ลงมากระทบใบหน้าของขุนคีรินทร์ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตา — เปลือกตาหนักราวกับเพิ่งตื่นจากความตายหายใจแรง ๆ ราวกับโลกนี้ยังไม่แน่ใจว่ามันคือจริงหรือฝันสิ่งแรกที่เขามองหา…คือเมิ่งซินแต่พบว่าเธอฟุบอยู่ข้างกาย…กับถ้วยยาสมุนไพรอุ่น ๆ ที่เธอเพิ่งทำเสร็จเพื่อเขาขุนคีรินทร์“เมิ่งซิน...”เขารีบลุกอุ้มเธอขึ้นมาวางบนเตียงของตัวเองมือสั่น ๆ แตะลงบนหน้าผากเธออย่างแผ่วเบาใต้ตาของเธอคล้ำ ปากแห้งซีด — เหลือเพียงเงาเดิมของหญิงผู้เข้มแข็งขุนคีรินทร์“เมิ่งซิน…ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้”เมิ่งซินพยายามลืมตา แต่ได้แค่ลืมปรือ ๆน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่มีแรงเหลือเมิ่งซิน“ขุน…คีรินทร์ ท่าน…รีบ…ดื่มยาสุดท้ายเถิด…พิษในตัวท่านจักหายไปตลอดกาล…”มือเธอร่วงลงพื้น…ขุนคีรินทร์“ไม่…ไม่นะเมิ่งซิน…เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ตื่นสิ! ตื่นขึ้นมาอยู่กับข้า…”เขามองถ้วยยา…แล้วกลับมองเธอที่นอนแน่นิ่งทุกความทรงจำของวันที่เธอต้มยาให้เขา…ป้อนยาเช้าเย็น…อยู่ข้างเขาแม้ในความมืด…มันไหลกลับมาในหัวใจเขาแบบชัดเจนฉาก 1/2 —
“บางครั้ง…ความมืดไม่ได้น่ากลัวที่สุด…แต่คือการตัดสินใจที่จะปกป้องคนที่เรารักต่างหาก”ฉาก 1 — หมู่บ้านก่อนรุ่งสางเสียงฝีเท้าม้ากระแทกพื้นดินดังสะท้อนในอก เมิ่งซินลากร่างอิดโรยกลับถึงหมู่บ้าน ใบหน้าเปรอะเถ้าควันและฝุ่น แต่เวลานี้…หยุดไม่ได้สักวินาทีชาวบ้านเริ่มส่งสายตาสงสัย เธอไม่รอช้า ตะโกนเสียงแหบพร่าแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นเมิ่งซิน:“ทุกคน…ฟังฉันให้ดี! พวกทหารจะมา ล่วงรุ่งเช้า…เพื่อฆ่าพวกเราทุกคน!”เสียงฮือฮาและความตื่นตระหนกผสมปนกันชาวบ้าน1 (OS): “นี่มันเรื่องอะไรนี่ท่านหมอหญิง?”ชาวบ้าน2 (OS): “เราทำผิดอะไรให้พวกทหารมาสังหารเรา?”ชาวบ้าน3 (OS): “จะให้หนีโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นหรือ…”ชาวบ้าน4 (OS): “นี่ท่านหญิงตั้งใจหลอกเราหรือเปล่า?”เมิ่งซิน:“ฉันไม่มีเวลามาอธิบายมากนัก…แต่เชื่อใจฉัน!”ชาวบ้าน5 (OS):“เราวางใจท่านหมอหญิง! ถ้าไม่ใช่ท่าน…เราคงตายไปตั้งหลายเดือนแล้ว…บอกเราหน่อยว่าต้องทำยังไง!”เมิ่งซินหอบหายใจ ก่อนจะชูแผนที่ในมือเมิ่งซิน:“นี่คือแผนที่ทางลับของพี่แย้ม…มันจะพาพวกเราทุกคนไปที่ปลอดภัย!”1/2 — ตัดภาพไปก่อนที่นายแย้มจะสิ้นลม (บนเกวียน)นายแย้ม:“ท่านหญิง…จงเอาแผน
“ควันพิษ… เงาฆาตกร… และชายปริศนาที่เรียกฉันว่า ‘เซียนอิ๋น’ — ใครคือเขา ใครคือผู้บงการทั้งหมด?!”ฉาก 1 – ภายในหอพระโอสถ กลางคืนเมิ่งซินลื่นไหลออกจากหลืบชั้นยา มือเรียวกอดตำรับยาและสมุนไพรเล็ก ๆ แนบอก — เป้าหมายอยู่แค่ปลายนิ้ว แต่ทันใดนั้น… กลิ่นแสบจมูกจู่โจมเข้ามา ม่านควันสีเทาอ่อนลอยเข้ามาในห้องเงียบ ๆ กลิ่นฉุนแบบสนผสมกำมะถัน ทำให้เธอต้องสะดุ้งเมิ่งซิน (คิดในใจ)นี่มัน…ควันพิษ!?ไม่รอช้า เธอควักขวดยาสกัดพิษจากชายเสื้อ จุ่มแตะจมูก และพันผ้าคาดเอวปิดหน้าแน่น — กลิ่นตะไคร้ กานพลู ยูคาลิปตัส ขิงแห้ง และชะเอมเทศ ดับกลิ่นพิษเบา ๆเมิ่งซิน (พึมพำ)ขอโทษนะ…ของแค่นี้เล่นงานฉันไม่ได้หรอกทันใดนั้น! เสียงฝีเท้า — เงาดำชุดดำพร้อมหน้ากากโผล่เข้ามา ล้อมหอพระโอสถ แววตาอำมหิตทุกคู่และ…เสียงเย็นยะเยือกจากเงามืดหญิงปริศนา…ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา…แต่ลืมไปเสียเถอะ ว่าจะได้รอดออกไป!สังหารนางบัดเดี๋ยวนี้!!เมิ่งซิน (คิดในใจ)อะ…อะไรนะ…เรียกฉันว่าเมิ่งเซียนอิ๋นเหรอ…นี่มันอะไรกัน!เธอถอยหลังชนชั้นเก็บตำรับยา มือกำแน่น ไม่มีทางหนีทันใด…เสียงฝีเท้าทั่วหลังคาดัง! เงาหนึ่งพุ่งลงราวเหยี่ยว!ชายปริศนาท
"พิษโบราณ ทหารเวร และแผนลวง…เมิ่งซินต้องฝ่าหอพระโอสถให้ได้ ก่อนที่ชีวิตและหมู่บ้านจะตกอยู่ในความเสี่ยง"– ริมป่าหลังเขา – ทางลับสู่พระราชตำหนัก – เช้าหมอกจาง ๆ คลี่คลุมผืนดิน เงาไม้โยกไหวตามสายลมแผ่วเสียงกิ่งไม้หักเบา ๆ ก่อนเมิ่งซินและนายแย้มจะโผล่พ้นแนวพงหญ้านายแย้มหยุดยืนตรงทางลับ — กำแพงหินสูงขนาบข้าง ต้นไผ่รกชัฏเขาหันไปมองเมิ่งซิน ใบหน้าเธอเปื้อนเหงื่อ แต่ดวงตายังคง แน่วแน่เกินใครนายแย้ม (เสียงแผ่ว)“จากตรงนี้ไปสุดทางก็ถึงทางเข้าพระราชตำหนัก…อีกสองชั่วยาม ข้าจะรอรับท่านหมอหญิงที่ปลายทาง”เมิ่งซิน (พยักหน้าแน่น)“ขอบคุณนะพี่แย้ม…”นายแย้มถอนใจ มองซ้ายขวา ก่อนล้วงมีดสั้นออกจากอกเสื้อนายแย้ม“รับสิ่งนี้ไว้…มีดนี้ไม่ใช่ฆ่าใคร แต่ใช้ปกป้องเจ้าหากมีภัย ให้เจ้าทำภารกิจสำเร็จและกลับไปรักษาขุนคีรินทร์ได้”เมิ่งซิน (ชะงักเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า)“พี่แย้มไม่ต้องกังวล…ไม่ว่าจะเจออะไร ฉันจะกลับมาให้ได้”นายแย้ม (เบาเสียงราวพูดกับตัวเอง)“ขอให้โชคดีนะ…ท่านหมอหญิง”เมิ่งซินไม่ตอบ…เพียงมองเข้าไปในเงามืดของทางลับ ก่อนก้าวเข้าไปแผ่นหลังเล็ก ๆ แบกความหวังทั้งชีวิตของชายคนหนึ่ง ค่อย ๆ กลืนหายไปใ
"พิษเลือดร้ายรอวันถอน…แต่หัวใจสองดวงต้องร่วมฝ่าฟันอันตรายไปพร้อมกัน"– หมู่บ้าน – เย็น –แสงเย็นสาดผ่านต้นไม้ ใบไม้ไหวตามลม เสียงนกร้องคลอเบา ๆเมิ่งซินเดินเข้าหมู่บ้าน หอบหิ้วขุนคีรินทร์ บาดเจ็บสาหัส ร่างซีด ซีด…เหมือนแผ่นกระดาษชาวบ้านกระซิบกันอย่างตกใจชาวบ้าน 1“นั่นใครน่ะ? ทำไมหมอหญิงถึงพามาคนเจ็บมาด้วย?”ชายชรามองด้วยความกังวลชายชรา“ดูท่าจะเป็นขุนศึก…ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนักขนาดนี้?”ชาวบ้านสองคนรีบเข้ามาช่วยพยุงเขาเข้าบ้านชาวบ้าน 1“มา ๆ ท่านหมอหญิง ให้พวกเราช่วยเถอะขอรับ”เมิ่งซิน“ขอบคุณมากจ้ะ พี่มิ่ง พี่แย้ม”– ภายในบ้านเมิ่งซิน –ร่างขุนคีรินทร์วางบนเตียงไม้ชาวบ้านยังตกใจชาวบ้าน 2“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน…ทำไมพวกท่านถึง…”เมิ่งซิน (ยิ้มเบา ๆ)“เรื่องมันยาว…ไว้ฉันเล่าให้ฟังทีหลังนะจ้ะ”ชาวบ้าน 1“ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะขอรับ”เมิ่งซิน (พยักหน้า)“จ้ะพี่”เธอมองเขาที่ยังไม่ฟื้น…หัวใจเต้นตุบ ๆ ด้วยความห่วงใยเมิ่งซิน (กระซิบ)“เลือดไหลไม่หยุด…ร่างกายเย็น…แต่ลมหายใจร้อนราวไฟ…”เธอโน้มตัวแนบหูกับอกเขาหัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ…เธอเบิกตากว้าง…แทบหยุดหายใจเมิ่งซิน
"ใต้เงาจันทรา…หัวใจสองดวงต้องเลือกเชื่อใจ หรือปล่อยให้ความลับพรากกัน"– คุกในพระราชตำหนัก – กลางคืน – เสียงฝนพรำเบา ๆ…ราวกับโลกกำลังกระซิบว่าพรุ่งนี้อาจไม่เหมือนเดิม เมิ่งซินเงยหน้ามองดวงจันทร์ผ่านม่านฝนบางเบา มันยังลอยเด่น…สวย…และโดดเดี่ยวเธอกอดเข่าตัวเองแน่น เหมือนเด็กหลงทางรอคำตอบจากฟ้าเมิ่งซิน (เสียงแผ่ว) “คืนนี้…แม้ฝนพรำ พระจันทร์ก็ยังกล้าเปล่งแสง ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้…ฉันจะได้เห็นมันอีกไหม…”กลั้วหัวเราะในลำคอ…ปลง ๆ “ใครจะเชื่อ…นักวิจัยจากศตวรรษที่ 22 ต้องมาตายซ้ำตายซ้อนในศตวรรษที่ 15…นี่มันขำไม่ออกจริง ๆ”ทันใดนั้น — “โครม!” ประตูไม้พังด้วยด้ามดาบ ขุนคีรินทร์ในชุดคลุมดำ หน้ากากทองดำครึ่งซีกบดบังใบหน้าด้านซ้าย สองทหารนอนหมดสติราวหุ่นไร้วิญญาณเมิ่งซินเบิกตา…หัวใจเต้นผิดจังหวะเมิ่งซิน “ทะ…ท่านเป็นใคร…”ขุนคีรินทร์ “ถ้ายังอยากมีชีวิต…ไปกับข้า”ภาพในหัวเธอสั่นไหว…สัมผัสแรกในป่าผุดกลับมา อบอุ่น…คุ้นเคย…แต่หล่นหายไปนานเมิ่งซิน (คิดในใจ) “นี่เขามาช่วยฉันจริง ๆ เหรอ…”และทันใดนั้น…หัวใจเธอก็เต้นแรงไม่เคยเป็นมาก่อน– กลางป่า – กลางคืน – เสียงฝีเท้าทหารหลวงกระชั้น ขุนคีริ