‘ก็มาเยือนจวนผู้อื่นเย็นย่ำเช่นนี้ หากไม่เชิญรับมื้อเย็นด้วยก็เป็นการเสียมารยาทแล้ว’ ในสายตาคุณหนูเล็กอวี้ สหายของพี่ใหญ่ผู้นี้ดีดลูกคิดรางแก้วมาเป็นอย่างดีแล้ว
“แล้วเจ้าล่ะซีเยว่ จะว่าพี่หรือไม่ที่ต้องรบกวนเช่นนี้” หยางเฟยฉีกล่าวถามแม่นางน้อยที่กำลังทำปากขมุบขมิบอย่างไม่รักษากิริยา
“ข้าจะกล้าว่าพี่เฟยฉีได้อย่างไรเจ้าคะ แล้วนี่พี่ลู่เสียนยังไม่มาอีกหรือเจ้าคะ” นางตอบกลับก่อนจะเปลี่ยนบทสนทนา
“พี่มาแล้ว”
“พี่รองมาแล้ว ข้ากำลังจะไปตามท่านพอดี”
“มากันครบแล้ว เช่นนั้นเราไปนั่งกันเถิด” เป็นฮูหยินอวี้เอ่ย
จวนอวี้แม้จะเป็นจวนตระกูลขุนนาง แต่ทว่าพอท่านย่าจากไป กฎเกณฑ์ต่างๆ ก็ลดน้อยลง เวลากินข้าวจึงเป็นเวลาที่คนในครอบครัวจะสนทนากัน จากเดิมที่นางต้องนั่งข้างท่านแม่และพี่ใหญ่ต้องนั่งข้างท่านพ่อ ส่วนพี่รองจะถูกกันให้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสามพี่น้องเนื่องด้วยไม่ใช่บุตรฮูหยินเอก
บัดนี้นางที่อยากให้พี่รองได้คลายปมในใจจึงขอเปลี่ยนที่กับพี่รองเพื่อให้พี่รองได้ใกล้ชิดกับท่านแม่มากขึ้น เพราะมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เขาจึงต้องนั่งข้างนางและพี่ใหญ่
“เจ้าไม่ชอบต้นหอมหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าไม่ชอบกลิ่นของมัน” นางกล่าวพลางทำสีหน้าไม่ค่อยชอบใจ แก้มเนียนพองขึ้นเล็กน้อยดูแง่งอนราวกับเด็กน้อย จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะจะโดนมารดาเอ็ดว่านางเลือกกินอีก
“เช่นนั้นพี่จะช่วยกินให้เอง” เขากล่าวก่อนจะใช้ตะเกียบคีบต้นหอมที่อยู่ในชามข้าวนางมากินเอง
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่เฟยฉี” น้องน้อยมองหน้าสหายของพี่ใหญ่ด้วยแววตาซาบซึ้ง
“ซีเยว่ นี่ลูกให้พี่เฟยฉีกินต้นหอมแทนเจ้าเช่นนั้นหรือ” ไป๋ถิงถิงดุบุตรสาว
“ข้า...” นางกำลังจะหาข้อแก้ตัวแต่บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นก่อน
“เป็นข้าที่อยากกินต้นหอมเองขอรับ ท่านน้าอย่าได้ดุซีเยว่เลยขอรับ”
“เฟยฉี เจ้าไม่ชอบกินต้นหอมมิใช่หรือ” อวี้ลู่หมิงเอ่ยถามสหายด้วยสีหน้าสงสัย เพราะตอนอยู่สำนักศึกษาสหายผู้นี้มักจะนั่งคีบต้นหอมออกจากอาหารให้หมดก่อนลงมือกิน
“ข้าเพิ่งหัดกินเมื่อตอนที่ย้ายมาอยู่เมืองหลวง” เขาแก้ตัวพลางส่งยิ้มให้อวี้ซีเยว่ที่หันมามอง
“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้ดุซีเยว่นักเลย ของที่ไม่ชอบ ทำอย่างไรก็ไม่ชอบวันยังค่ำ” อวี้ผิงเอ่ยตัดบทเพื่อไม่ให้บุตรสาวคนเล็กถูกดุอีก
“ท่านพี่...ท่านก็เข้าข้างลูกตลอด เช่นนี้เมื่อใดนางจะเติบโต” ทุกวันนี้เพราะมีบิดา พี่ชายและพี่สาวคอยช่วย บุตรสาวคนเล็กนางจึงห่างไกลจากการเป็นสตรีที่เพียบพร้อม
“อีกไม่กี่เดือนนางก็ปักปิ่นแล้ว”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ท่านเข้าข้างนางมากไปนางจึงทำทุกอย่างตามใจตน เช่นนี้จะมีบุรุษผู้ใดกล้ามาขอ หรือหากมี แล้วแต่งเข้าจวนอื่นไปก็ไม่แคล้วขัดใจแม่สามี สุดท้ายชีวิตคู่ของนางก็จะมีปัญหา”
“หากเจ้ากลัวเป็นเช่นนั้นเราก็แต่งบุรุษเข้าจวนซะเลย”
“เช่นนั้นซีเยว่จะถูกลือในทางที่เสียหายเอาได้”
“เสียหายก็ไม่เป็นไร อย่าได้สนใจคำเล่าลือของชาวบ้านมาก”
‘เพราะบิดาเป็นเช่นนี้เอง นางจึงซุกซนและไม่สนใจขนบธรรมเนียมอันใดมาก’ หยางเฟยฉีคิด แต่ก็ดีแล้วที่นางเป็นเช่นนี้ อวี้ซีเยว่ที่มีชีวิตชีวาน่าสนใจกว่าบรรดาคุณหนูที่ชอบแสร้งทำตนดีงาม
“ท่านพี่แต่ข้า...”
“เอาเถิด ปล่อยให้นางมีอิสระบ้าง”
“หากซีเยว่ไม่มีบุรุษมาสู่ขอก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน เจ้าล่ะลู่เสียน มีบุรุษที่พึงใจบ้างหรือยัง” ฮูหยินอวี้หันความสนใจมาที่บุตรสาวฮูหยินรองผู้ล่วงลับ
ตั้งแต่คราวนั้นที่บุตรสาวคนเล็กตกน้ำ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอวี้ลู่เสียนก็ดีขึ้นตามลำดับ เรียกได้ว่าคุยกันได้มากขึ้นและกำแพงที่ขวางกั้นความสัมพันธ์เหมือนจะบางลง
“ยังเจ้าค่ะ”
“ตอนนี้ยัง แต่ภายหน้าไม่แน่เจ้าค่ะ พี่รองท่านว่าพี่เลี่ยงรุ่ยเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ” อวี้ซีเยว่เอ่ยแทรกบทสนทนา
“เลี่ยงรุ่ย โจวเลี่ยงรุ่ย ท่านผู้ตรวจการคนนั้นน่ะหรือ” อวี้ลู่หมิงเอ่ยถาม จะว่าไปเขาเห็นนั่งพูดคุยในงานเลี้ยงกับน้องสาวต่างมารดาแต่ก็ไม่ทันได้ใส่ใจมาก คิดว่าแค่ทักทายเพราะเคยได้ช่วยเหลือกัน
“ใช่เจ้าค่ะ” น้องเล็กแสนซุกซนตอบ
“ข้ากับท่านผู้ตรวจการโจวแค่เคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งจึงพูดคุยกันบ้างเล็กน้อย นอกจากนั้นก็ไม่มีสัมพันธ์ใดๆ เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ” ฮูหยินอวี้เอ่ยถาม
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่ในภายหน้าไม่แน่เจ้าค่ะ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ซีเยว่เจ้าอย่าได้เอ่ยวาจาเลื่อนลอย” อวี้ลู่เสียนดุน้องสาว
“ข้าไม่ได้กล่าวเลื่อนลอยนะเจ้าคะ พี่เลี่ยงรุ่ยทั้งรูปงาม ตระกูลเพียบพร้อม ทั้งยังเป็นขุนนางน้ำดี เหมาะสมกับพี่รองมากเจ้าค่ะ”
“แต่พี่ไม่ได้รู้สึกอันใดกับเขา”
“ซีเยว่ เจ้าอย่าได้คิดทำตัวเป็นแม่สื่อให้พี่สาวเจ้า หากบุรุษสตรีไม่มีใจตรงกัน อย่าได้ฝืน” ฮูหยินอวี้กล่าวตักเตือนบุตรสาว
“เหตุใดเจ้าถึงถีบพี่ตกเตียงเช่นนี้” ใบหน้าไร้ที่ตินั่นยุ่งเหยิงราวกับกำลังไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นใดดีระหว่างมึนงงกับไม่พอใจ จะให้เขาพอใจได้อย่างไร ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกสตรีถีบตกเตียงเช่นนี้ พระจันทร์แสนซุกซนของเขาช่างไม่เหมือนใครจริงๆ แต่เพราะนางเป็นเช่นนี้ เขาถึงได้หลงใหลมิใช่หรือ “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพียงตกใจ ก็ใครใช้ให้ท่านขึ้นมานอนเตียงสตรีที่ยังไม่ได้ปักปิ่นล่ะเจ้าคะ ข้านั้นเป็นเพียงแม่นางน้อยที่ไร้เดียงสาจึงตกใจอยู่บ้างที่มีบุรุษมาอยู่บนเตียง” อวี้ซีเยว่หลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับกำลังไม่ได้รับความเป็นธรรม “พี่ขอโทษ ที่ทำเจ้าตกใจ” เขากล่าวพลางลุกยืนขึ้น มือใหญ่ปัดอาภรณ์อย่างลวกๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้นาง “ข้าก็ต้องขอโทษ
“ตามแต่ท่านต้องการเจ้าค่ะ แต่ขอยกเว้นชีวิตและเงินทองเจ้าค่ะ ข้าค่อนข้างยากจน ทุกวันนี้อยู่ดีกินดีเพราะบิดามารดา” นางกล่าวจบก็กลับมานั่งตัวตรงพร้อมกับหลุบตาลงเล็กน้อยให้ดูน่าเอ็นดูกึ่งน่าสงสาร “ท่านผู้ตรวจการโจว เย็นนี้ท่านพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ขอรับ” เมื่อมีคนเสนอค่าตอบแทนให้ คุณชายหยางเช่นเขามีหรือจะไม่รับไว้ ในเมื่อค่าตอบแทนที่เขาต้องการมันช่างหอมหวานยิ่ง... “ข้าไม่ได้มีงานสำคัญใด ท่านมีอันใดหรือไม่” ขุนนางหนุ่มเอ่ยถามบุรุษผู้ที่มีอายุน้อยกว่า “เย็นนี้ข้าอยากจะเชิญท่านมารับมื้อเย็นที่จวนที่พวกข้าพักอาศัย อาจจะมีการจิบสุราบ้างเล็กน้อยเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน” หยางเฟยฉีกล่าวจบก็เหลือบมองสหายตน&nb
“ใช่ เขากล่าวว่าอย่างไรก็ไม่แต่ง เพราะตัวเขานั้นรักฮูหยินมาก สุดท้ายคนแบกความอับอายจึงเป็นคุณหนูเฟินที่บุรุษหลายคนในงานได้เห็นนางในสภาพเช่นนั้น ทั้งยังถูกบุรุษปฏิเสธไม่รับผิดชอบอีก” “ข้าเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย แล้วการที่นางตกน้ำเป็นฝีมือใครหรือเจ้าคะ” เหตุใดนางถึงได้รู้สึกเหมือนว่าเวรกรรมกำลังตามทันสตรีผู้นั้น “ไม่ทราบ คุณหนูเฟินก็บอกไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใคร เพราะบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว” ‘ก็คงไปสร้างศัตรูเอาไว้มาก เลยมีคนมาเอาคืน’ “เจ้าอยากกินอะไรเพิ่มหรือไม่ พี่จะสั่งให้” สิ้นเสียงของรองเจ้ากรมยุติธรรม ก็มีบุรุษสองคนเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามา “มิรบกวนท่านรอ
14 ว่าที่น้องเขยของอวี้ลู่หมิง ด้านบนของหอขายข่าวมีบุรุษสองคนนั่งมองกลุ่มคนด้านล่างด้วยสายตาเรียบเฉย นิ้วแกร่งหยิบถั่วในจานก่อนจะโยนเข้าปาก หากไม่ได้มาหนานโจวด้วยในคราวนี้ ตนก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงนายท่านเฟยเจ้าของหอขายข่าวที่ยิ่งใหญ่และหอประมูลแห่งนั้นคือสหายผู้นี้ แม้จะรับรู้
“พี่รองน่ะสิเจ้าคะ คะนึงหาพี่เลี่ยงรุ่ยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าและพี่ใหญ่จึงต้องพากันเดินทางมาที่หนานโจว” “ซีเยว่เจ้าล้อพี่เล่นแล้ว” อวี้ลู่เสียนกล่าวด้วยท่าทีเขินอาย จนบุรุษตระกูลเฟินกำมือแน่น “ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ” “เราไปนั่งคุยกันในเหลาแห่งนั้นดีหรือไม่ จะได้คุยไปกินข้าวไป” ในสายตาอวี้ซีเยว่ตอนนี้ พี่ชายซ่างกวนป๋อช่างรู้ใจนาง กินอาหารเลิศรสไปด้วยคุยกันไปด้วยดีที่สุด “เช่นนั้นข้า...” คุณหนูเฟินตั้งใจจะเอ่ยปากแต่โดนอวี้ลู่เสียนเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “เช่นนั้นเราสี่คนรีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ” คำจำกัดจำนว
‘อย่างไรสำหรับพี่ บุรุษก็ต้องมาก่อนนะน้องเล็ก’ พี่สาวอย่างตนไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้จริงๆ เพราะมิเช่นนั้นว่าที่ฟูจวินของนางจะเดือดร้อน แคว้นฉีจินก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่เหตุใดนางถึงได้พบศัตรูบนทางแคบ[1] ด้วยสัญชาตญาณอวี้ซีเยว่รีบจับแขนพี่สาวเอาไว้แน่น เพราะกลัวพี่สาวจะบุกเข้าไปทำร้ายสตรีดอกบัวขาว “มีอันใดหรือซีเยว่” อวี้ลู่เสียนเอ่ยถามน้องสาว เมื่อเห็นนางทำสีหน้าไม่ค่อยดี “มิมีอันใดเจ้าค่ะ เรารีบไปหาอะไรกินในโรงเตี๊ยมทางนั้นเถิดเจ้าค่ะ” “เดินทางรอนแรมจากเมืองหลวงมาไกลมิคาดคิดว่าจะมาเจอคนรู้จักที่หนานโจว” เสียงหวานของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นก