“นี่ท่านปีนเข้าจวนอวี้อีกแล้วหรือเจ้าคะ เหตุใดไม่เดินเข้าทางประตูจวนล่ะเจ้าคะ”
“พี่มักเหนื่อยง่ายหากจะต้องเดินอ้อมไกล”
“เดินอ้อม? กล่าวราวกับว่าอยู่จวนข้างๆ” นางเอ่ยประโยคหลังเสียงเบา
“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว จวนพี่อยู่ข้างๆ จวนเจ้า และเรือนเจ้าก็อยู่ติดกับเรือนพี่ แค่เพียงกำแพงกั้น”
“ท่าน...อย่าบอกว่าคหบดีผู้ร่ำรวยที่สร้างจวนเสร็จอย่างรวดเร็วคือท่าน”
“พี่ไม่ได้ร่ำรวยอันใดมาก แต่ก็สามารถเลี้ยงสตรีสักคนให้อยู่สุขสบายชั่วชีวิตได้ เจ้าสนใจหรือไม่”
“ที่แท้เป็นท่านนี่เอง แล้วเหตุใดท่านไม่บอกกล่าวพวกข้า” เมื่อได้ยินเช่นนี้นางเข้าใจแล้วล่ะว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาใช้วิชาตัวเบาลอบเข้าจวนอวี้ จะต้องมาโผล่ที่เรือนของนางทุกครั้ง
“พี่อยากทำให้คนตระกูลอวี้ประหลาดใจ”
“แล้วนี่ท่านมีเรื่องด่วนอันใดกันเจ้าคะ ถึงได้ปีนเข้าจวนข้ายามวิกาลเช่นนี้”
“พี่ลืมของสำคัญเอาไว้ที่เรือนของลู่หมิง จึงกลับมาเอา”
“เช่นนั้นก็เชิญท่านตามสบายเจ้าค่ะ เรือนของพี่ลู่หมิงอยู่ทางใดท่านน่าจะจำได้แล้ว”
“บอกตามตรงพี่ยังหลงลืมอยู่บ้าง” หยางเฟยฉีกล่าวพลางทรุดตัวนั่งลงบนโต๊ะก่อนจะรินน้ำชาแล้วยกจิบให้ชุ่มคอ
“เช่นนั้นท่านจะให้ข้านำทางหรือเจ้าคะ”
“มิจำเป็น พี่ขอแค่นั่งพักจิบชา และครุ่นคิดถึงทางไปเรือนของลู่หมิง ประเดี๋ยวนึกออกพี่จะไปเอง น้ำชากานี้เย็นชืดแล้ว ในห้องเจ้าควรมีเตาอุ่นชา”
‘ก็ข้าอ่านนิยายจบ ข้าก็จะเข้านอนแล้ว ใครจะคิดว่าท่านจะมาจิบชาในเรือนนอนข้ากลางดึกกันเล่า’
“พรุ่งนี้พี่จะให้คนนำเตาอุ่นชามาให้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ในเมื่ออยากให้นางก็แค่รับไว้ ไม่เสียหายอันใด
“เช่นนั้นเจ้าเข้านอนเถิด พี่ต้องไปแล้ว”
“เชิญเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกางหนังสือเพื่ออ่านต่อ
ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้สตรีที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงก่อนจะยื้อแย่งหนังสือในมือมาถือเอาไว้
“หนังสือเล่มนี้ พรุ่งนี้เช้าพี่จะให้คนเอามาคืนให้ เจ้าควรเข้านอนได้แล้ว”
“นี่ท่าน...”
“หากยังดื้อรั้น พี่จะนั่งเฝ้าจนกว่าเจ้าจะหลับ” ดวงตาดำของเขาที่จับจ้องนางฉายแววจริงจัง
“แต่ข้ายังอ่านไม่จบ” ใจจริงอยากจะกล่าวออกไปว่า เขาไม่ใช่พี่ชายหรือบิดานาง เหตุใดถึงต้องมาบังคับนางเช่นนี้
“เยว่เอ๋อร์ เด็กดีของพี่ เข้านอนได้แล้ว” น้ำเสียงของเขาทวีความอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม
‘บรื๋อ...ขนลุก’ นางยกมือลูบต้นคออย่างแนบเนียน
“ข้าเข้านอนก็ได้เจ้าค่ะ แต่ต้องเป็นหลังจากท่านคืนหนังสือให้ข้า”
“พี่เริ่มง่วงแล้ว หากเยว่เอ๋อร์ยังไม่ยอมเข้านอน เกรงว่าพี่คงต้องขอยืมเตียงของเจ้าเป็นที่หลับนอนในคืนนี้”
“ข้าไม่เอาหนังสือตอนนี้ก็ได้ แต่พรุ่งนี้ท่านต้องให้คนรีบนำมาให้ข้าแต่เช้านะเจ้าคะ”
ยอมแพ้ก็ได้ ใครใช้ให้นางเป็นแค่ตัวประกอบกันเล่า รังสีแห่งความกดดันและการต่อรองจะสู้พระเอกลูกรักของนักเขียนได้อย่างไร
“ได้ หนังสือเล่มนี้จะถูกส่งถึงมือเจ้าทันทีที่เจ้าตื่นนอน” กล่าวจบเขาก็เก็บหนังสือเข้าอกเสื้อ
“เช่นนั้นข้านอนก็ได้เจ้าค่ะ” เมื่ออีกฝ่ายรับปากนักหนา นางที่ไม่รู้เพราะเหตุใดต้องเชื่อฟังสหายของพี่ชายผู้นี้ด้วย ก็ทำท่าจะลงจากเตียงเพื่อไปดับไฟ
“เจ้ากลับไปนอนเถิด พี่จะดับไฟให้เอง” เขากล่าวพลางดันตัวนางให้ลงนอน
“เอ๊ะ! นั่นตัวอะไร” คำกล่าวที่ออกมาจากปากของหยางเฟยฉีทำให้นางตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ และที่นางตกใจไม่ได้เป็นเพราะคำกล่าวของเขา แต่นางตกใจเพราะการกระทำของเขาต่างหาก
ทันทีที่เขากล่าวประโยคนั้นจบ บุรุษผู้นี้ก็เคลื่อนใบหน้าที่งามจนเทพเซียนยังอายผ่านใบหน้านางไปเพื่อมองหาตัวอะไรที่เขาสงสัย แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องหัวใจเต้นแรงก็คือ ริมฝีปากเขาพาดผ่านใบหน้านางไปในระยะประชิด จมูกโด่งเป็นสันนั่นแตะโดนแก้มเนียนนางอย่างกลายๆ ลมหายใจร้อนของเขาทำให้ผิวกายนางร้อนผ่าว
ตูม เสียงอะไรบางอย่างแตกกระจายอยู่ในหัวนางเมื่อริมฝีปากของเขาแตะลงบนหน้าผากเนียน ด้วยความตกใจนางจึงเผลอจ้องตาเขา ก่อนจะเห็นว่าแท้จริงเขาเอาแต่มองหาตัวอะไรสักอย่างจึงไม่ทันระวังและเผลอกินเต้าหู้นางอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“พี่คงตาฝาดเห็นแมลงสาบวิ่งเข้าซอกเตียงของเจ้า”
“มะ มะ แมลงสาบหรือเจ้าคะ”
“อืม แต่พี่น่าจะตาฝาด เจ้าเข้านอนได้แล้ว พี่จะดับไฟให้”
“เจ้าค่ะ”
“ฝันดีนะเยว่เอ๋อร์” บุรุษรูปงามกล่าวก่อนจะใช้วิทยายุทธ์ดับเทียนทั้งสี่เล่มที่อยู่ห่างกันในคราวเดียว
ท่ามกลางความมืดบุรุษที่เข้ามาทางหน้าต่างก็กลับออกไปทางเดิมพร้อมกับปิดหน้าต่างให้ เขาจากไปพร้อมรอยยิ้มที่สามารถทำให้สตรีลุ่มหลงได้
วันนี้กำไรช่างดีงาม...
ส่วนคนที่ถูกบังคับให้นอนบัดนี้ ใบหน้าแดงก่ำหัวใจดวงน้อยยังคงเต้นระรัวกับสัมผัสที่ไม่ได้ตั้งใจจากบุรุษรูปงาม แม้จะกล่าวว่าตนเป็นวิญญาณมาจากโลกที่เจริญก้าวหน้าแล้ว แต่ทว่าเรื่องเกี่ยวกับบุรุษสตรีนางช่างอ่อนหัดยิ่ง
‘อย่าได้หลงใหลเสน่ห์ของพระเอกเชียวนะ เขาเป็นของนางเอกอย่างเฟินฮุ่ยเหมย ไม่ใช่ตัวประกอบอย่างข้า’ หากพลั้งเผลอนางคงมิแคล้วต้องกลายเป็นนางร้ายที่มีจุดจบไม่สวยงาม
ในเมื่อสามารถดึงพี่ใหญ่และพี่รองไม่ให้เข้าใกล้คำว่าตัวร้าย นางไม่มีทางจะผลักทุกคนให้เดินไปถึงจุดจบที่น่าอนาถนั่น
‘ท่านถูกกำหนดแล้วให้เป็นคู่วาสนาด้ายแดงของตัวฉิบหาย อย่าได้คิดมาทำให้ข้าหวั่นไหวเชียว’
“หากเปลี่ยนจากลู่เสียนเป็นซีเยว่เล่า เจ้าจะยินยอมง่ายดายถึงเพียงนี้หรือไม่” คำถามของสหายพี่ชายทำให้อวี้ซีเยว่ที่กำลังยกน้ำชาขึ้นจิบแทบสำลัก “ก็ต้องดูว่าน้องเขยข้าเป็นใคร มีนิสัยเช่นไร เขาดีต่อน้องสาวข้าหรือไม่ และสามารถแต่งเข้าตระกูลข้าได้หรือไม่” การรับปากว่าจะแต่งสตรีเพียงคนเดียวเป็นฮูหยินสำหรับเขาเป็นเรื่องเพ้อฝัน “หากเป็นข้าคุณชายหยางผู้นี้เล่า” “แค่กๆ” คราวนี้อวี้ซีเยว่สำลักน้ำชาจริงๆ “ใจเย็นๆ ซีเยว่” อวี้ลู่เสียนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ช่วยลูบหลังให้น้องน้อย “ขอบ...คุณ เจ้าค่ะ” “ดูเหมือนเป็นซีเยว่เอ
“เหตุใดเจ้าถึงถีบพี่ตกเตียงเช่นนี้” ใบหน้าไร้ที่ตินั่นยุ่งเหยิงราวกับกำลังไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นใดดีระหว่างมึนงงกับไม่พอใจ จะให้เขาพอใจได้อย่างไร ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกสตรีถีบตกเตียงเช่นนี้ พระจันทร์แสนซุกซนของเขาช่างไม่เหมือนใครจริงๆ แต่เพราะนางเป็นเช่นนี้ เขาถึงได้หลงใหลมิใช่หรือ “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพียงตกใจ ก็ใครใช้ให้ท่านขึ้นมานอนเตียงสตรีที่ยังไม่ได้ปักปิ่นล่ะเจ้าคะ ข้านั้นเป็นเพียงแม่นางน้อยที่ไร้เดียงสาจึงตกใจอยู่บ้างที่มีบุรุษมาอยู่บนเตียง” อวี้ซีเยว่หลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับกำลังไม่ได้รับความเป็นธรรม “พี่ขอโทษ ที่ทำเจ้าตกใจ” เขากล่าวพลางลุกยืนขึ้น มือใหญ่ปัดอาภรณ์อย่างลวกๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้นาง “ข้าก็ต้องขอโทษ
“ตามแต่ท่านต้องการเจ้าค่ะ แต่ขอยกเว้นชีวิตและเงินทองเจ้าค่ะ ข้าค่อนข้างยากจน ทุกวันนี้อยู่ดีกินดีเพราะบิดามารดา” นางกล่าวจบก็กลับมานั่งตัวตรงพร้อมกับหลุบตาลงเล็กน้อยให้ดูน่าเอ็นดูกึ่งน่าสงสาร “ท่านผู้ตรวจการโจว เย็นนี้ท่านพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ขอรับ” เมื่อมีคนเสนอค่าตอบแทนให้ คุณชายหยางเช่นเขามีหรือจะไม่รับไว้ ในเมื่อค่าตอบแทนที่เขาต้องการมันช่างหอมหวานยิ่ง... “ข้าไม่ได้มีงานสำคัญใด ท่านมีอันใดหรือไม่” ขุนนางหนุ่มเอ่ยถามบุรุษผู้ที่มีอายุน้อยกว่า “เย็นนี้ข้าอยากจะเชิญท่านมารับมื้อเย็นที่จวนที่พวกข้าพักอาศัย อาจจะมีการจิบสุราบ้างเล็กน้อยเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน” หยางเฟยฉีกล่าวจบก็เหลือบมองสหายตน&nb
“ใช่ เขากล่าวว่าอย่างไรก็ไม่แต่ง เพราะตัวเขานั้นรักฮูหยินมาก สุดท้ายคนแบกความอับอายจึงเป็นคุณหนูเฟินที่บุรุษหลายคนในงานได้เห็นนางในสภาพเช่นนั้น ทั้งยังถูกบุรุษปฏิเสธไม่รับผิดชอบอีก” “ข้าเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย แล้วการที่นางตกน้ำเป็นฝีมือใครหรือเจ้าคะ” เหตุใดนางถึงได้รู้สึกเหมือนว่าเวรกรรมกำลังตามทันสตรีผู้นั้น “ไม่ทราบ คุณหนูเฟินก็บอกไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใคร เพราะบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว” ‘ก็คงไปสร้างศัตรูเอาไว้มาก เลยมีคนมาเอาคืน’ “เจ้าอยากกินอะไรเพิ่มหรือไม่ พี่จะสั่งให้” สิ้นเสียงของรองเจ้ากรมยุติธรรม ก็มีบุรุษสองคนเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามา “มิรบกวนท่านรอ
14 ว่าที่น้องเขยของอวี้ลู่หมิง ด้านบนของหอขายข่าวมีบุรุษสองคนนั่งมองกลุ่มคนด้านล่างด้วยสายตาเรียบเฉย นิ้วแกร่งหยิบถั่วในจานก่อนจะโยนเข้าปาก หากไม่ได้มาหนานโจวด้วยในคราวนี้ ตนก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงนายท่านเฟยเจ้าของหอขายข่าวที่ยิ่งใหญ่และหอประมูลแห่งนั้นคือสหายผู้นี้ แม้จะรับรู้
“พี่รองน่ะสิเจ้าคะ คะนึงหาพี่เลี่ยงรุ่ยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าและพี่ใหญ่จึงต้องพากันเดินทางมาที่หนานโจว” “ซีเยว่เจ้าล้อพี่เล่นแล้ว” อวี้ลู่เสียนกล่าวด้วยท่าทีเขินอาย จนบุรุษตระกูลเฟินกำมือแน่น “ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ” “เราไปนั่งคุยกันในเหลาแห่งนั้นดีหรือไม่ จะได้คุยไปกินข้าวไป” ในสายตาอวี้ซีเยว่ตอนนี้ พี่ชายซ่างกวนป๋อช่างรู้ใจนาง กินอาหารเลิศรสไปด้วยคุยกันไปด้วยดีที่สุด “เช่นนั้นข้า...” คุณหนูเฟินตั้งใจจะเอ่ยปากแต่โดนอวี้ลู่เสียนเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “เช่นนั้นเราสี่คนรีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ” คำจำกัดจำนว