บทที่ 4 ตกหลุมพราง
หลี่ซานเงียบไปพักหนึ่ง บรรยากาศในห้องโถงพลันเงียบสงัดลงจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของทั้งสองคน เฟิ่งอวี้ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ก้มหน้าลงเล็กน้อย แต่ในใจกลับกำลังคำนวณปฏิกิริยาของหลี่ซานอย่างละเอียด เขารู้ดีว่าหลี่ซานไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ ความเย็นชาและเย่อหยิ่งของเขานั้นเป็นเกราะป้องกันชั้นดี แต่เฟิ่งอวี้ก็มีอาวุธที่เหนือกว่า นั่นคือความสามารถในการควบคุมจิตใจผู้อื่น และภาพลักษณ์ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างบรรจง
หลังจากผ่านไปช่วงเวลาอันน่าอึดอัด ในที่สุดหลี่ซานก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบเฉย ทว่าแฝงไว้ด้วยอำนาจ “เช่นนั้น...พรุ่งนี้เช้า ให้เจ้ามารายงานตัวที่ลานฝึก ข้าจะดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นศิษย์ของสำนักเมฆาขาวหรือไม่”
เฟิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างสดใสทันที ดวงตาคู่สวยเป็นประกายราวกับได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต “ขอบคุณขอรับ! เฟิ่งอวี้จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” เขาก้มลงกราบอีกครั้งอย่างนอบน้อม ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยท่าทางอ่อนแรงเล็กน้อย
หลี่ซานยืนนิ่งสงบมองดูเฟิ่งอวี้ที่เดินจากไปจนลับสายตา แต่ทว่าภายในใจกลับไม่ได้สงบเฉกเช่นที่แสดงออก บางสิ่งในตัวของเขากำลังสั่นคลอนลงข้าๆ จิตใจที่เคยแข็งแกร่งดั่งหินผา กำลังจะเริ่มมีรอยร้าวเล็กๆ ที่มองไม่เห็น
เฟิ่งอวี้เดินกลับมายังห้องพักพร้อมรอยยิ้มที่แตกต่างออกไปจากรอยยิ้มที่แสดงต่อหน้าหลี่ซาน รอยยิ้มนั้นแฝงด้วยชัยชนะและความพอใจอย่างยิ่ง ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายคมกริบ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาซับเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก ในใจกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“หลี่ซาน...เตรียมตัวรับมือกับของขวัญที่ข้าจะมอบให้ท่านได้เลย” เฟิ่งอวี้พึมพำกับตัวเอง “อีกไม่นานหรอก ทั้งร่างกายและหัวใจของท่านจะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
เฟิ่งอวี้ยืนอยู่ที่หน้าต่าง สายตามองออกไปด้านนอกที่บัดนี้มีหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว ต้นสนสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านท้าทายลมหนาว ดูราวกับความแข็งแกร่งและเย่อหยิ่งของหลี่ซาน เฟิ่งอวี้ยกยิ้มมุมปาก เขาจินตนาการถึงวันที่ต้นสนเหล่านั้นจะถูกโค่นล้มลง วันที่ความเย่อหยิ่งของหลี่ซานจะแตกสลาย และปรมาจารย์ผู้สูงส่งจะตกอยู่ภายใต้อาณัติของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เฟิ่งอวี้ยิ้มกริ่มอย่างรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก ความอ่อนโยนที่เขาแสดงออกมานั้นเป็นเพียงหน้ากากที่เขาใช้สวมใส่เพื่อหลอกล่อเหยื่อ ทว่าแท้จริงแล้วเขากลับเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ยิ่งเมื่อเฟิ่งอวี้จินตนาการถึงวันที่หลี่ซานตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขา ความรู้สึกนี้ยิ่งทำให้เฟิ่งอวี้รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่าง ความปรารถนาอันดำมืดกัดกินจิตใจของเขาจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะต้องอดทนรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสม และค่อยๆ สร้างรากฐานแห่งความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวนี้ขึ้นมาอย่างมั่นคง
รุ่งเช้ามาถึงอย่างรวดเร็ว เฟิ่งอวี้ตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาเดินไปยังลานฝึกที่กว้างใหญ่ของสำนัก อากาศยามเช้าเยือกเย็นจนเห็นลมหายใจเป็นไอขาว แต่เฟิ่งอวี้กลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย เขาพบว่าหลี่ซานยืนรออยู่ก่อนแล้วที่กลางลาน ร่างสูงสง่ายืนนิ่งราวกับรูปสลัก หันหลังให้เขาทำให้ไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นโดยไม่ต้องหันกลับมามอง
“ขอรับท่านอาจารย์” เฟิ่งอวี้ตอบรับด้วยความนอบน้อม เขาก้าวเข้าไปใกล้ ช้าๆ แต่แฝงด้วยความมั่นใจ เขาพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นบทบาทใหม่ บทบาทของลูกศิษย์ผู้ใสซื่อที่พร้อมจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และพร้อมที่จะทำลายอาจารย์ผู้นั้นให้ย่อยยับลงด้วยมือของตนเอง
หลี่ซานหันกลับมาช้าๆ ดวงตาคมกริบจ้องมองเฟิ่งอวี้อีกครั้ง ราวกับกำลังประเมินค่าของเขา และในสายตาของปรมาจารย์นั้น เฟิ่งอวี้ก็ยังคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้บอบบาง ไร้พิษภัย ผู้ซึ่งไม่เคยรู้เลยว่าตนเองได้เชื้อเชิญหมาป่าเข้ามาในถ้ำด้วยมือของตนเอง
“เริ่มจากพื้นฐาน...” หลี่ซานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้อารมณ์ “เจ้าจะต้องเรียนรู้การควบคุมพลังปราณ การกำหนดลมหายใจ และการทำสมาธิ”
เฟิ่งอวี้ยิ้มบางๆ เขาโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานแต่แฝงด้วยความมุ่งมั่น “ขอรับ เฟิ่งอวี้จะตั้งใจศึกษาอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”
สายตาของเฟิ่งอวี้ที่จ้องมองหลี่ซานนั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะคาดเดาได้ มันไม่ใช่สายตาของลูกศิษย์ที่เคารพอาจารย์ แต่เป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ ผู้ซึ่งกำลังลิ้มรสชัยชนะก้าวแรกที่หอมหวาน และเตรียมพร้อมที่จะกลืนกินเหยื่อชิ้นนี้อย่างช้าๆ ทีละน้อยๆ จนกระทั่งไม่เหลืออะไรให้ใครเห็นอีกต่อไป
เช้าวันแรกของการเป็นศิษย์ในสำนักเมฆาขาวเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับอากาศที่ยังคงหนาวเหน็บ เฟิ่งอวี้ในชุดฝึกสีเทาเข้มที่แม้จะดูธรรมดา แต่กลับยิ่งขับเน้นให้เห็นรูปร่างที่สมส่วนและใบหน้าที่งดงามราวภาพวาดของเขาให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มยืนอยู่กลางลานกว้างท่ามกลางลมหนาวที่โบกพัดเข้ามาปะทะผิวกายและใบหน้าตามคำสั่งของหลี่ซานอย่างเคร่งครัด
หลี่ซานยกมือขึ้นช้าๆ พลังปราณสีขาวบริสุทธิ์แผ่ออกมาจากฝ่ามือ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายใยบางๆ พุ่งเข้าหาร่างของเฟิ่งอวี้อย่างรวดเร็ว เฟิ่งอวี้รู้สึกถึงกระแสพลังที่ไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างอ่อนโยน มันเป็นพลังที่บริสุทธิ์ เย็นยะเยือก แต่กลับนำพาความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ มาสู่จิตใจที่เคยแข็งกระด้างของเขา
“จงรับรู้ถึงพลังนี้ มันคือลมปราณแห่งภูผา ที่สำนักเมฆาขาวใช้เป็นรากฐานในการฝึกฝน” หลี่ซานอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จงควบคุมมันให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง และรวมไว้ที่จุดตันเถียน”
เฟิ่งอวี้พยักหน้า ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ทำตามคำแนะนำของหลี่ซาน เขารู้สึกถึงพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณทั่วร่างกาย พลังที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งนี้ช่างแตกต่างจากพลังที่เขาเคยฝึกฝนมา มันเป็นพลังที่ดูอ่อนโยน แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและมั่นคงที่ยากจะต้านทาน
เฟิ่งอวี้พยายามควบคุมมันอย่างสุดความสามารถ ใบหน้าของเขาเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย บ่งบอกถึงความยากลำบากในการควบคุมพลังที่ไม่คุ้นเคย
หลี่ซานยืนมองเฟิ่งอวี้อย่างเงียบงัน ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของพลังปราณในกายของเด็กหนุ่ม เขาเห็นว่าเฟิ่งอวี้มีความสามารถพิเศษในการรับรู้และควบคุมพลังปราณได้อย่างรวดเร็ว แม้จะดูเหมือนกำลังฝืนทน แต่ลึกๆ แล้วเขารู้ว่าเฟิ่งอวี้กำลังเรียนรู้และซึมซับพลังปราณได้อย่างน่าเหลือเชื่อ พรสวรรค์เช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก
ตอนที่ 55 ภาพฝันที่ไม่เลือนหาย วันเวลาผันผ่านไป เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า หลี่ซานยังคงใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำอันเงียบสงบกลางเทือกเขาสูงใหญ่ ที่ซึ่งเขาปลีกวิเวกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นที่พำนักของความทรงจำและหัวใจที่แตกสลาย ชายหนุ่มนั่งอยู่ริมธารน้ำตกเล็กๆ ภายในถ้ำ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับความเย็นบริสุทธิ์ของอากาศยามเช้า ปล่อยให้สายน้ำที่ไหลรินชะล้างความเจ็บปวดในจิตใจ “เฟิ่งอวี้…” หลี่ซานกระซิบชื่อนั้นแผ่วเบา ราวกับจะเรียกหาชายหนุ่มให้กลับมา ความทรงจำถึงเฟิ่งอวี้ยังคงชัดเจนในใจของหลี่ซาน ราวกับว่าชายหนุ่มยังคงอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา ทุกรอยยิ้ม ทุกสัมผัส ทุกคำพูด ยังคงตรึงอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ ภาพของเฟิ่งอวี้ในวันแรกที่พบกัน ความโหดร้าย ความเจ้าเล่ห์ รวมถึงวันที่เขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ และวันที่เขาจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ภาพเหล่านี้ผุดขึ้นมาในความคิดของหลี่ซานไม่เคยว่างเว้น เขาหวนนึกถึงวันที่เขาโอบกอดร่างของเฟิ่งอวี้ที่ไร้วิญญาณไว้แน่น ก่อนจะจากสำนักเมฆาขาวมา ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
ตอนที่ 54 ความสูญเสีย หลี่ซานโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณของเฟิ่งอวี้ไว้แน่น เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณ เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความรู้สึกผิดบาปและความสูญเสียถาโถมเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง เขาได้สูญเสียคนที่เขารักไปแล้วจริงๆ แม้ว่าเฟิ่งอวี้จะเป็นมารร้าย แต่ในช่วงเวลาสุดท้าย ชายหนุ่มกลับแสดงความรักที่บริสุทธิ์และจริงใจให้เขาเห็น เสิ่นหยวนและหลันเฟิงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและสับสน พวกเขาไม่คิดว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้ พวกเขาตั้งใจจะกำจัดมารร้าย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้พรากชีวิตของคนที่อาจารย์ของพวกเขารักไปแล้ว “อาจารย์…” เสิ่นหยวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หลี่ซานเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหยวน ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด “เจ้า…เจ้าทำอะไรลงไป!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตัดพ้อและความสิ้นหวัง เสิ่นหยวนรู้สึกผิดอย่างแสนสาหัส เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ของเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน “ข้า…ข้าไม่คิดว่า…” หลันเฟิงเดินเข้ามาใกล้ เขาคุกเข่าลงข้างๆ หลี่ซาน “อาจารย์…พวกเราเพียงต้องการปกป้องท่าน…”
ตอนที่ 53 ความจริงที่ไม่อาจทนรับ ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน แม้ด้านนอกของเรือนพักจะเกิดการปะทะอย่างรุนแรง แต่เพราะม่านมนต์ที่หลี่ซานร่ายครอบคลุมเรือนเอาไว้ ทำให้เขามิอาจได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกแม้แต่น้อย หลี่ซานยังคงนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างรู้สึกกระสับกระส่าย ความรู้สึกไม่สบายใจเกาะกินจิตใจของเขาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ลางสังหรณ์อันเฉียบคมของเขา ทำให้เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณที่รุนแรงผิดปกติกำลังปะทุขึ้นในบริเวณเรือนพักของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สัญชาตญาณทำให้เขาต้องรีบก้าวออกมาจากเรือนพักด้วยความเร่งรีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงก้าวเท้าออกมาจากเรือนพัก ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทำให้หลี่ซานถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด เขามองเห็นเสิ่นหยวน ศิษย์เอกของเขากำลังปลดปล่อยพลังปราณสีขาวบริสุทธิ์อันรุนแรงมหาศาลพุ่งเข้าใส่เฟิ่งอวี้อย่างจัง ร่างของเฟิ่งอวี้ที่นั่งนิ่งรับปราณนั้นอย่างไร้การป้องกันตนเอง ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังรอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง “หยุดเดี๋ยวนี้!” หลี่ซานตะ
ตอนที่ 52 ความจริงเปิดเผย ในขณะที่หลี่ซานกำลังพยายามข่มใจให้แข็งแกร่ง และยอมปล่อยมือจากเฟิ่งอวี้เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย อีกด้านหนึ่งของสำนักเมฆาขาว เสิ่นหยวนและหลันเฟิง ศิษย์เอกทั้งสองที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงสำนักเมฆาขาว หลังจากที่ออกเดินทางไปประชุมและเยี่ยมเยียนสำนักต่างๆ ตามเทียบเชิญที่ได้รับมานานเกือบปีก็กำลังเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าตกตะลึง “หลงจู ระหว่างที่พวกข้าไม่อยู่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในสำนักหรือไม่” เสิ่นหยวนถามออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบๆ สำนักอย่างนึกหวาดระแวง เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม พลังปราณที่แฝงกลิ่นอายของมาร แม้จะเจือจางลงไปมากก็ตาม มันทำให้เขาอดนึกระแวดระวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่เคยมีประสบการณ์ตรงในการต่อสู้กับเฟิ่งอวี้เมื่อหลายปีก่อน หลงจูรีบเข้ามารายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่การมาถึงของเฟิ่งอวี้ ศิษย์คนใหม่ผู้มีพรสวรรค์ การที่เฟิ่งอวี้สามารถเข้าใกล้หลี่ซานได้อย่างผิดปกติ และเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน รวมถึงการบาดเจ็บของเฟิ่งอวี้โดยไม่ทราบสาเ
ตอนที่ 51 จำนน เช้าวันต่อมา หลี่ซานได้รับจดหมายจากเสิ่นหยวนและหลันเฟิงอีกครั้ง พวกเขาทั้งสองกำลังเดินทางกลับสำนักเมฆาขาว พร้อมกับรายงานเรื่องเบาะแสของเฟิ่งอวี้ที่ถูกพบในบริเวณใกล้สำนัก พวกเขาหมายมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะกำจัดเฟิ่งอวี้ให้สำเร็จให้จงได้ “เฟิ่งอวี้ เจ้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว หากเสิ่นหยวนและหลันเฟิงกลับมาพบเจ้า ชะตาของเจ้าคงจบสิ้นเป็นแน่” หลี่ซานพ้อออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและจนใจ เขารู้ดีว่าเวลานี้ร่างกายของเฟิ่งอวี้นั้นไม่อาจต้านทานกำลังของศิษย์ทั้งสองได้ และในขณะเดียวกันเขาก็มิอาจลุกขึ้นมาปกป้องชายหนุ่มได้เช่นเดียวกัน ภาระและหน้าที่ที่มีต่อสำนักและยุทธภพทำให้เขามิอาจเลือกเส้นทางได้ตามอำเภอใจ และทางเดียวที่จะปกป้องเฟิ่งอวี้ได้ นั่นคือการยอมปล่อยมือเฟิ่งอวี้ให้จากไปอย่างไม่หวนกลับ บ่ายวันนั้น ขณะที่แสงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ หลี่ซานและเฟิ่งอวี้ยืนเผชิญหน้ากันในห้องโถงที่เงียบสงบ หลี่ซานตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเป็นไปได้นี้ แม้ว่าเขาจะต้องเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม ชายหนุ่มพยายามรวบรวมความเข้มแข็งทั้งหมดที่มี เพื่อกล่าวคำที่บาดลึกหัวใจของตนเอง
ตอนที่ 50 ใจอ่อน คืนหนึ่งหลี่ซานนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา เฟิ่งอวี้เดินเข้ามา เขายังคงซีดเซียวเล็กน้อยจากอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แต่ดวงตาของเขากลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น “หลี่ซาน ข้าทำขนมมาให้ท่าน” เฟิ่งอวี้ยื่นจานขนมเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาให้ หลี่ซานรับมาโดยไม่พูดอะไร เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากจานขนมที่เฟิ่งอวี้ถือมา “หลี่ซาน…ข้าขออยู่เป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่” เฟิ่งอวี้กล่าวเสียงแผ่วเบา พลางนั่งลงบนพื้นข้างๆ หลี่ซานอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้พยายามสัมผัสกาย ไม่ได้พยายามพูดจาออดอ้อน เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ หลี่ซานอ่านตำราต่อไป แต่ในใจของเขากลับไม่สงบเหมือนเคย เขาเหลือบมองเฟิ่งอวี้เป็นระยะๆ เห็นชายหนุ่มนั่งนิ่ง ดวงตาจับจ้องไปที่ตำราที่เขาอ่านราวกับกำลังสนใจอย่างแท้จริง เวลาผ่านไปช้าๆ ความเงียบในห้องไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดแต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาด เฟิ่งอวี้รู้สึกว่าความแข็งกระด้างในใจของหลี่ซานกำลังอ่อนลงทีละน้อย เขาไม่อาจรู้ว่าหลี่ซานจะใจอ่อนอีกนานเท่าใด แต่ในเวลานี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึ