บทที่ 3 กับดัก
“ไม่ต้องลุก” หลี่ซานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เจ้ายังบาดเจ็บอยู่”
เฟิ่งอวี้ยิ้มบางๆ ออกมาราวกับรู้สึกตื้นตันใจอย่างสุดซึ้ง “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้” เสียงของเขานั้นทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยนทำให้ผู้ฟังรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
หลี่ซานไม่ตอบคำ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง และสำรวจบาดแผลบนร่างกายของชายหนุ่มอย่างละเอียด ดวงตาของเขาหยุดลงที่รอยแผลเป็นที่บาดลึก ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นรอยแผลเก่า ซึ่งบ่งบอกว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้ผ่านอะไรมาไม่น้อยอย่างแน่นอน
“เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด” หลี่ซานถามเสียงเรียบไร้อารมณ์
เฟิ่งอวี้ถอนหายใจแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยฉายแววเศร้าสร้อยทันที “ข้าไร้บ้าน ไร้ญาติมิตร จึงจำต้องเร่ร่อนไปทั่ว บัดนี้ข้าถูกคนตามล่าด้วยหวังจะขายข้าให้กับหอโคมเขียว ข้าจึงต้องหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน จนกระทั่งมาถึงที่นี่...”
เฟิ่งอวี้กล่าวพลางสะอึกสะอื้นออกมาพลาง น้ำเสียงที่เบาหวิวจนแทบจะกลืนหายในลำคอ กับน้ำตาที่เอ่อคลอราวกับพยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลริน
“ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานาน ว่าท่านเป็นผู้มีความเมตตา และเป็นผู้รู้แจ้งทุกสรรพวิชา ข้าจึงตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ ด้วยความหวังว่าจะได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และขอความเมตตาจากท่านให้ชีวิตใหม่แก่ข้า”
คำพูดของเฟิ่งอวี้ฟังดูน่าสงสารจับใจ หากเป็นผู้อื่นคงจะใจอ่อนไปแล้ว แต่หลี่ซานกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เขาเพียงแค่จ้องชายหนุ่มนิ่ง ราวกับพยายามมองทะลุเข้าไปในจิตใจของเขา
“เจ้าต้องการเป็นศิษย์ของข้า?” หลี่ซานถามเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาไม่กะพริบ
เฟิ่งอวี้พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ขอรับ ข้าต้องการฝึกฝนวิชา ข้าอยากจะเข้มแข็งพอที่จะปกป้องตัวเอง และอยากจะรับใช้ท่านด้วยความจงรักภักดี” คำพูดของเขาหนักแน่น ราวกับมาจากส่วนลึกของจิตใจ
หลี่ซานยังคงเงียบงัน เขากำลังพิจารณาคำพูดของชายหนุ่มอย่างละเอียด ชายหนุ่มผู้นี้ดูบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงอยู่ในตัว เขาไม่สามารถวางใจในสิ่งที่เห็นได้ทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานได้จากคนผู้นี้
“เจ้าจงพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน” หลี่ซานเอ่ยขึ้นในที่สุด “เมื่อเจ้าฟื้นตัวแล้ว ค่อยมาหาข้า”
เฟิ่งอวี้ยิ้มกว้างออกมา ดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี ราวกับเด็กน้อยที่ได้รับของเล่นชิ้นโปรด “ขอบคุณท่านปรมาจารย์...ขอบคุณในความเมตตาของท่าน”
เมื่อหลี่ซานเดินจากไป เฟิ่งอวี้ก็ยังคงนอนยิ้มอยู่บนเตียง รอยยิ้มนั้นค่อยๆ เปลี่ยนจากความอ่อนโยนเป็นความอำมหิตอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยทอประกายด้วยความพึงพอใจอย่างสุดซึ้ง
“อีกไม่นานท่านก็จะตกหลุมพรางของข้าแล้ว” หลงเทียนกระซิบเบาๆ กับตัวเอง
เฟิ่งอวี้หลับตาลง ปล่อยให้ความมืดมิดกลืนกินสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะ แต่ในห้วงลึกของจิตใจ เขากำลังวางแผนการขั้นต่อไปอย่างแยบยลที่สุด แผนการที่จะค่อยๆ กัดกินหัวใจอันเย็นชาของหลี่ซานทีละน้อย จนกระทั่งไม่เหลือชิ้นดี เพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้ครอบครองชายหนุ่มผู้นี้แต่เพียงผู้เดียว
ค่ำคืนนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัดของสำนักเมฆาขาว มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดผ่านต้นสนโบราณ และเสียงหายใจที่แผ่วเบาของชายหนุ่มผู้นอนอยู่บนเตียง ความมืดมิดในยามวิกาลซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของหลี่ซานไปตลอดกาล และเริ่มต้นเรื่องราวอันบิดเบี้ยวของความปรารถนาและความรักที่เร่าร้อนดุจเปลวเพลิงนรก
แสงอรุณยามเช้าของวันถัดมา เกล็ดหิมะปกคลุมยอดสนจนขาวโพลนราวภาพวาด หลี่ซานซึ่งไม่เคยใส่ใจกับสิ่งใดมาก่อน ความว่างเปล่าคือสิ่งที่เขาใฝ่หา แต่ทว่าเวลานี้การปรากฏตัวของเฟิ่งอวี้ ทำให้ความรู้สึกภายในใจกลับปั่นป่วนขึ้นมา...และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจคาดเดาและหักห้ามลงได้
ขณะที่หลี่ซานกำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ท่านอาจารย์...เฟิ่งอวี้ฟื้นแล้วและพร้อมที่จะเข้าพบขอรับ”
หลี่ซานพยักหน้าเบาๆ พลังปราณที่เคยแผ่ออกมาอย่างไม่เป็นระเบียบกลับสงบนิ่งลงอีกครั้ง เขาเดินไปยังห้องโถงใหญ่ของสำนัก
เฟิ่งอวี้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ร่างกายของเขายังคงผอมบางอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาที่ลูกศิษย์ของสำนักจัดหาให้ ใบหน้าซีดขาวกว่าปกติเล็กน้อย ทว่าดวงตาคู่สวยกลับเปล่งประกายสดใส
เมื่อเห็นหลี่ซานก้าวเข้ามา เฟิ่งอวี้รีบทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับอย่างนอบน้อม “คารวะท่านปรมาจารย์หลี่ซาน เฟิ่งอวี้ขอขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต และให้ที่พักพิงแก่ข้า”
หลี่ซานหยุดยืนห่างออกไปสองสามก้าว เขายืนนิ่งราวรูปปั้นหยกสีขาว สง่างามและเยือกเย็นเกินกว่าจะเข้าถึง ดวงตาคมกริบจ้องมองเฟิ่งอวี้อย่างพิจารณา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เจ้าหายดีแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น เรียบเฉยจนยากจะจับอารมณ์
เฟิ่งอวี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย “ข้าดีกว่าเก่ามากแล้ว แต่ว่าร่างกายยังรู้สึกทรมานไม่หาย”
หลี่ซานเพียงพยักหน้ารับฟังโดยยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เจ้าต้องการเป็นศิษย์ของข้า” หลี่ซานย้ำคำถามเดิม เสียงของเขาหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย
เฟิ่งอวี้พยักหน้าอย่างแรง ดวงตาคู่สวยสุกใสราวกับได้รับความหวัง “ขอรับ หากท่านปรมาจารย์เมตตา ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเป็นอันขาด”
หลี่ซานยังคงจ้องมองเฟิ่งอวี้อย่างไม่ลดละ ดวงตาคมกริบพยายามค้นหาความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แผ่วเบาในกายของเฟิ่งอวี้ พลังปราณที่ดูบอบบาง ทว่ากลับมีความบริสุทธิ์และแปลกประหลาดอย่างยิ่งยวด ราวกับเป็นพลังที่ยังไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่
“วิชาของสำนักเมฆาขาวมิใช่จะฝึกฝนได้ง่ายๆ หากไม่มุ่งมั่นและตั้งใจอย่างแรงกล้า ก็มีแต่จะนำภัยมาสู่ตนเอง” หลี่ซานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าต้องการเดินบนเส้นทางนี้”
“ข้ามั่นใจยิ่งกว่าสิ่งใด” เฟิ่งอวี้ตอบกลับทันควัน แววตาฉายความแน่วแน่อย่างแรงกล้า “ข้าพร้อมจะอดทนแม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงใด ข้าก็ไม่มีวันย่อท้อ ขอเพียงท่านเมตตารับข้าไว้เป็นศิษย์ ข้าจะถือว่านี่คือชีวิตใหม่ที่ท่านมอบให้ และจะตอบแทนบุญคุณนี้ด้วยชีวิตของข้า”
ตอนที่ 55 ภาพฝันที่ไม่เลือนหาย วันเวลาผันผ่านไป เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า หลี่ซานยังคงใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำอันเงียบสงบกลางเทือกเขาสูงใหญ่ ที่ซึ่งเขาปลีกวิเวกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นที่พำนักของความทรงจำและหัวใจที่แตกสลาย ชายหนุ่มนั่งอยู่ริมธารน้ำตกเล็กๆ ภายในถ้ำ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับความเย็นบริสุทธิ์ของอากาศยามเช้า ปล่อยให้สายน้ำที่ไหลรินชะล้างความเจ็บปวดในจิตใจ “เฟิ่งอวี้…” หลี่ซานกระซิบชื่อนั้นแผ่วเบา ราวกับจะเรียกหาชายหนุ่มให้กลับมา ความทรงจำถึงเฟิ่งอวี้ยังคงชัดเจนในใจของหลี่ซาน ราวกับว่าชายหนุ่มยังคงอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา ทุกรอยยิ้ม ทุกสัมผัส ทุกคำพูด ยังคงตรึงอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ ภาพของเฟิ่งอวี้ในวันแรกที่พบกัน ความโหดร้าย ความเจ้าเล่ห์ รวมถึงวันที่เขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ และวันที่เขาจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ภาพเหล่านี้ผุดขึ้นมาในความคิดของหลี่ซานไม่เคยว่างเว้น เขาหวนนึกถึงวันที่เขาโอบกอดร่างของเฟิ่งอวี้ที่ไร้วิญญาณไว้แน่น ก่อนจะจากสำนักเมฆาขาวมา ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
ตอนที่ 54 ความสูญเสีย หลี่ซานโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณของเฟิ่งอวี้ไว้แน่น เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณ เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความรู้สึกผิดบาปและความสูญเสียถาโถมเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง เขาได้สูญเสียคนที่เขารักไปแล้วจริงๆ แม้ว่าเฟิ่งอวี้จะเป็นมารร้าย แต่ในช่วงเวลาสุดท้าย ชายหนุ่มกลับแสดงความรักที่บริสุทธิ์และจริงใจให้เขาเห็น เสิ่นหยวนและหลันเฟิงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและสับสน พวกเขาไม่คิดว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้ พวกเขาตั้งใจจะกำจัดมารร้าย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้พรากชีวิตของคนที่อาจารย์ของพวกเขารักไปแล้ว “อาจารย์…” เสิ่นหยวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หลี่ซานเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหยวน ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด “เจ้า…เจ้าทำอะไรลงไป!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตัดพ้อและความสิ้นหวัง เสิ่นหยวนรู้สึกผิดอย่างแสนสาหัส เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ของเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน “ข้า…ข้าไม่คิดว่า…” หลันเฟิงเดินเข้ามาใกล้ เขาคุกเข่าลงข้างๆ หลี่ซาน “อาจารย์…พวกเราเพียงต้องการปกป้องท่าน…”
ตอนที่ 53 ความจริงที่ไม่อาจทนรับ ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน แม้ด้านนอกของเรือนพักจะเกิดการปะทะอย่างรุนแรง แต่เพราะม่านมนต์ที่หลี่ซานร่ายครอบคลุมเรือนเอาไว้ ทำให้เขามิอาจได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกแม้แต่น้อย หลี่ซานยังคงนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างรู้สึกกระสับกระส่าย ความรู้สึกไม่สบายใจเกาะกินจิตใจของเขาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ลางสังหรณ์อันเฉียบคมของเขา ทำให้เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณที่รุนแรงผิดปกติกำลังปะทุขึ้นในบริเวณเรือนพักของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สัญชาตญาณทำให้เขาต้องรีบก้าวออกมาจากเรือนพักด้วยความเร่งรีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงก้าวเท้าออกมาจากเรือนพัก ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทำให้หลี่ซานถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด เขามองเห็นเสิ่นหยวน ศิษย์เอกของเขากำลังปลดปล่อยพลังปราณสีขาวบริสุทธิ์อันรุนแรงมหาศาลพุ่งเข้าใส่เฟิ่งอวี้อย่างจัง ร่างของเฟิ่งอวี้ที่นั่งนิ่งรับปราณนั้นอย่างไร้การป้องกันตนเอง ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังรอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง “หยุดเดี๋ยวนี้!” หลี่ซานตะ
ตอนที่ 52 ความจริงเปิดเผย ในขณะที่หลี่ซานกำลังพยายามข่มใจให้แข็งแกร่ง และยอมปล่อยมือจากเฟิ่งอวี้เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย อีกด้านหนึ่งของสำนักเมฆาขาว เสิ่นหยวนและหลันเฟิง ศิษย์เอกทั้งสองที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงสำนักเมฆาขาว หลังจากที่ออกเดินทางไปประชุมและเยี่ยมเยียนสำนักต่างๆ ตามเทียบเชิญที่ได้รับมานานเกือบปีก็กำลังเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าตกตะลึง “หลงจู ระหว่างที่พวกข้าไม่อยู่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในสำนักหรือไม่” เสิ่นหยวนถามออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบๆ สำนักอย่างนึกหวาดระแวง เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม พลังปราณที่แฝงกลิ่นอายของมาร แม้จะเจือจางลงไปมากก็ตาม มันทำให้เขาอดนึกระแวดระวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่เคยมีประสบการณ์ตรงในการต่อสู้กับเฟิ่งอวี้เมื่อหลายปีก่อน หลงจูรีบเข้ามารายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่การมาถึงของเฟิ่งอวี้ ศิษย์คนใหม่ผู้มีพรสวรรค์ การที่เฟิ่งอวี้สามารถเข้าใกล้หลี่ซานได้อย่างผิดปกติ และเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน รวมถึงการบาดเจ็บของเฟิ่งอวี้โดยไม่ทราบสาเ
ตอนที่ 51 จำนน เช้าวันต่อมา หลี่ซานได้รับจดหมายจากเสิ่นหยวนและหลันเฟิงอีกครั้ง พวกเขาทั้งสองกำลังเดินทางกลับสำนักเมฆาขาว พร้อมกับรายงานเรื่องเบาะแสของเฟิ่งอวี้ที่ถูกพบในบริเวณใกล้สำนัก พวกเขาหมายมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะกำจัดเฟิ่งอวี้ให้สำเร็จให้จงได้ “เฟิ่งอวี้ เจ้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว หากเสิ่นหยวนและหลันเฟิงกลับมาพบเจ้า ชะตาของเจ้าคงจบสิ้นเป็นแน่” หลี่ซานพ้อออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและจนใจ เขารู้ดีว่าเวลานี้ร่างกายของเฟิ่งอวี้นั้นไม่อาจต้านทานกำลังของศิษย์ทั้งสองได้ และในขณะเดียวกันเขาก็มิอาจลุกขึ้นมาปกป้องชายหนุ่มได้เช่นเดียวกัน ภาระและหน้าที่ที่มีต่อสำนักและยุทธภพทำให้เขามิอาจเลือกเส้นทางได้ตามอำเภอใจ และทางเดียวที่จะปกป้องเฟิ่งอวี้ได้ นั่นคือการยอมปล่อยมือเฟิ่งอวี้ให้จากไปอย่างไม่หวนกลับ บ่ายวันนั้น ขณะที่แสงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ หลี่ซานและเฟิ่งอวี้ยืนเผชิญหน้ากันในห้องโถงที่เงียบสงบ หลี่ซานตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเป็นไปได้นี้ แม้ว่าเขาจะต้องเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม ชายหนุ่มพยายามรวบรวมความเข้มแข็งทั้งหมดที่มี เพื่อกล่าวคำที่บาดลึกหัวใจของตนเอง
ตอนที่ 50 ใจอ่อน คืนหนึ่งหลี่ซานนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา เฟิ่งอวี้เดินเข้ามา เขายังคงซีดเซียวเล็กน้อยจากอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แต่ดวงตาของเขากลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น “หลี่ซาน ข้าทำขนมมาให้ท่าน” เฟิ่งอวี้ยื่นจานขนมเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาให้ หลี่ซานรับมาโดยไม่พูดอะไร เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากจานขนมที่เฟิ่งอวี้ถือมา “หลี่ซาน…ข้าขออยู่เป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่” เฟิ่งอวี้กล่าวเสียงแผ่วเบา พลางนั่งลงบนพื้นข้างๆ หลี่ซานอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้พยายามสัมผัสกาย ไม่ได้พยายามพูดจาออดอ้อน เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ หลี่ซานอ่านตำราต่อไป แต่ในใจของเขากลับไม่สงบเหมือนเคย เขาเหลือบมองเฟิ่งอวี้เป็นระยะๆ เห็นชายหนุ่มนั่งนิ่ง ดวงตาจับจ้องไปที่ตำราที่เขาอ่านราวกับกำลังสนใจอย่างแท้จริง เวลาผ่านไปช้าๆ ความเงียบในห้องไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดแต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาด เฟิ่งอวี้รู้สึกว่าความแข็งกระด้างในใจของหลี่ซานกำลังอ่อนลงทีละน้อย เขาไม่อาจรู้ว่าหลี่ซานจะใจอ่อนอีกนานเท่าใด แต่ในเวลานี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึ