บทที่ 5 คืบคลาน
เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม อากาศเริ่มเย็นลงอีกครั้ง หลี่ซานเห็นว่าเฟิ่งอวี้เริ่มมีอาการเหนื่อยล้า ร่างกายเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยปากขึ้น “วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
เฟิ่งอวี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าซีดขาว แต่ดวงตาคู่สวยยังคงเปล่งประกายด้วยความกระตือรือร้น “ขอบคุณท่านอาจารย์ เฟิ่งอวี้รู้สึกว่าตนเองยังอ่อนด้อยนัก ยังมีสิ่งที่ข้าต้องเรียนรู้อีกมาก”
“เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์” หลี่ซานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เฟิ่งอวี้ชะงักไปเล็กน้อย เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำชมเชยจากปากคนผู้นี้ “แต่พรสวรรค์ที่ไร้การฝึกฝนก็ไร้ความหมาย วันนี้จงกลับไปพักผ่อนเสียก่อน”
เฟิ่งอวี้ยิ้มบางๆ คำนับอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้หลี่ซานยืนอยู่กลางลานฝึกเพียงลำพัง หลี่ซานยังคงจ้องมองแผ่นหลังของเฟิ่งอวี้ที่ค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในใจของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่สบายใจ แต่เป็นความสนใจ...ความสนใจที่อยากจะรู้ว่าภายใต้ท่าทีอ่อนโยนและบอบบางของเฟิ่งอวี้ แท้จริงแล้วซ่อนเร้นสิ่งใดอยู่กันแน่
เฟิ่งอวี้กลับมายังห้องพักของตนเอง ทันทีที่ประตูปิดลง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปทันที แทนที่ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยและดวงตาที่เย็นชาดุจน้ำแข็ง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ พลังปราณที่เขาแสดงว่าควบคุมได้อย่างยากลำบากเมื่อครู่ กลับไหลเวียนอยู่ในร่างกายอย่างคล่องแคล่วและสมบูรณ์แบบ มันเป็นพลังที่เขาได้จากการดูดซับพลังปราณจากหลี่ซานในระหว่างการฝึกสอน แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“พลังปราณแห่งภูผาของสำนักเมฆาขาวช่างน่าสนใจยิ่งนัก” เฟิ่งอวี้พึมพำกับตัวเอง เสียงของเขาเย็นชาและแฝงด้วยความอำมหิต “หลี่ซาน ท่านช่างเมตตายิ่งนัก ที่ยอมมอบพลังอันล้ำค่านี้ให้แก่ข้าโดยไม่รู้ตัว”
เฟิ่งอวี้นั่งลงบนเตียง หลับตาลง พลังปราณสีขาวบริสุทธิ์ที่ดูดซับมาจากหลี่ซานไหลเวียนไปทั่วร่าง ชายหนุ่มไม่ใช่เพียงแค่ดูดซับพลัง แต่เขายังสามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของพลังนั้นได้อย่างรวดเร็ว พรสวรรค์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการฝึกฝนที่โหดร้ายและยาวนานในอดีต
เฟิ่งอวี้จินตนาการถึงวันที่เขาสามารถควบคุมพลังปราณแห่งภูผานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ วันที่เขาสามารถใช้มันเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขาได้อย่างแยบคาย และวันที่เขาจะใช้มันเพื่อครอบครองหลี่ซานให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขา
รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้า เฟิ่งอวี้รู้ดีว่าหลี่ซานยังคงไม่เห็นพิษสงที่แท้จริงของเขา ปรมาจารย์ผู้นั้นยังคงมองว่าเขาเป็นเพียงลูกแกะที่หลงทาง แต่แท้จริงแล้ว...เขาคือหมาป่าที่กำลังจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง
ตลอดหลายวันต่อมา การฝึกฝนดำเนินไปอย่างเข้มข้น เฟิ่งอวี้แสดงความมุ่งมั่นและความสามารถที่น่าทึ่ง เขาสามารถเรียนรู้วิชาต่างๆ ของสำนักเมฆาขาวได้อย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
หลี่ซานเฝ้าสังเกตการณ์เขาอย่างใกล้ชิด ความสนใจที่เคยมีอยู่เพียงเล็กน้อยกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยชายตามองศิษย์คนใดเป็นพิเศษ กลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการสอนเฟิ่งอวี้เป็นการส่วนตัว
ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน เฟิ่งอวี้ยังคงรักษาภาพลักษณ์ของลูกศิษย์ผู้ใฝ่รู้ อ่อนน้อม และอ่อนโยนเสมอ เขาจะแสดงความกังวลเล็กน้อย เมื่อหลี่ซานต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งยาก จะคอยรินชาให้ในยามที่หลี่ซานเหน็ดเหนื่อย และจะคอยมองหลี่ซานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความศรัทธาและความเคารพ ยามที่อีกฝ่ายกำลังสอนวิชา
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของหลี่ซานทีละน้อยๆ ราวกับหยาดน้ำที่ค่อยๆ กัดเซาะก้อนหินให้กร่อนไป
วันหนึ่ง ในช่วงที่หิมะตกหนักจนไม่อาจออกไปฝึกกลางแจ้งได้ หลี่ซานได้พาเฟิ่งอวี้ไปยังห้องลับของสำนัก ห้องที่เก็บรวบรวมตำราโบราณและวิชาลึกล้ำที่แม้แต่ศิษย์อาวุโสบางคนยังไม่เคยได้เข้า
หลี่ซานต้องการทดสอบความรู้ความเข้าใจของเฟิ่งอวี้เกี่ยวกับปรัชญาและแก่นแท้ของวิชาเซียน
ภายในห้องลับ บรรยากาศเงียบสงบอบอวลไปด้วยกลิ่นกระดาษเก่าแก่และสมุนไพรโบราณ หลี่ซานเดินนำเฟิ่งอวี้ไปยังชั้นหนังสือที่สูงเสียดฟ้า ก่อนจะหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา “ตำราเล่มนี้กล่าวถึงแก่นแท้ของ 'วิชาไร้ใจ' เจ้าจงอ่านและทำความเข้าใจ”
เฟิ่งอวี้ยิ้มรับ หยิบตำรามาเปิดอ่านอย่างตั้งใจ “วิชาไร้ใจ” เป็นวิชาที่หลี่ซานฝึกฝนจนสำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ใดๆ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาแข็งแกร่งและไร้เทียมทาน ชายหนุ่มรู้ดีว่าการจะพิชิตหลี่ซานได้นั้น เขาจะต้องทำลายแก่นแท้ของวิชานี้ นั่นคือการทำให้หลี่ซานมี “ใจ” อีกครั้ง มีความรู้สึก มีอารมณ์ และตกอยู่ภายใต้อำนาจของความปรารถนา
ขณะที่เฟิ่งอวี้นั่งอ่านตำราอยู่นั้น หลี่ซานเองก็ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาคมกริบยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา แววตาของหลี่ซานยามนี้ไม่ได้มีเพียงความสงบนิ่งอีกต่อไป มันเริ่มมีบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ความสงสัย ความใคร่รู้ และความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ค่ำคืนนั้น หลังจากการศึกษาตำราอย่างยาวนาน เฟิ่งอวี้รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาเดินกลับไปยังห้องพักของตนเอง แต่ระหว่างทางกลับพบว่าหลี่ซานกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องของเขาแล้ว ใบหน้าของปรมาจารย์ยังคงเรียบเฉย แต่ในความมืดสลัวของยามค่ำคืน แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาต้องร่างของหลี่ซาน ทำให้เขาดูราวกับเงาของเทพเซียนที่ไร้ตัวตน
“ตำราเล่มนั้น...เจ้าเข้าใจมันมากน้อยเพียงใด” หลี่ซานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาคมกริบจ้องมองเฟิ่งอวี้อย่างแน่วแน่
เฟิ่งอวี้ยิ้มบางๆ “ข้าโง่เขลายิ่งนัก จึงพอจะเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การไร้ซึ่งใจ...คือการไร้ซึ่งจุดอ่อนใดๆ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม แต่ในใจกลับกำลังหัวเราะเยาะ “แต่สำหรับข้า...การมีใจ...อาจจะเป็นหนทางที่แท้จริงสู่ความแข็งแกร่ง”
คำพูดของเฟิ่งอวี้ทำให้หลี่ซานชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาคมกริบหรี่ลง เขาไม่เคยได้ยินศิษย์คนใดกล่าวเช่นนี้มาก่อน “ความหมายของเจ้าคืออะไร”
ตอนที่ 55 ภาพฝันที่ไม่เลือนหาย วันเวลาผันผ่านไป เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า หลี่ซานยังคงใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำอันเงียบสงบกลางเทือกเขาสูงใหญ่ ที่ซึ่งเขาปลีกวิเวกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นที่พำนักของความทรงจำและหัวใจที่แตกสลาย ชายหนุ่มนั่งอยู่ริมธารน้ำตกเล็กๆ ภายในถ้ำ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับความเย็นบริสุทธิ์ของอากาศยามเช้า ปล่อยให้สายน้ำที่ไหลรินชะล้างความเจ็บปวดในจิตใจ “เฟิ่งอวี้…” หลี่ซานกระซิบชื่อนั้นแผ่วเบา ราวกับจะเรียกหาชายหนุ่มให้กลับมา ความทรงจำถึงเฟิ่งอวี้ยังคงชัดเจนในใจของหลี่ซาน ราวกับว่าชายหนุ่มยังคงอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา ทุกรอยยิ้ม ทุกสัมผัส ทุกคำพูด ยังคงตรึงอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ ภาพของเฟิ่งอวี้ในวันแรกที่พบกัน ความโหดร้าย ความเจ้าเล่ห์ รวมถึงวันที่เขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ และวันที่เขาจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ภาพเหล่านี้ผุดขึ้นมาในความคิดของหลี่ซานไม่เคยว่างเว้น เขาหวนนึกถึงวันที่เขาโอบกอดร่างของเฟิ่งอวี้ที่ไร้วิญญาณไว้แน่น ก่อนจะจากสำนักเมฆาขาวมา ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
ตอนที่ 54 ความสูญเสีย หลี่ซานโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณของเฟิ่งอวี้ไว้แน่น เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณ เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความรู้สึกผิดบาปและความสูญเสียถาโถมเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง เขาได้สูญเสียคนที่เขารักไปแล้วจริงๆ แม้ว่าเฟิ่งอวี้จะเป็นมารร้าย แต่ในช่วงเวลาสุดท้าย ชายหนุ่มกลับแสดงความรักที่บริสุทธิ์และจริงใจให้เขาเห็น เสิ่นหยวนและหลันเฟิงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและสับสน พวกเขาไม่คิดว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้ พวกเขาตั้งใจจะกำจัดมารร้าย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้พรากชีวิตของคนที่อาจารย์ของพวกเขารักไปแล้ว “อาจารย์…” เสิ่นหยวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หลี่ซานเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหยวน ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด “เจ้า…เจ้าทำอะไรลงไป!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตัดพ้อและความสิ้นหวัง เสิ่นหยวนรู้สึกผิดอย่างแสนสาหัส เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ของเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน “ข้า…ข้าไม่คิดว่า…” หลันเฟิงเดินเข้ามาใกล้ เขาคุกเข่าลงข้างๆ หลี่ซาน “อาจารย์…พวกเราเพียงต้องการปกป้องท่าน…”
ตอนที่ 53 ความจริงที่ไม่อาจทนรับ ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน แม้ด้านนอกของเรือนพักจะเกิดการปะทะอย่างรุนแรง แต่เพราะม่านมนต์ที่หลี่ซานร่ายครอบคลุมเรือนเอาไว้ ทำให้เขามิอาจได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกแม้แต่น้อย หลี่ซานยังคงนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างรู้สึกกระสับกระส่าย ความรู้สึกไม่สบายใจเกาะกินจิตใจของเขาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ลางสังหรณ์อันเฉียบคมของเขา ทำให้เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณที่รุนแรงผิดปกติกำลังปะทุขึ้นในบริเวณเรือนพักของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สัญชาตญาณทำให้เขาต้องรีบก้าวออกมาจากเรือนพักด้วยความเร่งรีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงก้าวเท้าออกมาจากเรือนพัก ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทำให้หลี่ซานถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด เขามองเห็นเสิ่นหยวน ศิษย์เอกของเขากำลังปลดปล่อยพลังปราณสีขาวบริสุทธิ์อันรุนแรงมหาศาลพุ่งเข้าใส่เฟิ่งอวี้อย่างจัง ร่างของเฟิ่งอวี้ที่นั่งนิ่งรับปราณนั้นอย่างไร้การป้องกันตนเอง ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังรอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง “หยุดเดี๋ยวนี้!” หลี่ซานตะ
ตอนที่ 52 ความจริงเปิดเผย ในขณะที่หลี่ซานกำลังพยายามข่มใจให้แข็งแกร่ง และยอมปล่อยมือจากเฟิ่งอวี้เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย อีกด้านหนึ่งของสำนักเมฆาขาว เสิ่นหยวนและหลันเฟิง ศิษย์เอกทั้งสองที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงสำนักเมฆาขาว หลังจากที่ออกเดินทางไปประชุมและเยี่ยมเยียนสำนักต่างๆ ตามเทียบเชิญที่ได้รับมานานเกือบปีก็กำลังเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าตกตะลึง “หลงจู ระหว่างที่พวกข้าไม่อยู่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในสำนักหรือไม่” เสิ่นหยวนถามออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบๆ สำนักอย่างนึกหวาดระแวง เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม พลังปราณที่แฝงกลิ่นอายของมาร แม้จะเจือจางลงไปมากก็ตาม มันทำให้เขาอดนึกระแวดระวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่เคยมีประสบการณ์ตรงในการต่อสู้กับเฟิ่งอวี้เมื่อหลายปีก่อน หลงจูรีบเข้ามารายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่การมาถึงของเฟิ่งอวี้ ศิษย์คนใหม่ผู้มีพรสวรรค์ การที่เฟิ่งอวี้สามารถเข้าใกล้หลี่ซานได้อย่างผิดปกติ และเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน รวมถึงการบาดเจ็บของเฟิ่งอวี้โดยไม่ทราบสาเ
ตอนที่ 51 จำนน เช้าวันต่อมา หลี่ซานได้รับจดหมายจากเสิ่นหยวนและหลันเฟิงอีกครั้ง พวกเขาทั้งสองกำลังเดินทางกลับสำนักเมฆาขาว พร้อมกับรายงานเรื่องเบาะแสของเฟิ่งอวี้ที่ถูกพบในบริเวณใกล้สำนัก พวกเขาหมายมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะกำจัดเฟิ่งอวี้ให้สำเร็จให้จงได้ “เฟิ่งอวี้ เจ้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว หากเสิ่นหยวนและหลันเฟิงกลับมาพบเจ้า ชะตาของเจ้าคงจบสิ้นเป็นแน่” หลี่ซานพ้อออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและจนใจ เขารู้ดีว่าเวลานี้ร่างกายของเฟิ่งอวี้นั้นไม่อาจต้านทานกำลังของศิษย์ทั้งสองได้ และในขณะเดียวกันเขาก็มิอาจลุกขึ้นมาปกป้องชายหนุ่มได้เช่นเดียวกัน ภาระและหน้าที่ที่มีต่อสำนักและยุทธภพทำให้เขามิอาจเลือกเส้นทางได้ตามอำเภอใจ และทางเดียวที่จะปกป้องเฟิ่งอวี้ได้ นั่นคือการยอมปล่อยมือเฟิ่งอวี้ให้จากไปอย่างไม่หวนกลับ บ่ายวันนั้น ขณะที่แสงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ หลี่ซานและเฟิ่งอวี้ยืนเผชิญหน้ากันในห้องโถงที่เงียบสงบ หลี่ซานตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเป็นไปได้นี้ แม้ว่าเขาจะต้องเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม ชายหนุ่มพยายามรวบรวมความเข้มแข็งทั้งหมดที่มี เพื่อกล่าวคำที่บาดลึกหัวใจของตนเอง
ตอนที่ 50 ใจอ่อน คืนหนึ่งหลี่ซานนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา เฟิ่งอวี้เดินเข้ามา เขายังคงซีดเซียวเล็กน้อยจากอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แต่ดวงตาของเขากลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น “หลี่ซาน ข้าทำขนมมาให้ท่าน” เฟิ่งอวี้ยื่นจานขนมเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาให้ หลี่ซานรับมาโดยไม่พูดอะไร เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากจานขนมที่เฟิ่งอวี้ถือมา “หลี่ซาน…ข้าขออยู่เป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่” เฟิ่งอวี้กล่าวเสียงแผ่วเบา พลางนั่งลงบนพื้นข้างๆ หลี่ซานอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้พยายามสัมผัสกาย ไม่ได้พยายามพูดจาออดอ้อน เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ หลี่ซานอ่านตำราต่อไป แต่ในใจของเขากลับไม่สงบเหมือนเคย เขาเหลือบมองเฟิ่งอวี้เป็นระยะๆ เห็นชายหนุ่มนั่งนิ่ง ดวงตาจับจ้องไปที่ตำราที่เขาอ่านราวกับกำลังสนใจอย่างแท้จริง เวลาผ่านไปช้าๆ ความเงียบในห้องไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดแต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาด เฟิ่งอวี้รู้สึกว่าความแข็งกระด้างในใจของหลี่ซานกำลังอ่อนลงทีละน้อย เขาไม่อาจรู้ว่าหลี่ซานจะใจอ่อนอีกนานเท่าใด แต่ในเวลานี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึ